ตอนที่ 1,234 แต่งงานแล้วนี่หว่า
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนมาสวมใส่ชุดเกราะสีดำและเดินออกมาจากที่ทำการของหอการค้าคนแคระเทวะ
แต่ออกมาได้เพียงไม่กี่ก้าว นักรบเทวะจากวิหารเทพพงไพรก็เดินเข้ามาขวางหน้าหลินเป่ยเฉินทันทีราวกับรอจังหวะ
“นายท่านของข้าอยากจะพบเจอเจ้า”
นักรบเทวะผู้นั้นกล่าว
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วและถามกลับไป “ใครคือเจ้านายของท่าน?”
นักรบเทวะผู้นั้นตอบว่า “เด็กน้อย เมื่อเจ้าไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง รับรองว่านี่จะเป็นเรื่องดีสำหรับตัวเจ้า”
“ตอนนี้ข้ากำลังยุ่ง”
หลินเป่ยเฉินปฏิเสธโดยตรง
นับตั้งแต่ที่เขามีชื่อเสียงในหุบผาอเวจีแดน 5 และแดน 6 ก็มีตระกูลเทวะจำนวนมากให้ความสนใจหลินเป่ยเฉิน เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งและเด็กหนุ่มก็ปฏิเสธไปทุกครั้งเช่นกัน
“ช้าก่อน”
นักรบเทวะมีสีหน้าร้อนรนขึ้นมาในทันใด “มันเป็นเรื่องดีสำหรับตัวเจ้าจริง ๆ อย่าได้พลาดโอกาสนี้เด็ดขาด…”
หลินเป่ยเฉินไม่สนใจรับฟังเพราะเขาต้องรีบไปเจอเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ย ไม่ทราบว่าเจ้าสนใจหรือไม่?”
เมื่อเห็นดังนั้น นักรบเทวะจึงเดินตามมาและพูดเสียงดัง
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงัก
เขาหมุนตัวกลับไป
กล่องข้อความพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา ‘ท่านเป็นใครกันแน่?’
เมื่อนักรบเทวะเห็นกล่องข้อความก็ถึงกับชะงักไปเล็กน้อย
ทันใดนั้น กล่องข้อความใหม่ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน อ่านได้ความว่า ‘อ้อ ท่านคงรู้แล้วสินะ ข้าเป็นใบ้ไม่สามารถพูดได้ ต้องสื่อสารกับท่านด้วยวิธีการนี้เท่านั้น’
นักรบเทวะพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว “ข้าเป็นองครักษ์จากคฤหาสน์ตระกูลฮัน ได้รับคำสั่งจากใต้เท้าฮันให้มาบอกเจ้าว่า บัดนี้ ฮันลั่วเซวี่ยและมารดาของนางอาศัยอยู่ในจวนตระกูลฮันแล้ว”
กล่าวจบ นักรบเทวะผู้นั้นก็หยุดชะงักไปอีกครั้ง
เป็นเช่นนี้ไม่ถูกต้อง
ก็เมื่อสักครู่นี้ เด็กหนุ่มยังพูดได้อยู่เลยไม่ใช่หรือ?
แล้วอยู่ดี ๆ ทำไมถึงกลายเป็นคนใบ้ไปเสียแล้ว?
‘เชิญนำทาง’
กล่องข้อความปรากฏขึ้นตรงหน้าหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
นักรบเทวะหนุ่มไม่ได้คิดอะไรมาก จึงรีบนำทางไปอย่างรวดเร็ว
หรือเมื่อสักครู่นี้เขาจะหูฝาดไปเอง?
ระหว่างทางที่เดินไปนั้น หลินเป่ยเฉินก็ส่งข้อความไปหาเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงทางแอปวีแชต ‘อาจไปสายครึ่งชั่วยาม พอดีมีเรื่องเร่งด่วน’
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบกลับมาทันที ‘บุรุษที่ไม่ตรงต่อเวลา นับเป็นเศษสวะที่ใช้การไม่ได้’
หลินเป่ยเฉินรีบอธิบายว่า ‘ข้ามีเรื่องเร่งด่วนจริง ๆ…’
หลังจากนั้นเขาก็ส่งข้อความไปถามต่อ ‘ขั้นตอนการลงทะเบียนเป็นอย่างไรบ้าง? ข้ามีชื่ออยู่ในการแข่งขันแล้วหรือยัง?’
