ตอนที่ 1,239 ครั้งหน้าหาข้ออ้างที่สร้างสรรค์มากกว่านี้หน่อยสิ
“คงไม่ดีสักเท่าไหร่กระมัง”
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาอย่างมีความสุขและกล่าวว่า “ในเมื่อคิดจะสู้ก็สู้ เหตุไฉนถึงต้องรอเวลาอื่นด้วย?”
เมื่อบรรลุกระบวนท่ากระบี่ที่แปด เด็กหนุ่มก็มีความมั่นใจในตนเองอย่างยิ่ง
และเขามักจะทำตัวเก่งกาจต่อหน้าสาวงามเสมอ
หลินเป่ยเฉินไม่มีทางปล่อยให้สาวงามมาทำตัวเก่งกาจต่อหน้าต่อตาตนเองเพียงฝ่ายเดียวเด็ดขาด
“อ้อ”
เจียงรั่วไป๋พยักหน้าอย่างใช้ความคิด
ทันใดนั้น…
นางก็ดีดนิ้วมืออย่างแผ่วเบา
วูบ!
ลำแสงกระบี่สีน้ำตาลแดงพุ่งผ่านข้างขมับและเฉียดใบหูของหลินเป่ยเฉินไปอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด
ปอยผมของเขาส่วนหนึ่งปลิวกระจาย
ปอยผมเหล่านั้นร่วงลงมาบนหัวไหล่ของเขา
และในอากาศด้านหลังศีรษะของหลินเป่ยเฉินก็ปรากฏหยดเลือดสาดกระเซ็นเล็กน้อย
ลำแสงกระบี่สีน้ำตาลแดงที่ดูไม่น่ามีอันตรายอันใดนั้น เมื่อพุ่งเข้ามาถึงตรงหน้าหลินเป่ยเฉิน มันกลับกลายเป็นแหกระบี่ครอบคลุมทั่วใบหน้าของเขา
ดวงตาที่อยู่ภายใต้กระบังหมวกเหล็กของหลินเป่ยเฉินเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง…
นี่คือการโจมตีที่อันตรายสุดขีด
ดีที่การดีดนิ้วของหญิงสาวช่วยสลายแหกระบี่เหล่านั้นลง
ในอากาศธาตุที่ว่างเปล่าข้างกายเจียงรั่วไป๋บัดนี้ได้ปรากฏร่างของมือสังหารชุดเกราะสีแดงดำผู้หนึ่งขึ้นมาแล้ว
หากเมื่อสักครู่ มือสังหารผู้นี้ไม่ได้ถูกเจียงรั่วไป๋สกัดเอาไว้ หลินเป่ยเฉินก็คงไม่ได้มีเพียงปอยผมขาดกระจายและมีเลือดสาดกระเซ็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น…
“ข้าสั่งแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าลงมือโดยไม่ได้รับอนุญาต”
สายตาของเจียงรั่วไป๋จ้องมองไปที่มือสังหารด้วยความอำมหิต “เจ้าต้องทำงานตามคำสั่งของข้าเท่านั้น บัดนี้ ไสหัวไปได้แล้ว”
มือสังหารค้อมศีรษะลงเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวพุ่งกายจากไป
เจียงรั่วไป๋หันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง “สรุปว่า… เจ้ายืนกรานที่จะต่อสู้กันบัดนี้เลยใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มอย่างเยือกเย็น
“โปรดจำไว้ว่าท่านสามารถกลับออกไปจากที่นี่ได้ ก็เพราะข้าเห็นว่าท่านห้ามปรามมือสังหารที่ข้าค้นพบอยู่ก่อนแล้ว ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงตัดสินใจไว้หน้าท่านสักเล็กน้อย ข้าจะยอมรับคำขอร้องของท่าน และให้เวลาท่านได้เตรียมตัวฝึกฝนให้แข็งแกร่งมากกว่านี้ ข้าก็ได้แต่หวังว่าเมื่อเราพบกันอีกครั้งในการแข่งขัน… ท่านก็คงแข็งแกร่งมากขึ้นแล้ว”
หลินเป่ยเฉินเงยหน้าพูดด้วยน้ำเสียงของผู้ที่อยู่เหนือกว่า
ริมฝีปากของเจียงรั่วไป๋กระตุกเล็กน้อย
คำขอร้องของนาง?
