ตอนที่ 1,253 เส้นทางคนบาป
“บัดนี้ นายท่านโด่งดังแล้วจริง ๆ ขอรับ ทั่วเมืองเยี่ยเฉิงไม่มีผู้ใดไม่อยากพบเจอนายท่าน นี่ ไม่ว่านายท่านจะเชื่อหรือไม่ แต่หากนายท่านไม่รีบหาที่ซ่อนตัว รับรองว่าต้องมีผู้คนจำนวนมากพังประตูเข้ามาหานายท่านแน่นอน”
เฉียนหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นและจริงใจ
เขารู้สึกโชคดีกับการตัดสินใจของตนเองในหุบเขามรณะ
การยอมเสียหน้าในครั้งนั้น ทำให้เขาสามารถเกาะติดเด็กหนุ่มหน้าขาวได้ในครั้งนี้
ในความเห็นของเฉียนหลง บุคคลภายนอกกำลังมองเด็กหนุ่มผู้นี้ผิดไป
ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่าเต็มที่เด็กหนุ่มก็คงเข้าสู่รอบสิบคนสุดท้าย
แต่มีเพียงผู้ที่ได้เห็นการสังหารราชาหมาป่าศิลาด้วยตาของตนเองเท่านั้น จึงจะรู้ว่าเด็กหนุ่มมีคุณสมบัติดีพอที่จะผ่านเข้าสู่รอบสามคนสุดท้ายได้อย่างไม่เคอะเขิน
สามคนสุดท้าย!
เมื่อได้ผ่านเข้าสู่รอบสามคนสุดท้าย นั่นหมายความว่าจะได้กลายเป็นเทพเจ้าที่มีผู้คนนับหน้าถือตามากมาย
สถานะสูงส่ง
อย่างน้อยก็เป็นเทพเจ้าชั้นกลาง
และเทพเจ้าชั้นกลางจำนวนมากก็ถูกบรรจุอยู่ในสภาเทพเจ้าแล้ว
การเป็นมิตรสหายหรือแม้แต่ผู้ติดตามของเทพเจ้าอนาคตไกลเช่นนี้ ย่อมมีแต่ได้กับได้เท่านั้น
หลินเป่ยเฉินสำรวจมองรายชื่อในมือของตนเอง ขมวดคิ้วใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนถามออกมาว่า “ผู้เข้าแข่งขันที่ชื่อฮันลั่วเซวี่ย เจ้าพอจะทราบรายละเอียดของนางบ้างหรือไม่?”
“หืม? คุณชายสนใจแม่นางท่านนี้เหมือนกันหรือขอรับ?”
เฉียนหลงเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ “สมควรแล้วที่นายท่านจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค สายตาช่างเฉียบแหลมยิ่งนัก”
หลังจากนั้น เขาก็กล่าวต่อ
“รายละเอียดอย่างเป็นทางการข้าน้อยไม่ทราบ แต่ข้าน้อยได้ยินข่าวลือมาว่าแม่นางผู้นี้มีพลังเวทสูงส่ง เปรียบดั่งเพชรเม็ดงามของดินแดนทวยเทพ เห็นว่านางเพิ่งจะปลดผนึกพลังของตนเองได้ก่อนเข้าร่วมการแข่งขันไม่นาน ซึ่งทำให้ใต้เท้าเหลียน หนึ่งในเทพเจ้าผู้ควบคุมสภาเทพเจ้าตกใจเป็นอย่างยิ่ง แม่นางฮันลั่วเซวี่ยผู้นี้จึงได้รับการบรรจุชื่อเข้าแข่งขันในฐานะตัวแทนของใต้เท้าเหลียนโดยเฉพาะ และนางก็ถูกส่งไปยังคุกทมิฬ จนกระทั่งจบการแข่งขันด้วยอันดับที่สิบแปด ซึ่งนับว่าสามารถสร้างผลงานได้น่าประทับใจอย่างยิ่ง…”
เพิ่งปลดผนึกพลังของตนเองได้อย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้น ในหัวใจก็อุทานออกมาทันทีว่า ‘ไม่นะ ไม่นะ ไม่นะ ไม่นะ’
หรือว่าจะเป็นบุตรสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมจริง ๆ?
