ตอนที่ 1,260 พบเจอกันอีกครั้ง
สตรีผู้นั้นมีหน้าตางดงาม
เด็กน้อยที่มากับนางก็น่ารักน่าชัง
อันอันมองภาพที่ถูกฉายออกมาจากค่ายอาคมไม่ต่างไปจากกำลังมองภาพวาดของฝีมือสุดยอดจิตกรเอก และบรรดาผู้คนที่อยู่ในภาพนี้ ล้วนแต่มีหน้าตาจริงใจใสสะอาดชวนให้เปิดประตูรับแขกทั้งสิ้น
แต่ด้วยความที่อันอันเคยถูกมารดากำชับมาตั้งแต่จำความได้เรื่องความปลอดภัย เพราะฉะนั้น หากไม่มีมารดาอยู่ด้วย นางก็ไม่มีทางเปิดประตูเด็ดขาด
โชคดีที่ในจังหวะนั้น หลินเป่ยเฉินกับชิงเล่ย ‘ฝึกวิชา’ เสร็จพอดี จึงเดินกลับออกมาที่ลานหน้าคฤหาสน์อีกครั้ง
“ท่านอา…”
อันอันร้องเรียกด้วยความดีใจก่อนจะวิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของหลินเป่ยเฉิน
ชิงเล่ยผู้นั่งย่อกายอ้าแขนออกกว้างได้แต่สวมกอดอากาศธาตุ ริมฝีปากบนใบหน้างดงามนั้นกระตุกเล็กน้อย
…อันอันไม่เห็นมารดาอยู่ในสายตาอีกแล้ว
ชิงเล่ยเพิ่งจะลุกขึ้นยืนเท่านั้น ก็เห็นบุตรสาวโอบแขนกอดรอบคอของหลินเป่ยเฉินและกล่าวตะกุกตะกักว่า “ท่านอามีกลิ่นกายเหมือนท่านแม่เลย…”
หลินเป่ยเฉินแทบจะมีเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผากโดยไม่รู้ตัว
“อ้า นี่มัน… ท่านอาฝึกวิชาต่อสู้ให้กับมารดาของเจ้าน่ะ…”
หลินเป่ยเฉินลังเลและรีบเปลี่ยนเรื่องพูดโดยเร็ว “เมื่อสักครู่ใช่มีคนมาเคาะประตูหรือไม่?”
“มีคนแปลกหน้ารออยู่ด้านนอกเจ้าค่ะ”
อันอันเปิดการฉายภาพของค่ายอาคมขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อเห็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยผู้จูงเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าชังมาด้วยคนนั้น หลินเป่ยเฉินก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นสูงทันที “ดูเหมือนพวกนางจะนำของขวัญมาให้พวกเรา… เปิดประตูให้พวกนางเข้ามาเถอะ”
และค่ายอาคมที่กั้นอาณาเขตอยู่โดยรอบคฤหาสน์ก็เปิดออกเป็นช่องประตูส่วนหนึ่ง
ประตูรั้วเลื่อนเปิดออก
หญิงสาวผู้นั้นพร้อมด้วยบุตรสาวเดินเข้ามาพร้อมกับสาวรับใช้
ปรากฏว่าพวกนางเป็นเพื่อนบ้าน
และสตรีนางนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นภรรยาน้อยของฉินโซว นางมีนามว่าฉู่ฮันหลาน ส่วนเด็กน้อยที่จูงมาด้วยนั้นเป็นบุตรสาวของฉินโซวมีนามว่าฉินเฉียนเซวียน
หลินเป่ยเฉินรีบติดต่อฉินโซวผ่านทางกำไลผลึกแก้วกิเลนรุ่นที่สาม เมื่อได้รับทราบคำตอบว่าพวกนางคือภรรยาน้อยและบุตรสาวของเขาจริง ๆ หลินเป่ยเฉินจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ข้าน้อยทราบมาจากนายท่านว่ามีสหายพักอาศัยอยู่แถวนี้ จึงได้จัดเตรียมของขวัญมาเยี่ยมเยือนสักเล็กน้อย หากนี่เป็นการรบกวน ได้โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วย”