ช่างไร้ยางอายจริง ๆ
วูบ!
เจียงรั่วไป๋ขี้เกียจที่จะพูดจากับเขาอีก นางจึงเปลี่ยนร่างกลายเป็นลำแสงและหายวับไปในอากาศทันที
หลินเป่ยเฉินยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง
เมื่อแน่ใจว่าเจียงรั่วไป๋จากไปแล้วจริง ๆ เขาถึงได้ยกมือขึ้นกุมอก และทิ้งตัวลงนั่งพังพาบบนพื้นดินด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
ให้ตายสิ
แม่งเอ๊ย!
เกือบตายแล้วไหมล่ะ
ผู้หญิงอะไรน่ากลัวชะมัด
อายุเพียงเท่านี้ กลับมีความเย็นชาจนน่าขนลุก
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นหยิบเศษปอยผมที่ตกอยู่บนหัวไหล่ขึ้นมา ในใจรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว วันนี้มือสังหารของนางทำผมเขาขาด วันหน้าเขาจะถอดหมวกเหล็กของนางออกและกระชากผมนางให้ขาดดูบ้าง…
หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็ถามขึ้นมาลอย ๆ ว่า “เรียบร้อยแล้วหรือไม่?”
“กราบเรียนนายท่าน เรียบร้อยแล้วขอรับ”
เสียงที่คุ้นหูดังตอบกลับมา
เป็นเสียงที่ดังออกมาจากเงาของหลินเป่ยเฉินที่ทอดทับอยู่บนพื้นดิน
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ
หากอีกฝ่ายอยากจะฆ่าเขา ก็ต้องเตรียมตัวถูกฆ่าด้วยเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินจะปล่อยให้มือสังหารที่แอบเข้ามาลอบโจมตีเขาลอยนวลไปได้อย่างไร?
“ประเสริฐ”
หลินเป่ยเฉินกล่าว “กงกง พลังของเจ้าแข็งแกร่งมากกว่าที่ข้าคิดเอาไว้อีกนะเนี่ย หากมือสังหารผู้นั้นไม่ถูกหญิงผู้นี้ห้ามปรามเอาไว้ก่อน เจ้าคิดว่าตนเองสามารถขัดขวางเขาได้หรือไม่?”
ใช่แล้ว
หลังจากที่ปลดผนึกตำแหน่งเซียนกระบี่แห่งเมืองไป๋หยุนได้สำเร็จ หลินเป่ยเฉินก็ได้ความทรงจำในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกงกงกลับคืนมา และเด็กหนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนตนเองลืมเลือนอะไรไปอีกแล้ว
เขาเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดตอนที่โดยสารแท็กซี่ตี๋น้อย ระบบถึงแจ้งเตือนว่าภายในรถมีผู้โดยสารสองคน
ปรากฏว่าผู้โดยสารคนที่สองก็คือกงกง ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงาของหลินเป่ยเฉินนั่นเอง
เมื่อกงกงมาถึงดินแดนทวยเทพ แขนกลเทพเจ้าดาวเหนือของเขาก็เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด ดูเหมือนว่าอดีตอันธพาลผู้นี้จะสามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ดีมากกว่าหลินเป่ยเฉินหลายเท่า
น้ำเสียงที่หนักแน่นมั่นคงและแสดงออกถึงความซื่อสัตย์ดังตอบกลับมาจากเงาบนพื้นดิน “ข้าน้อยมีความมั่นใจหกจากสิบส่วนขอรับ”
ให้ตายเถอะ
หลินเป่ยเฉินเกือบจะอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
มือสังหารชุดเกราะแดงดำผู้นั้นลงมือโดยไม่มีสัญญาณเตือน
แม้ขั้นพลังระหว่างมือสังหารกับกงกงจะแตกต่างกันมาก แต่ความมั่นใจของกงกงก็ทำให้หลินเป่ยเฉินอดประหลาดใจไม่ได้
“ดูเหมือนความแข็งแกร่งของเจ้าจะเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วเหลือเกินนะ?”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
แม้แต่กงกงก็ชักจะมีความแข็งแกร่งเกินหน้าเกินตาเขาไปอีกคนแล้วหรือ?
“ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือกับคัมภีร์ที่พ่อบ้านหวังจงมอบให้ข้าน้อยมาขอรับ หลังจากมาถึงดินแดนทวยเทพ ข้าน้อยก็ไม่คิดเช่นกันว่าตนเองจะปรับตัวได้รวดเร็วเช่นนี้ ในขณะนี้ ต่อให้ข้าน้อยไม่ฝึกวิชา ความแข็งแกร่งของข้าน้อยก็เพิ่มขึ้นเองโดยไม่ต้องทำสิ่งใดเลย และดูเหมือนว่าแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือจะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยขอรับ”
กงกงตอบออกมาตามความเป็นจริง
เขายังเป็นอดีตอันธพาลที่จริงใจใสซื่อไม่เปลี่ยนแปลง
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ต้องนิ่งเงียบใช้ความคิด
ดูเหมือนจะไม่ใช่กงกงเสียแล้วที่เขามองข้ามไป
แต่เป็นเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกับหวังจงผู้ที่พึ่งพาไม่ค่อยได้ทั้งสองคนนั้นต่างหากที่เขามองข้าม
คัมภีร์แขนกลเทพเจ้าดาวเหนือเป็นเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงมอบให้กับเขา ส่วนเคล็ดวิชาลับสุดยอดที่กงกงฝึกฝนนั้น หวังจงก็เป็นคนมอบให้…
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าเรื่องราวนี้ไม่ถูกต้อง
แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาสอบสวน
ถึงอย่างไรกงกงก็เป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของเขา ยิ่งกงกงแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อหลินเป่ยเฉินมากเท่านั้น
วูบ!
ลำแสงสีแดงดำทิ้งตัวลงมาจากท้องฟ้า
เป็นเจียงรั่วไป๋ที่จากไปแล้วกลับมาอีกครั้ง
คราวนี้นางไม่ได้เปิดกระบังหมวกเหล็กแล้ว
ดวงตาที่อยู่หลังหมวกเหล็กเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้น “เจ้าสังหารคนของข้าใช่หรือไม่?”
ไม่นานหลังจากที่นางเดินทางกลับไป หญิงสาวก็พบว่ามือสังหารประจำตระกูลได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตอยู่ข้างทาง ร่างกายถูกสัตว์อสูรกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย…
“ในเมื่อท่านคิดว่าใช่ก็คงใช่กระมัง”
หลินเป่ยเฉินยกมือท้าวเอว พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “ข้าเคยพบเจอสตรีอย่างท่านมาเยอะแล้ว เพราะลุ่มหลงในความหล่อเหลาของข้า ท่านจึงหาข้ออ้างมากมายที่จะกลับมาพบหน้าข้าอีกครั้ง ฮ่า ๆ เหตุไฉนไม่พูดความจริงออกมาเลยเล่า ที่ท่านกลับมาครั้งนี้ ก็เพราะคิดถึงข้าไม่ใช่หรือ?”
ริมฝีปากของเจียงรั่วไป๋ที่อยู่ภายใต้หมวกเหล็กกระตุกไม่หยุดยั้ง
วูบ!
