ตอนที่ 1,256 ต่อยมาได้เลยเต็มที่
“พะ…พะ… พี่ใหญ่อวิ๋น… ยะ…อย่าได้…”
ในกลุ่มชายฉกรรจ์ ปรากฏเด็กหนุ่มร่างอ้วนผู้มีหน้าตาเหมือนไจแอนท์ในเรื่องโดราเอมอนพูดตะกุกตะกักออกมาว่า “ขะ…เขาคือ… สหายของเรา… อย่าได้…อย่าได้พูดเช่นนั้นออกมา… พวกเรา… สมควร… สามัคคีกันไว้… ให้เขา… มาร่วมรับประทานอาหาร… พร้อมกับ…พร้อมกับ… พวกเราเถอะ…”
ให้ตายสิ
นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินได้พบเจอคนติดอ่างหนักถึงขนาดนี้
คำพูดเพียงประโยคเดียว บุรุษหนุ่มร่างอ้วนต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะกล่าวออกมาได้ทั้งหมด
นี่คือบุคลิกของตัวละครที่มักจะปรากฏอยู่ในนิยายเท่านั้น และก็เป็นตัวละครที่คนอ่านมักจะด่าอยู่เสมอ เพราะออกมาแล้วไม่ค่อยมีบท แถมยังชอบทำให้ตัวอักษรเยอะโดยไม่จำเป็น
คิดไม่ถึงเลยว่าบุคคลเช่นนี้จะมีอยู่ในโลกแห่งความจริงด้วย
อวิ๋นอู่เหินชำเลืองมองไปที่เด็กหนุ่มร่างอ้วน ยิ้มอย่างเย็นชา กล่าวว่า “เจ้าโง่ ไม่เห็นหรือไงว่าเขาเห็นสตรีดีกว่าพวกเรา ฮ่า ๆๆ สำหรับบุคคลเช่นนี้ คงไม่ให้เกียรติมารับประทานอาหารกับพวกเราหรอก… หากเจ้าสงสารเขาล่ะก็ จะยืนอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนเขาก็ได้ เอาล่ะ… พี่น้องทุกท่าน ตามข้าเข้าไปรับประทานของอร่อยที่ด้านในกันดีกว่า”
ความจริง อวิ๋นอู่เหินดูถูกเจ้าอ้วนคนนี้มานานแล้ว
เจ้าอ้วนเป็นคนปัญญาอ่อน ขั้นพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ในระดับธรรมดา ไม่ทราบเลยว่ารอดชีวิตมาได้อย่างไร แม้แต่พูดชัด ๆ ยังทำไม่ได้ ไม่มีค่าให้คบหาสมาคม เมื่อพบเจอโอกาสเหมาะเช่นนี้ อวิ๋นอู่เหินจึงรีบเขี่ยทิ้งไปอย่างไม่ไยดี
เพราะขืนพาไปด้วย ก็มีแต่อับอายผู้คนเท่านั้น!
เจ้าอ้วนยืนตกตะลึง ก่อนจะรีบเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางลนลาน “ไม่นะ… ไม่นะ… พี่ใหญ่…พี่ใหญ่อวิ๋น… ข้าน้อย…”
“ไสหัวไปซะ”
อวิ๋นอู่เหินสะบัดฝ่ามือกระแทกเข้าใส่หน้าอกของเจ้าอ้วนอย่างแรง
แต่เขาไม่ต่างจากกระแทกมือใส่กำแพงหิน เจ้าอ้วนยังยืนนิ่งเฉยไม่ขยับเขยื้อน
และเป็นอวิ๋นอู่เหินเองที่ต้องเซถอยหลังกลับไปจนเกือบจะล้มลง
ชายร่างเตี้ยตื่นตระหนกเล็กน้อย ความอับอายที่เกิดขึ้นทำให้เขาจ้องมองไปยังเจ้าอ้วนด้วยแววตาโกรธแค้น ก่อนที่จะหันหลังกลับและพากลุ่มคนเดินหายเข้าไปในหอสุราเหมียวเหมียวหง่าว
เจ้าอ้วนยืนอยู่ที่เดิม ไม่กล้าติดตามเข้าไป
“ฮือ ๆๆๆ…”
หลังจากนั้น เจ้าอ้วนก็ยกมือขยี้ตา ร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กน้อย
หลินเป่ยเฉินกับชิงเล่ยหันมองหน้ากัน
ดูจากอาการของเจ้าอ้วนผู้นี้ พวกเขาก็ทราบแล้วว่าหมอนี่เป็นคนปัญญาอ่อนจริง ๆ
ปัญญาอ่อนที่หมายถึงกระบวนการความคิดไม่ต่างจากเด็กน้อย
สำหรับบุคคลเช่นนี้ ไม่ทราบเลยว่าสามารถรอดชีวิตออกมาจากการแข่งขันรอบแรกได้อย่างไร?