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบกลับมา ‘ข้าเสียเงินไปจำนวนมาก ครั้งนี้มีแต่ขาดทุน เอาคะแนนศรัทธามาให้ข้าสักห้าแสนแต้มสิ แล้วข้าจะช่วยบรรจุชื่อเจ้าลงในการแข่งขัน’
‘ฝันไปเถอะ’
หลินเป่ยเฉินตอบข้อความกลับไปอย่างเรียบง่าย
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงส่งเครื่องหมายคำถามกลับมา ‘???’
‘เลิกฝันกลางวันได้แล้ว’
หลินเป่ยเฉินส่งข้อความไปอีกครั้ง ‘ข้าสงสัยว่าท่านกำลังจะหลอกเอาเงินข้าอีกแล้ว หากท่านไม่รีบหาทางลงทะเบียนให้สำเร็จ ข้าก็จะไม่สนใจการแข่งขันอีก’
‘ใจจืดใจดำ!’
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงส่งข้อความกลับมาอย่างแค้นเคือง ‘ลงนรกไปซะ เจ้าเศษสวะ’
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเหอะ ๆ ก่อนจะเก็บโทรศัพท์
เขาเชื่อว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจะต้องทำเรื่องลงทะเบียนได้สำเร็จแน่นอน
ไม่นานหลังจากนั้น
ณ หอสุราเหมียวเหมียวหง่าว
“มาถึงแล้ว”
นักรบเทวะกล่าว “นายท่านของข้ารอเจ้าอยู่บนห้องอาหารส่วนตัวที่ชั้นสอง”
“เหมียว ขอเชิญทางนี้เจ้าค่ะ”
เด็กรับใช้ครึ่งมนุษย์ครึ่งแมวกระโดดออกมานำทางทันที
เป็นนางอีกแล้ว
สายตาของหลินเป่ยเฉินอดจ้องมองช่วงเอวที่ส่ายไปส่ายมาของเด็กรับใช้แมวสาวผู้นี้ไม่ได้
นางไม่ต่างจากตัวการ์ตูนสองมิติที่เขาเคยอ่าน
แม้ว่าเด็กรับใช้แมวเหมียวผู้นี้จะตัวเตี้ยไปสักหน่อย แต่มันก็สมส่วนกับแขนขาของนางแล้ว อีกทั้งหางกับหูแมวนั่นก็ช่วยทำให้นางดูดีมีเสน่ห์อย่างแปลกประหลาด
หลินเป่ยเฉินมีปัญหาเพียงข้อเดียวก็คือ
หากถอดเสื้อผ้าออกมา ไม่ทราบว่าเด็กรับใช้แมวเหมียวผู้นี้จะมีร่างกายเป็นมนุษย์ หรือว่าจะมีร่างกายเป็นแมวน้อยขนปุยกันนะ?
“นายหญิงรออยู่ด้านในแล้วเจ้าค่ะ”
เด็กรับใช้แมวเหมียวยืนอยู่ข้างประตูห้องอาหารส่วนตัวที่หลินเป่ยเฉินมีความคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง “เชิญคุณชายเข้าสู่ด้านในได้เลยเจ้าค่ะ”
ความกระดากอายปรากฏขึ้นบนสีหน้าของหลินเป่ยเฉิน
ให้มันได้อย่างนี้สิ
ใครเป็นคนเลือกห้องอาหารกันนะ?
นี่มันห้องอาหารห้องเดียวกับที่เขาเคยมาเสียตัวให้แก่แม่นางชิงเล่ยเมื่อครั้งที่แล้ว
เมื่อเห็นสถานที่ ก็ย่อมต้องคิดถึงผู้คน
หลินเป่ยเฉินรีบนวดเอวตนเองโดยไม่รู้ตัว
ไม่เป็นไร
ครั้งนี้ เขามาพบผู้คน
ไม่ได้มาทำเรื่องพรรค์นั้นสักหน่อย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลินเป่ยเฉินก็ผลักประตูเดินเข้าไป
หลังจากนั้น เมื่อเขาเห็นผู้ที่นั่งรออยู่ภายในห้อง หัวสมองของเด็กหนุ่มก็มึนงง ความตื่นเต้นปรากฏขึ้นบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว
…
หน้าห้องอาหาร
จังหวะที่เด็กรับใช้แมวเหมียวกำลังจะปิดประตู นางจ้องมองแผ่นหลังของหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเหยียดหยาม
ระหว่างที่ยืนอยู่หน้าประตู นางกระซิบอะไรบางอย่างกับตนเองแผ่วเบา
หากมีคนเดินเข้ามารับฟังใกล้ ๆ ก็จะได้ยินว่าเด็กรับใช้แมวเหมียวกำลังกัดฟันก่นด่าเด็กหนุ่มด้วยความแค้นเคืองเป็นอย่างยิ่ง
“เหมียว เขานี่มันไร้ยางอายจริง ๆ”
“ไม่กี่วันก่อน เขาเพิ่งมาเปิดห้องกับท่านพี่ชิงเล่ย แต่วันนี้เขากลับเปลี่ยนหญิงสาวเป็นคนใหม่เสียแล้ว…”
“เหมียว ฆ่าทิ้งเลยดีไหมนะ?”