แล้วหญิงสาวผู้มีฉายาว่ากุหลาบเทวะ ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นนักรบเทวะอันดับหนึ่งแห่งสภาเทพเจ้า ก็เลือกที่จะเปลี่ยนร่างกลายเป็นลำแสงเดินทางจากไปด้วยความเร็วสูงสุด
เพราะว่าเจี๋ยนเซียวเหยาผู้นี้หน้าหนาเกินไป
นางเกรงว่าหากสนทนากับเขาอีกเพียงไม่กี่คำ ตนเองจะผิดคำสัญญาที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้และฆ่าเขาตายเสียที่นี่ก็เป็นได้
“ครั้งหน้าหาข้ออ้างที่สร้างสรรค์มากกว่านี้หน่อยสิ หรือจะเดินเข้ามาพูดคุยกับข้าตรง ๆ ก็ได้น้า…”
หลินเป่ยเฉินยกมือป้องปากตะโกนเสียงดัง
ฮ่า ๆ
ไม่มีผู้ใดจะสามารถรับมือกับสตรีได้ดีมากไปกว่าเขาอีกแล้ว
ในอีกสองชั่วยามต่อมา หลินเป่ยเฉินก็ไล่ล่าฆ่าฟันสัตว์ประหลาดอย่างสนุกสนาน พร้อมกับฝึกควบคุมการใช้พลังเวทมนตร์ของตนเองไปในตัว
บัดนี้ การฝึกฝนวิชาจากแอปพลิเคชันกระบี่สิบเจ็ดคาบสมุทรฉบับไม่สมบูรณ์ในกระบวนท่ากระบี่ที่แปดนั้น มีความคืบหน้าเพียงยี่สิบหกเปอร์เซ็นต์
นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินสามารถตรวจสอบสถานะได้ว่าตนเองฝึกวิชาจากแอปพลิเคชันได้มากน้อยเพียงใด
นี่แสดงให้เห็นถึงความพิเศษของแอปกระบี่สิบเจ็ดคาบสมุทร
ด้วยระดับความเร็วเพียงเท่านี้ กว่าจะบรรลุกระบวนท่ากระบี่ที่แปดถึงกระบี่ที่สิบสี่ได้ทั้งหมด เกรงว่าคงต้องใช้ระยะเวลาอีกไม่น้อย
แต่หลินเป่ยเฉินกลับตื่นเต้นมากขึ้น
เพราะยิ่งใช้เวลาในการฝึกมากเท่าไหร่ การโจมตีก็ยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น
หรือจะเป็นความจริงที่ว่าเมื่อสามารถบรรลุกระบวนท่ากระบี่ที่สิบสี่ได้สำเร็จ ในดินแดนทวยเทพแห่งนี้ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถต่อกรกับเขาได้อีก?
หลินเป่ยเฉินเริ่มเชื่อถือคำพูดของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
สองชั่วยามให้หลัง หลินเป่ยเฉินก็ออกมาจากหุบผาอเวจี
เขาตรงกลับไปที่หอการค้าคนแคระเทวะประจำสถานีขนส่งแดน 4 และขายซากสัตว์อสูรที่ล่ามาได้ทั้งหมด ซึ่งนั่นก็กลายเป็นผลงานที่น่าประทับใจของชิงเล่ยผู้เป็นผู้ดูแลหอการค้าคนใหม่ที่หลายคนจับตามอง
เมื่อการซื้อขายเสร็จสิ้นลง
เขาก็รับตัวสองแม่ลูกไปหาดูบ้านเช่าในพื้นที่เขต 1
นี่ไม่ใช่สิ่งที่หลินเป่ยเฉินต้องเป็นกังวล
เนื่องจากจอมเสเพลอันดับหนึ่งแห่งเมืองเยี่ยเฉิงอย่างฉินโซวได้ติดต่อบ้านเช่าไว้ให้พวกเขาเลือกดูถึงสี่หลัง