“ไม่ทราบน้องชายร้องไห้ด้วยเหตุอันใดหรือ?”
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปตบไหล่เจ้าอ้วนและกล่าวว่า “อวิ๋นอู่เหินหาใช่ตัวดีอันใด เขาไม่เล่นกับเจ้า เจ้าน่าจะดีใจสิ”
“ฮื่อ มารดา…มารดาบอกข้าว่า… ข้าต้องอยู่กับคนเก่ง ๆ เท่านั้น… ข้าต้องเชื่อฟังคนที่แข็งแกร่งมากกว่าข้า… ต้องทำเช่นนี้… ข้าถึงจะอยู่รอดในการแข่งขัน… แง…”
เจ้าอ้วนมีอายุประมาณสิบเจ็ดปี แต่กลับร้องไห้ราวกับทารกน้อย
คำพูดตะกุกตะกัก ออกเสียงไม่ชัดเจน
หลินเป่ยเฉินยิ้มอย่างใจดี พูดว่า “งั้นข้าจะเป็นเพื่อนเจ้าเอง ข้าแข็งแกร่งมากเลยนะ”
“ทะ…ทะ…ท่านกำลังโกหก… ใช่แล้ว… ขะ…ข้าไม่เชื่อท่านหรอก… ทุกคนหัวเราะเยาะท่าน… ข้าไม่เล่นกับท่านแล้ว… ทะ…ทะ…ท่านคงอ่อนแอ… มากกว่าข้า… ใช่หรือไม่?”
เจ้าอ้วนตอบกลับมาตามสิ่งที่ตนเองคิด
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ “ข้าแข็งแกร่งจริง ๆ แข็งแกร่งมากกว่าพวกคนที่ทิ้งเจ้าไปอีก เจ้ามาเล่นกับข้าสิ แล้วข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
“พะ…พูดจริงนะ?”
เจ้าอ้วนสำรวจมองหลินเป่ยเฉินตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยความลังเลใจ “ขะ…ข้าไม่เชื่อ… ข้าไม่เชื่อท่านหรอก…”
“ต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะเชื่อ?”
“ขะ…ข้าจะต่อยท่าน… ข้าจะต่อยท่าน… หากท่านสามารถ…”
“ประเสริฐ เจ้าต่อยมาได้เลยเต็มที่ มีแรงเท่าไหร่ใส่มาให้หมด รับรองว่าข้าไม่มีทางขยับแน่นอน”
ขาดคำ
พลั่ก!
เสียงการกระแทกดังขึ้น
หลินเป่ยเฉินลอยกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงหินราวกับเป็นลูกกระสุนปืนใหญ่
เจ้าอ้วนตื่นตกใจ รีบลดกำปั้นของตนเองลงทันที
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมถึงได้ลอยกระเด็นไปเช่นนั้น?
ก็ไหนคุณชายท่านนี้บอกให้เขาต่อยได้เต็มที่เลยไม่ใช่หรือ?