“ข้าอยากรู้ข้อมูลของนางให้มากกว่านี้ ไปสืบมาให้ได้มากที่สุด”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง
“เรื่องนี้จัดการไม่ยาก ข้าน้อยจะสั่งให้คนไปสืบมาเดี๋ยวนี้ขอรับ”
เฉียนหลงตบหน้าอกของตนเองด้วยความมั่นใจ จากนั้นจึงสื่อสารผ่านทางกำไลผลึกแก้วกิเลนรุ่นที่เก้า สั่งให้ลูกสมุนของตนเองออกไปสืบข้อมูลอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็ยิ้มแย้มประจบประแจงและกล่าวต่อ “ภายในสามชั่วยาม เราน่าจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมแล้วขอรับ… นี่ นายท่าน ข้าน้อยได้ยินมาว่าตัวจริงของแม่นางฮันลั่วเซวี่ยนั้นงดงามมาก หากนายท่านสนใจ ข้าน้อยสามารถเตรียมการให้ได้นะขอรับ”
“หา? นางเป็นถึงยอดอัจฉริยะภายใต้อาณัติของผู้นำแห่งสภาเทพเจ้า เจ้ากล้าไปตอแยกับนางเชียวหรือ?”
หลินเป่ยเฉินอดตกตะลึงกับขวัญกำลังใจที่แสนกล้าหาญของเฉียนหลงไม่ได้
เฉียนหลงชะงักไปเล็กน้อยและรีบกล่าวว่า “กราบเรียนนายท่าน ข้าน้อยหมายความว่าข้าน้อยมีแผนการที่จะเอาชนะใจสาวงามเหล่านี้ได้ขอรับ… ไม่ได้มีแผนการประทุษร้ายทำอันตรายอย่างที่นายท่านกำลังเข้าใจ”
“เฮอะ”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองด้วยแววตาเหยียดหยามทันที
เขาสำรวจดูรายชื่อลำดับคะแนนอีกครั้ง สุดท้ายสายตาก็สะดุดเข้ากับชื่อของผู้ที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งแห่งอุโมงค์ล่มเมือง
จุ่ยถูู?
ที่แปลว่าเส้นทางคนบาปอย่างนั้นหรือ?
ชื่อนี้ต้องมีที่มาที่ไปแน่ ๆ
และที่แตกต่างจากชื่อของคนอื่นก็คือ ชื่อของบุคคลผู้นี้ถูกเขียนด้วยหมึกสีแดงราวกับโลหิต
“ทำไมชื่อของคนผู้นี้ถึงได้แตกต่างจากผู้อื่น?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความไม่รู้ “ทำไมชื่อของเขาถึงเป็นสีแดง? หรือว่าเขาเป็นผู้เข้าแข่งขันที่มีฝีมือแข็งแกร่งมากที่สุด?”