หลังจากเลือกได้บ้านที่พอใจแล้ว ชิงเล่ยก็จ่ายเงินค่าเช่าตามคำแนะนำของหลินเป่ยเฉิน แล้วนางกับบุตรสาวก็ได้บ้านหลังใหม่เป็นจวนที่ตั้งอยู่บนเนินเขาลอยฟ้า ราคาของจวนหลังนี้คือศิลาเทวะหนึ่งร้อยก้อน ซึ่งแลกกับการที่พวกนางจะอยู่ที่นี่ได้เป็นเวลาหนึ่งร้อยปี
แม้ว่านี่จะเป็นเงินก้อนโต แต่ซากสัตว์อสูรที่หลินเป่ยเฉินนำมาขายเมื่อตอนเช้า ก็ทำให้ชิงเล่ยได้รับส่วนแบ่งจนมีเงินมากพอที่จะมาจ่ายค่าเช่าได้สำเร็จ
หลังจากนี้ไป เรื่องเงินจะไม่เป็นปัญหาสำหรับชิงเล่ยอีกแล้ว
นี่คือสิ่งที่นางไม่เคยคิดฝันมาก่อน
เมื่อเห็นบุตรสาวของตนเองกระโดดโลดเต้นอยู่ในสนามหญ้าหน้าจวนอย่างมีความสุข ชิงเล่ยก็ร้องไห้ออกมาด้วยความปลาบปลื้มโดยไม่รู้ตัว
ชีวิตเช่นนี้คือสิ่งที่ชิงเล่ยไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นความจริง
หญิงสาวแทบไม่เชื่อว่าชีวิตที่มีแต่ความมืดมนหมดหวัง บัดนี้ กลับเต็มไปด้วยแสงสว่างไสว
บุรุษหนุ่มคนหนึ่งทำร้ายหัวใจของนางจนแหลกเหลว ส่วนบุรุษหนุ่มอีกคนหนึ่งก็มอบแสงสว่างและช่วยทำให้หัวใจของนางกลับมาอบอุ่นอีกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าหรือผืนดิน ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้าหรือก้อนหิน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่รอดชีวิตหรือคนตาย… ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง เจี๋ยนเซียวเหยาก็จะคอยยืนหยัดอยู่ข้างนางเสมอ
ชิงเล่ยลอบสบถสาบานอยู่ในใจ
ในชีวิตนี้ นางยอมทำทุกอย่างเพื่อเขาแล้ว
หญิงสาวอาศัยจังหวะที่อันอันไม่ทันได้สนใจ ฉุดดึงเด็กหนุ่มเข้าไปในห้องภายในจวนและเริ่มต้นจุดชนวนสงครามอันดุเดือด…
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม สงครามก็ยุติลง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
ในเวลาเดียวกันนี้ หัวใจของเขาก็เกิดคำถามมากขึ้นเรื่อย ๆ
‘สตรีในดินแดนทวยเทพเกิดมามีพลังพิเศษเหมือนกันหมดหรือไม่ เหตุไฉนทุกครั้งที่เราหลับนอนกับชิงเล่ย พลังศักดิ์สิทธิ์ของเราถึงเพิ่มขึ้นเช่นนี้?’
หลินเป่ยเฉินแทบไม่ต้องเหนื่อยแรงเลย
ชิงเล่ยเป็นคนจัดการทุกอย่าง
หลังจากนั้น ชิงเล่ยผู้เป็นเจ้าของจวนคนใหม่ก็รับหน้าที่จัดหาบ่าวรับใช้ และจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ตามสมควร…
หลินเป่ยเฉินออกจากจวนก็มุ่งหน้าตรงไปที่วิหารเทพพงไพรสาขาที่ 98 ประจำแดนพายัพ
เพราะว่าป้ายประจำตัวผู้เข้าแข่งขันของเขากำลังส่องแสงกะพริบวิบวับ
มีคนส่งข้อความมา
ในที่สุด การแข่งขันเพื่อช่วงชิงตำแหน่งเทพเจ้าหน้าใหม่แห่งสภาเทพเจ้าก็กำลังจะเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว!!