ชิงเล่ยวิตกกังวลมากกว่าเจ้าอ้วนเสียอีก
หญิงสาวรีบวิ่งไปช่วยประคองหลินเป่ยเฉินที่ไถลลงมานอนกองอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้นมาด้วยความร้อนรน “คุณชายเป็นอะไรหรือไม่…”
หลินเป่ยเฉินมีเศษฝุ่นปกคลุมทั่วตัว สภาพดูไม่จืด “ประเสริฐ ข้าเข้าใจแล้วว่าเจ้ารอดชีวิตจากการแข่งขันรอบแรกได้อย่างไร”
พละกำลังมหาศาล
นี่คือสภาวะที่มีมาตั้งแต่กำเนิด!
ในบรรดาผู้เข้าแข่งขันรอบแรกครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินเข้าใจมาโดยตลอดว่าตนเองเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงมากที่สุด แต่เขาก็ถูกเจ้าอ้วนต่อยกระเด็นไปอย่างง่ายดาย
นี่หมายความว่าเจ้าอ้วนมีพละกำลังและความแข็งแรงเกือบเท่าร่างแรกของราชาหมาป่าศิลาแล้ว
เสียงดังโครมครามที่เกิดขึ้นจากหลินเป่ยเฉินกับเจ้าอ้วนดึงดูดความสนใจของหน่วยลาดตระเวนที่อยู่บริเวณนั้นพอดี
การทะเลาะวิวาทในสถานีขนส่ง มีโทษถึงขั้นติดคุก
เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่หน่วยลาดตระเวนวิ่งเข้ามา เจ้าอ้วนก็มีสีหน้าแตกตื่นลนลานมากแล้ว
หลินเป่ยเฉินจึงต้องเดินเข้ามาอธิบายว่าทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นกันเท่านั้น เขายินดีจ่ายค่าปรับ และเมื่อชิงเล่ยซึ่งเป็นผู้ดูแลคนใหม่ของหอการค้าคนแคระเทวะเข้ามาช่วยพูดคุยด้วยอีกแรง หน่วยลาดตระเวนกลุ่มนั้นจึงยินยอมถอยกลับไป
“ลองอีกครั้ง”
หลินเป่ยเฉินแอบโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายขณะกล่าวว่า “เมื่อสักครู่ ข้าไม่ทันได้ตั้งตัว…”
เมื่อสักครู่ เป็นเขาประมาทเจ้าอ้วนมากเกินไป
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าอ้วนจะแข็งแรงขนาดนี้
แต่ยิ่งแข็งแรงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งหลอกง่ายมากเท่านั้น
ไม่ต้องใช้วิธีการซับซ้อนใด ๆ
หลินเป่ยเฉินตระเตรียมแผนการดึงเจ้าอ้วนมาเป็นพวกเรียบร้อย
“มะ…ไม่ต้อง…ไม่ต้องแล้ว”
เจ้าอ้วนรีบพูดละล่ำละลัก “ข้าน้อย…ข้าน้อยยินดี… เป็นเพื่อนกับท่าน… เพราะว่า… ท่าน… มีเงิน”
คนมีเงินคือผู้ยิ่งใหญ่
นี่คือหลักคิดของเจ้าอ้วน
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
รู้อย่างนี้เขารีบอวดรวยตั้งแต่แรกก็จบแล้ว ไม่ต้องเจ็บตัวแบบนี้ด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน จอมเสเพลอันดับหนึ่งแห่งเมืองเยี่ยเฉิงฉินโซวก็มาถึง
“ไม่มีห้องว่างเลยหรือ?”
เขาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความไม่อยากเชื่อ
ใครเลยจะคิดว่าผู้เข้าแข่งขันที่ทำคะแนนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ของการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่จะต้องมาตายน้ำตื้นเช่นนี้
“เปลี่ยนหอสุรากันเถอะ เดี๋ยวข้าเป็นเจ้ามือเอง” ฉินโซวกล่าว
“เอาอย่างนั้นก็ได้ขอรับ”
หลินเป่ยเฉินยกข้อมือขึ้นมาส่งข้อความไปบอกเฉียนหลงผ่านทางกำไลผลึกแก้วกิเลนรุ่นสาม
“นายท่านอย่าเพิ่งไปไหน ได้โปรดรอข้าน้อยสักครู่”
เฉียนหลงรีบตอบข้อความกลับมาอย่างรวดเร็ว “ข้าน้อยจะไปถึงที่นั่นในชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย เมื่อข้าน้อยไปถึงแล้ว ทุกปัญหาจะต้องคลี่คลายอย่างแน่นอน”
…
หอสุราเหมียวเหมียวหง่าว
ห้องอาหารส่วนตัวบนชั้นสอง
“พี่น้องทุกท่าน นี่คือใต้เท้าก่าย”
อวิ๋นอู่เหินแนะนำตัวชายวัยกลางคนร่างอ้วนผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้หัวโต๊ะร่วมกับคนอื่น ๆ ในวงอาหารอีกหกชีวิต “บัดนี้ ใต้เท้าก่ายมีสถานะเป็นเทพเจ้าขั้นกลาง ทําหน้าที่เป็นองครักษ์สภาเทพเจ้า ซึ่งนับว่ามีตำแหน่งสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ใต้เท้าก่ายให้เกียรติมากินดื่มร่วมกับพวกเราแล้ว”
องครักษ์จากสภาเทพเจ้า?
พลัน ผู้เข้าแข่งขันทั้งหกคนมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที
พวกเขาเป็นเพียงผู้เข้าแข่งขันระดับล่างจากพื้นที่เขต 3 ของแดนตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นเพียงพลเมืองต่ำต้อย แค่ผ่านรอบแรกมาได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าโชคชะตาของตนเองจะพลิกผันเช่นนี้
องครักษ์จากสภาเทพเจ้าคือผู้ที่มีศักดิ์ศรีบารมีสูงส่ง
อย่างน้อยก็สูงส่งมากกว่าพวกเขาไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
“ข้าน้อยขอคารวะใต้เท้าก่าย”
“วันนี้ได้มาพบเจอใต้เท้าก่ายแล้ว นับเป็นวาสนาของข้าน้อยยิ่ง”
ผู้เข้าแข่งขันทั้งหกคนนั้นรีบลุกขึ้นประสานมือทำความเคารพ
ชายวัยกลางคนร่างอ้วนผู้นั่งอยู่หัวโต๊ะไม่ได้ลุกขึ้น เพียงพยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น
“ฮ่า ๆๆ ทุกคนไม่ต้องเกรงใจ เชิญนั่งกันตามสบาย”
อวิ๋นอู่เหินหัวเราะออกมาอย่างประจบประแจงและกล่าวว่า “ใต้เท้าก่ายเมตตาพวกเราเป็นอย่างยิ่ง วันนี้นอกจากท่านจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงพวกเราแล้ว ใต้เท้าก่ายยังได้จัดเตรียมอาวุธและอุปกรณ์ชุดใหม่ให้พวกเราโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายอีกด้วย รับรองว่าพวกเราต้องผ่านการแข่งขันรอบต่อไปได้อย่างแน่นอน”
กลุ่มผู้เข้าแข่งขันร้องอุทานออกมาด้วยความดีใจ
นี่เรียกว่าบุญนำพาวาสนานำส่งที่แท้จริง
“โฮะโฮะโฮะ พวกเจ้าสั่งอาหารกันเถอะ”
ก่ายปาหวงยิ้มเล็กน้อยและกล่าวต่อ “ทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะที่ผ่านการแข่งขันรอบแรกได้สำเร็จ อนาคตย่อมสดใส วันนี้อย่าได้เกรงใจ กินดื่มรับประทานกันให้เต็มที่ จะได้มีแรงไว้แข่งขันในรอบต่อไปเยอะ ๆ ไงล่ะ”
ทุกคนยิ้มแย้มออกมาด้วยความดีใจ
รสชาติของการเป็น ‘ชนชั้นสูง’ มันหอมหวานเช่นนี้เองสินะ!!