ตอนที่ 1,257 มอบของขวัญ
ผู้เข้าแข่งขันทั้งหกตื่นตาตื่นใจไปกับการบริการของหอสุราเหมียวเหมียวหง่าว
พวกเขาเกิดมาในตระกูลยากจน ย่อมไม่เคยเห็นความ ‘หรูหรา’ เช่นนี้มาก่อน
สุราและอาหารจำนวนมากถูกนำมาจัดวางไว้บนโต๊ะอาหาร
นอกจากนี้ยังมีหญิงสาวในชุดเสื้อคลุมบางเบา อวดผิวพรรณขาวเนียนมาเต้นรำด้วยเท้าเปล่าให้พวกเขารับชมเป็นความบันเทิงอีกด้วย
สุราและอาหารรสเลิศ สาวงามที่มาฟ้อนรำอยู่เบื้องหน้า
บรรดาผู้เข้าแข่งขันทั้งหกย่อมชมดูด้วยความตื่นตาตื่นใจ
มีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูก
อวิ๋นอู่เหินปรบมือส่งสัญญาณ
ทันใดนั้น นักดนตรีก็หยุดบรรเลง การแสดงฟ้อนรำยุติลง
นักระบำทั้งเจ็ดคนถอยไปยืนอยู่ด้านข้างอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ปรากฏนักรบเทวะในชุดเกราะสีทองคำสองคนเดินเข้ามาพร้อมกับยกหีบทองคำขนาดใหญ่มาด้วย
กริ๊ก!
เมื่อหีบทองคำถูกวางลงบนพื้น ฝาปิดก็เด้งเปิดออก
ภายในหีบบรรจุด้วยชุดเกราะทองคำเต็มรูปแบบจำนวนหกชุด ซึ่งชุดเกราะแต่ละชุดสามารถคุ้มครองร่างกายของผู้เข้าแข่งขันทั้งหกได้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
และพวกมันยังบรรจุพลังเวทมนตร์ได้อีกด้วย
ชุดเกราะทั้งหกลอยขึ้นมาในอากาศคล้ายกับเป็นสิ่งมีชีวิต
พวกมันเปล่งแสงสว่างสีทองคำเจิดจ้า
ทันใดนั้น ชุดเกราะเหล่านั้นก็พุ่งเข้ามาสวมใส่ลงบนร่างกายของชายฉกรรจ์ทั้งหก
“นี่มัน…”
ผู้เข้าแข่งขันซึ่งมีนามว่าหงเถาร่างกายสั่นเทา “นี่คือชุดเกราะเทวะทองคำ ซึ่งเป็นชุดเกราะรุ่นใหม่ล่าสุดในท้องตลาดนี่ขอรับ?”
“ฮ่า ๆๆ พี่หงช่างสายตาเฉียบแหลม นี่คือชุดเกราะเทวะทองคำจริง ๆ” อวิ๋นอู่เหินหัวเราะด้วยความพอใจและกล่าวต่อ “นี่คือชุดเกราะที่มีมูลค่าหนึ่งก้อนศิลาเทวะ เป็นของขวัญจากใต้เท้าก่ายให้กับพวกท่านทุกคน…”
กลุ่มผู้เข้าแข่งขันน้ำตาคลอเบ้าด้วยความตื้นตันใจ
“ขอบคุณมากขอรับ พวกเราซาบซึ้งใจจริง ๆ”
ผู้เข้าแข่งขันที่มีนามว่าว่านหยวนลุกขึ้นประสานมือคำนับต่อใต้เท้าก่าย ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับอย่างประจบประแจง
ก่ายปาหวงพยักหน้าเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ขอเชิญทุกคนรับไว้เถอะ”
ใต้เท้าก่ายทำเป็นโบกไม้โบกมือ
“ถ้าอย่างนั้น… พวกเราก็ต้องขอบคุณมากแล้วขอรับ”
“นี่คือของขวัญที่ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง บุญคุณครั้งนี้ พวกเราจะจดจำไปจนวันตาย”
บรรดาผู้เข้าแข่งขันทั้งหกต่างก็รับชุดเกราะเหล่านี้เอาไว้โดยไม่ลังเล
เมื่อโคจรพลังปราณเทวะใส่ลงไปในชุดเกราะ ผู้สวมใส่ก็สามารถควบคุมให้ชุดเกราะซ่อนเร้นอยู่ในร่างกายของตนเองได้ทันที
แม้พวกเขาจะเข้าใจดีว่าก่ายปาหวงทำดีครั้งนี้ย่อมหวังสิ่งตอบแทน แต่เมื่อมีสิ่งของมาล่อตาล่อใจถึงเพียงนี้ มันก็เป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธแล้ว
การแข่งขันรอบที่สองจะเริ่มขึ้นในอีกสองวันหลังจากนี้
เมื่อได้สวมใส่ชุดเกราะระดับสูงเช่นนี้ โอกาสรอดชีวิตของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
การมีชีวิตอยู่รอดคือสิ่งที่สำคัญมากกว่าอื่นใด
“ขอบคุณใต้เท้าก่ายและพี่ใหญ่อวิ๋นมากขอรับ”
บุรุษหนุ่มนามว่าหวังซือหูหยิบจอกสุราขึ้นมา กล่าวว่า “ข้าน้อยสำนึกในบุญคุณเป็นอย่างยิ่ง ขณะนี้ไม่ทราบสมควรตอบแทนอย่างไร หากใต้เท้าก่ายมีเรื่องอันใดต้องการจะใช้งานข้าน้อย ได้โปรดบอกข้าน้อยมาได้เลยขอรับ”
“ใช่แล้ว หากมีเรื่องใดที่พวกเราสามารถกระทำให้ใต้เท้าได้ ใต้เท้าได้โปรดบอกมาเลยขอรับ”