“เศษสวะเช่นนี้สมควรตายจริง ๆ เหมียว”
“ไม่ได้ หากทำเช่นนั้น ท่านพี่ชิงเล่ยอาจจะต้องเสียใจ นางเป็นสาวงาม หากนางร้องไห้ ผู้คนจะหัวใจสลาย…”
“ข้าจะใช้ศิลาบันทึกภาพและส่งไปให้ท่านพี่ชิงเล่ยดู…”
“เดี๋ยวก่อนนะ ดูเหมือนข้าจะเข้าไปในห้องอาหารไม่ได้?”
“เหมียว น่าเสียดายจริง ๆ”
เด็กรับใช้แมวเหมียวมีสีหน้าเศร้าซึม พยายามคิดหาทางแก้แค้นเด็กหนุ่มที่อยู่ในห้องอาหารให้จงได้
“หรือว่าเราจะตามท่านพี่ชิงเล่ยมาดูให้เห็นกับตาตอนนี้เลยดีไหม?”
“ไม่ได้ เจ้าของหอสุราใจดำคงต้องไล่เราออกเป็นแน่แท้”
ในที่สุด เด็กรับใช้แมวเหมียวก็ต้องล้มเลิกแผนการของตนเองไป
…
ภายในห้องอาหาร
ผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามหลินเป่ยเฉินเป็นสตรีนางหนึ่ง
นางมีท่วงท่าองอาจผ่าเผย ลักษณะเหมือนนักรบ
สวมใส่ชุดเกราะสีดำทมิฬ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรูปแบบหรือความประณีตของชุดเกราะนั้น ต่างก็สามารถบอกได้ตั้งแต่แรกเห็นว่ามีความโดดเด่นเหนือชุดเกราะของนักรบเทวะทั่วไปหลายเท่า
ยามที่นางนั่งอยู่ในห้องอาหารแห่งนี้ หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกไม่ต่างจากตนเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับเครื่องจักรสังหารในเงามืดผู้หนึ่ง
และสิ่งที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจมากกว่าเดิมก็คือ สตรีผู้นี้มีพลังปราณเทวะแผ่ออกมาจากร่างกายอย่างหนาแน่น
พลังกดดันที่รุนแรงเช่นนี้ คือสิ่งที่ย้ำเตือนว่านางคงสังหารคู่ต่อสู้ในสมรภูมิรบมานับครั้งไม่ถ้วน
หากเฉียนเหมยอยู่ที่นี่ สตรีผู้นี้ก็คงเป็นวีรสตรีประจำใจของนางแล้ว
หลินเป่ยเฉินคิดเช่นนั้น
“เจ้าคือเจ้าใบ้ที่ช่วยตระกูลฮันไว้ใช่หรือไม่?”
สตรีนักรบค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน นางมีความสูงมากกว่าหลินเป่ยเฉิน แววตายามที่จ้องมองมาทางเขาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ข้าขอแนะนำตนเองก่อน ข้ามีนามว่าอันต้าหวง เป็นรองผู้บัญชาการหน่วยรบเทวะของวิหารเทพพงไพรประจำแดนพายัพและเป็นภรรยาของฮันฉวิน”
อ้าว
แต่งงานแล้วนี่หว่า
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหงึกหงัก เสแสร้งแกล้งเป็นใบ้ต่อไป
“ข้าตามหาเจ้ามานานแล้ว”
อันต้าหวงกล่าวต่อ “ข้าเคยไปหาเจ้าที่สถานีขนส่งแดน 4 หลายครั้งแต่ก็ไม่เคยพบเจอเจ้า คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะโชคดี… ฮันลั่วเซวี่ยคิดถึงเจ้ามากนัก หวังว่าเจ้าจะตามข้ากลับไปพบเจอนางที่จวนตระกูลฮัน”
ว่าไงนะ?
หลินเป่ยเฉินถึงกับชะงักกึก
นี่หมายความว่าอย่างไร?
ทำไมเขาถึงเริ่มรู้สึกตะหงิดใจอย่างไรชอบกล