“ไม่ใช่ขอรับ ที่ชื่อของเขาเป็นสีแดง ก็เพราะว่าเขาเป็นคนบาป”
เฉียนหลงตอบด้วยความรู้ขั้นพื้นฐาน “นายท่านลองสำรวจดูให้ดีสิขอรับ ในบรรดารายชื่อเหล่านี้ มีคนบาปเข้าแข่งขันด้วยจำนวนไม่น้อยเลย”
หลินเป่ยเฉินลองกวาดสายตาดูรายชื่อบนม้วนกระดาษอีกครั้ง
แน่นอนว่าในบรรดาสองร้อยรายชื่อที่อยู่ในมือของเขา มีรายชื่อที่เขียนด้วยหมึกสีแดงอยู่จำนวนทั้งสิ้นยี่สิบสี่คน
“คนบาปก็เข้าร่วมการแข่งขันได้ด้วยหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ
“ก่อนหน้านี้ไม่ได้รับอนุญาตหรอกขอรับ แต่ภายหลัง สภาเทพเจ้าเริ่มผ่อนปรนกฎเกณฑ์ที่เคยเข้มงวด เพราะฉะนั้น ต่อให้มีสถานะเป็นคนบาป ก็สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้แล้ว…”
“อย่างเช่นจุ่ยถููผู้นี้ เขาคือคนบาปจากเหมืองอเวจี มีสถานะเป็นทาสรับใช้ของเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ และการเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ จุ่ยถููก็มาในฐานะตัวแทนของเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ รางวัลที่เขาจะได้รับจากการแข่งขันทั้งหมด ก็จะตกเป็นของเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ไปโดยปริยายขอรับ”
เฉียนหลงอธิบายข้อมูลอย่างละเอียด
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”
หลินเป่ยเฉินพูด “ถ้าอย่างนั้นจุ่ยถููผู้นี้ก็เป็นเครื่องมือให้ผู้อื่นเอาไว้ใช้งานเท่านั้นเองสินะ ช่างน่าสงสารเหลือเกิน”
“เป็นเครื่องมือ? ช่างเป็นการเปรียบเปรยที่แปลกประหลาด แต่ก็ถูกต้องแล้วขอรับ”
เฉียนหลงรู้สึกสนใจในคำพูดของหลินเป่ยเฉิน
เขารีบกล่าวต่อด้วยความกระตือรือร้น “ข้าน้อยยังรู้ข้อมูลเกี่ยวกับจุ่ยถููมากกว่านี้อีกขอรับ เขาเพิ่งเป็นที่รู้จักในดินแดนทวยเทพของเราเมื่อครึ่งปีที่แล้วนี้เอง ว่ากันว่าบรรดาทาสรับใช้ที่ถูกจับมาจากต่างภพจะถูกส่งตัวไปใช้แรงงานที่เหมืองอเวจี เดิมทีคนกลุ่มนี้มีสถานะเป็นเพียงแรงงานชั้นต่ำ ไม่มีทางลืมตาอ้าปากได้เด็ดขาด”
“แต่จุ่ยถููผู้นี้กลับสามารถชนะการประลองในเหมืองอเวจีได้ถึงเจ็ดสิบสองครั้งติดต่อกัน นั่นจึงทำให้เขาได้รับความสนใจจากเทพเจ้าตระกูลต่าง ๆ แต่น่าเสียดายที่กลุ่มเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ได้ทำสัญญากับเขาเอาไว้ก่อนแล้ว และนั่นก็เป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาด เพราะบุรุษหนุ่มผู้นี้สามารถจบการแข่งขันรอบแรก ด้วยการเป็นอันดับหนึ่งในอุโมงค์ล่มเมืองได้จริง ๆ”
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูง
เขาสนใจเกี่ยวกับการจับกุมคนต่างภพมาเป็นทาสรับใช้
เพราะหากจะว่าไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้คนในแผ่นดินตงเต้า ผู้คนในดินแดนจันทราขาว และสถานที่อื่น ๆ ซึ่งอยู่นอกเหนือดินแดนทวยเทพ ต่างก็ถือเป็นโลกต่างภพทั้งสิ้น