“ใต้เท้าก่าย ได้โปรดให้พวกเราได้ตอบแทนท่านด้วย”
บรรดาผู้เข้าแข่งขันพร้อมใจกันลุกขึ้นยืน
ก่ายปาหวงค่อย ๆ ลุกขึ้นและชูจอกสุราในมือขึ้นสูง “ข้ามีพี่ชายผู้หนึ่งนามว่าเกอสือเหนียน ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ดูแลหอการค้าคนแคระเทวะ แต่โชคร้ายที่ภายหลังถูกใส่ร้ายป้ายสีโดยคนชั่วช้าผู้หนึ่ง ทำให้ต้องถูกฆ่าตายอย่างทุกข์ทรมาน ซึ่งบุคคลผู้นั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นสตรีผู้มีนามว่าชิงเล่ยและขณะนี้นางก็เป็นผู้ดูแลคนปัจจุบันของหอการค้าคนแคระเทวะ พวกเจ้าคงรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่นางคงทำเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง”
อวิ๋นอู่เหินกล่าวเสริมว่า “เมื่อสักครู่ พวกเราพบกับเขาที่หน้าหอสุราแล้ว เจ้าเด็กคนนั้นไม่ไว้หน้าพวกเราเลยสักนิด”
ทุกคนเข้าใจความหมายในทันใด
หวังซือหูตบหน้าอกและกล่าวเสียงดังว่า “ใต้เท้าก่ายไม่ต้องเป็นกังวล เรื่องราวนี้สามารถจัดการได้ง่ายมาก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถอะ เมื่อการแข่งขันรอบที่สองมาถึง พวกเราจะ…”
ก่ายปาหวงยกมือขึ้นขัดจังหวะ
เขาค่อย ๆ เดินตรงไปที่ประตู
และเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“นี่…”
หวังซือหูหันกลับมามองหน้าพรรคพวกของตนเอง
เกิดอะไรขึ้น?
เขาพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ?
“ฮ่า ๆๆ พวกท่านอย่าได้คิดมากไป พอดีใต้เท้าก่ายมีเรื่องเร่งด่วน จึงต้องขอตัวกลับก่อน”
อวิ๋นอู่เหินชูจอกสุราขึ้นสูงและกล่าว “ใต้เท้าก่ายกล่าวว่าตราบใดที่พวกเราแก้แค้นให้แก่พี่ชายของเขาได้สำเร็จ ของขวัญชุดต่อไปที่พวกท่านจะได้รับก็จะมีค่ามากมายกว่านี้ อีกทั้งใต้เท้าก่ายยังจะเป็นผู้สนับสนุนพวกท่านอย่างเป็นทางการอีกด้วย”
“ฮ่า ๆๆ พวกท่านกับข้าลงเรือลำเดียวกันแล้ว ต่อจากนี้ไปก็คงต้องทำงานหนักให้มากขึ้นใช่หรือไม่? นี่คือโอกาสที่ชีวิตนี้จะมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และมีเพียงผู้กล้าหาญเท่านั้นที่จะสามารถไปจนถึงฝั่งฝัน ข้าหวังว่าพวกเราเจ็ดพี่น้องจะโชคดีมากพอที่จะเข้าสู่รอบสุดท้ายได้สำเร็จ”
บรรดาผู้เข้าแข่งขันรู้สึกโล่งใจและยกจอกสุราขึ้นมาชนกันเสียงดังกริ๊ง
“ทุกท่านโปรดกินดื่มให้เต็มที่ จงผ่อนคลายความกดดันที่มีไปทั้งหมด หลังจากคืนนี้แล้ว พวกท่านต้องฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อให้พร้อมสำหรับการแข่งขันในอีกสองวันข้างหน้า”
อวิ๋นอู่เหินกล่าว ก่อนจะฉุดดึงนักระบำที่อยู่ด้านข้างเข้ามาโอบกอดแนบแน่น
นักระบำสาวผู้นั้นชม้ายชายตาและส่งเสียงหัวเราะอ่อนหวาน
บรรดาชายฉกรรจ์คนอื่น ๆ เห็นเช่นนั้นก็ทำตามบ้าง
บรรยากาศในห้องอาหารเต็มไปด้วยความสุข
ว่านหยวนพลันยิ้มออกมาเมื่อนึกอะไรได้บางอย่าง “เจ้าเด็กนั่นไม่ทราบเลยว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไร แค่จองห้องอาหารยังไม่มีปัญญากระทำได้ ฮ่า ๆๆ เขาคงไม่รู้หรอกว่าพวกเรากำลังมีความสุขเพียงใด… ในชีวิตนี้ เขาคงไม่มีปัญญากระทำได้อย่างพวกเราแล้ว”
ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความตลกขบขัน
“ไม่แน่เสมอไปนะ เจ้าเด็กนั่นกล้าใส่ร้ายพี่ชายของใต้เท้าก่าย แสดงให้เห็นว่าย่อมมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา อีกทั้งเขายังสามารถหนุนหลังนางแพศยานั่นขึ้นเป็นผู้ดูแลหอการค้าคนแคระเทวะคนปัจจุบันได้สำเร็จ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเคยมากินดื่มที่นี่แล้วก็เป็นได้?”
“จริงด้วย เจ้าเด็กผู้นี้ทำตัวยโสโอหัง เกรงว่าคงมีใครสักคนคอยหนุนหลังอยู่แน่นอน”
“ไม่ต้องห่วง พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นระหว่างการแข่งขัน ย่อมไม่มีคนนอกรับรู้เด็ดขาด”
“ฮ่า ๆๆ ใช่แล้วขอรับ”
“พูดถึงเรื่องนี้ สตรีที่เจ้าเด็กหนุ่มนั่นพามาด้วยมีหน้าตางดงามไม่เบา ข้าไม่เคยเห็นสตรีผู้ใดงดงามมากถึงเพียงนี้มาก่อน”
เมื่อสุราเข้าปาก คำพูดก็เริ่มลื่นไหล
กลุ่มผู้เข้าแข่งขันหัวเราะเฮฮา เสียเวลาไปกับการพูดคุยไม่น้อย
“ว่าแต่ว่ามีใครทราบชื่อเจ้าเด็กผู้นั้นบ้างหรือไม่?”
หวังซือหูยกมือตบหน้าผากตนเองและถามออกมา
หลังจากพูดคุยกันมานานสองนาน พวกเขายังไม่รู้เลยว่าเด็กหนุ่มที่เป็นเป้าหมายสังหารนั้นมีชื่อว่าอะไร
“ไม่รู้สิ”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ไม่มีผู้ใดรู้
อวิ๋นอู่เหินยิ้มออกมาเล็กน้อย “ชื่อของคนตาย พวกเราจะรู้ไปทำไม… มากินดื่มกันต่อดีกว่า”
แล้วบทสนทนาก็สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้
…
ณ ทางเข้าหน้าหอสุราเหมียวเหมียวหง่าว
เฉียนหลงวิ่งเข้ามาหอบหายใจแฮ่ก ๆ
“นายท่าน ข้าไม่ได้มาช้าเกินไปใช่หรือไม่?”
เฉียนหลงหยุดยืนหอบหายใจ เมื่อเห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน เขาก็รีบกล่าวต่อ “เรื่องราวจัดการเรียบร้อยแล้ว… ข้าจะพาท่านเข้าด้านในเอง”
“ขอบคุณที่รีบมา”
หลินเป่ยเฉินประชดประชัน “แต่ข้าไม่หิวแล้ว”
เฉียนหลงถึงกับหน้าเสียไปไม่น้อย
“อย่างไรที่นี่ก็ไม่มีห้องอาหารว่างอยู่แล้ว”
หลินเป่ยเฉินคำรามในลำคอ
เมื่อสักครู่ เขาเพิ่งถามจากเด็กรับใช้แมวเหมียว
ห้องอาหารยังคงเต็มหมดทุกห้อง
แม้แต่โต๊ะว่างที่ห้องอาหารชั้นล่างก็ยังไม่มี
“ฮ่า ๆๆ ข้าน้อยไม่ได้คุยโวโอ้อวดนะขอรับ แต่เมื่อข้าน้อยจะมารับประทานอาหารที่นี่ ข้าน้อยไม่เคยต้องรอคอย”
เฉียนหลงปั้นยิ้มอย่างผู้ชนะ “นายท่านได้โปรดรอสักครู่”
บุรุษหนุ่มเดินโซเซเข้าไปในห้องโถงด้านในหอสุรา ไม่ทราบเลยว่าเฉียนหลงกล่าวอะไรออกมา หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ ผู้ดูแลหอสุราก็ออกมาต้อนรับเขาด้วยตนเอง มิหนำซ้ำ ยังค้อมศีรษะแสดงความเคารพต่อเฉียนหลงด้วยความนอบน้อมยิ่ง และยังเดินตามบุรุษหนุ่มออกมาด้วยสีหน้าประจบประแจงเอาใจอีกด้วย