หลังจากสำรวจดูรายชื่ออันดับคะแนนเสร็จเรียบร้อย สมองของหลินเป่ยเฉินก็กลับมานึกถึงแผนการสำคัญที่เขาวางเอาไว้ก่อนหน้านี้…
หากสามารถหาวิธีรักษาโรคบุปผามรณะได้ เขาก็จะทำเงินได้เป็นจำนวนมหาศาล
ความคิดและแผนการของหลินเป่ยเฉินไม่มีสิ่งใดซับซ้อน
ในเมื่อยาถอนพิษตรายินเคียวโกยตั๊กเพี่ยงสามารถขจัดพิษที่รุนแรงที่สุดในแผ่นดินตงเต้าได้ ถ้าอย่างนั้นมันก็น่าจะมีตัวยาสักตัวที่วางขายอยู่ในแอปเถาเป่าที่สามารถรักษาโรคบุปผามรณะได้เช่นกัน
หากเขาสามารถค้นพบยารักษาโรคบุปผามรณะได้ นอกจากจะสามารถช่วยเหลืออันอันจากเงื้อมมือแห่งความตายได้แล้ว หลินเป่ยเฉินยังจะกลายเป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวยอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจได้แล้ว ไหน ๆ มีโอกาสได้ขึ้นมาอยู่บนดินแดนทวยเทพทั้งที เขาก็ควรกอบโกยผลประโยชน์กลับไปให้ได้มากที่สุด
ยิ่งเขาประสบความสำเร็จในดินแดนทวยเทพมากเท่าไหร่ ความยิ่งใหญ่ของเขาในแผ่นดินตงเต้าก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ จึงจำเป็นที่จะต้องมีชื่อเสียงโด่งดังเสียก่อน
และคงไม่มีผู้ใดโด่งดังมากไปกว่าผู้ที่สามารถรักษาโรคบุปผามรณะได้สำเร็จอีกแล้ว
แผนการถูกวางมาได้ครึ่งทาง
“เฉียนหลง ข้าสามารถเชื่อใจเจ้าได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ สองตาจ้องมองไปที่เฉียนหลง สีหน้าเกิดความลังเลใจเล็กน้อย
ถึงอย่างไรเฉียนหลงก็เป็นคนของดินแดนทวยเทพ ซ้ำยังเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ หากเขารับหมอนี่เป็นน้องชายร่วมสาบาน ก็จะสามารถประหยัดเวลาไปได้เยอะทีเดียว
แต่ถ้าเกิดเฉียนหลงหักหลังเขาขึ้นมา หลินเป่ยเฉินก็ต้องเสียหายใหญ่หลวงแล้ว
“นายท่านมีอะไรจะปรึกษาข้าน้อยหรือขอรับ?”
ในเวลาเดียวกันนี้ เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางของหลินเป่ยเฉิน สัญชาตญาณของเฉียนหลงก็เริ่มทำงานอีกครั้ง เขายกมือตบหน้าอกตนเองแสดงความมั่นใจ “นายท่านได้โปรดวางใจ ต่อให้ข้าน้อยต้องขายบิดาของตนเองเพื่อนายท่าน ข้าน้อยก็ยินดีทำขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
ไอ้หมอนี่มันพูดอะไรของมันเนี่ย?
คนที่กล้าขายบิดาของตนเองคือคนที่ไม่สามารถเชื่อใจได้ที่สุดแล้ว
แต่ยังคงมีอีกวิธีหนึ่งที่หลินเป่ยเฉินจะพิสูจน์ว่าเฉียนหลงโกหกหรือไม่
เด็กหนุ่มนำโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดตัวกระจายสัญญาณไวไฟ
กดค้นหาชื่อ
ชื่อของเฉียนหลงปรากฏขึ้นมา
สัญญาณความศรัทธามีอยู่ด้วยกันทั้งหมดห้าขีด บัดนี้ สัญญาณของเฉียนหลงมีอยู่ด้วยกันถึงสี่ขีด
เดี๋ยวก่อนนะ?
หมอนี่ไม่ได้โกหกเหรอเนี่ย?
หลังจากเผชิญอันตรายร่วมเป็นร่วมตายกันมาในหุบเขามรณะ เฉียนหลงก็มีความเชื่อมั่นในตัวของหลินเป่ยเฉินอย่างเปี่ยมล้น… ให้ตายสิ นี่ราศีความเป็นคนเก่งของเขาคงเฉิดฉายออกไปโดยไม่รู้ตัวอีกแล้วสินะ?
หลินเป่ยเฉินเก็บโทรศัพท์มือถือ
เขาตัดสินใจได้แล้ว!