ฉู่ฮันหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน กิริยาชดช้อยชวนมอง เพียงมองวูบเดียว ก็รู้แล้วว่านางเกิดมาเป็นกุลสตรี สามารถทำให้ผู้คนรู้สึกหัวใจอ่อนระทวยได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม
“พี่สาว พี่สาว”
ฉินเฉียนเซวียนยื่นมือกลม ๆ ของนางออกมาหาอันอัน
อันอันมองมารดาด้วยความวิตกกังวลและผงะถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
ในชีวิตนี้ นางไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่า ‘เพื่อน’ มาก่อน
“อันอันไม่ต้องกลัวนะ ไปเล่นกับน้องสิ”
หลินเป่ยเฉินย่อกายลงลูบศีรษะอันอันแผ่วเบาและกล่าวว่า “ที่นี่เป็นบ้านของอันอัน อันอันพาน้องไปเยี่ยมชมบ้านของเราหน่อยเป็นไร”
“ได้เลยเจ้าค่ะ”
อันอันพยักหน้าด้วยความกระตือรือร้น
นี่คือครั้งแรกที่นางจะได้อยู่กับผู้อื่นซึ่งไม่ใช่มารดาหรือท่านอาคนนี้
ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง มือของอันอันมีลักษณะขาวซีด สามารถมองเห็นเส้นเลือดได้อย่างชัดเจน
นี่ไม่ใช่มือของเด็กที่มีร่างกายปกติ
ด้วยว่าทุกข์ทรมานจากโรคบุปผามรณะมานานปี อันอันจึงมีแขนที่เล็กลีบและขาวซีดมากกว่าคนทั่วไป
แต่ในไม่ช้า เด็กน้อยทั้งสองคนก็ทำความรู้จักกันอย่างรวดเร็ว
ฉู่ฮันหลานกับชิงเล่ยเดินเข้าไปหาสถานที่นั่งคุยกันในศาลานั่งเล่นหลังหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปพูดคุยกับพวกนางเล็กน้อย ก่อนจะขอตัวจากมา
เขาต้องการจะเข้าไปล่าอสูรที่หุบผาอเวจี เพื่อเก็บคะแนนศรัทธาให้เพียงพอสำหรับซื้อโอสถหัวใจพฤกษาไปรักษาใบหน้าของเยว่หงเซียงตามที่เคยได้ลั่นวาจาสัญญากับนางเอาไว้
…
หุบผาอเวจี
สถานีขนส่งแดน 6
“นี่ ทะ…ทะ…ท่าน…”
เสียงของเจ้าอ้วนดังขึ้นด้านหลัง
เมื่อหลินเป่ยเฉินหันหลังกลับไปก็พบกับเจ้าอ้วนที่กำลังยืนเกาศีรษะแกรก ๆ ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่เนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้พบกับเจ้าอ้วนที่สถานีขนส่งแดน 6 แห่งนี้
เดิมที แผนการของเด็กหนุ่มก็คือรอให้ถึงการแข่งขันรอบที่สองเสียก่อน เขาจึงค่อยหลอกล่อให้เจ้าอ้วนมาเป็นลูกสมุนคนใหม่ของตนเอง
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าวาสนาจะดลบันดาลให้พวกเขามาพบเจอกันเร็วขนาดนี้
“ท่านแม่… บอกให้ข้าน้อย… บอกให้ข้าน้อย… มาหาเงิน…”
เจ้าอ้วนพูดตะกุกตะกัก ใบหน้ากลายเป็นสีแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง
“อ้อ มารดาสั่งให้เจ้าเข้ามาล่าอสูรในหุบผาอเวจีสินะ”
หลินเป่ยเฉินสามารถเข้าใจความหมายของเจ้าอ้วนได้ไม่ยาก
หลินเป่ยเฉินหยุดนิ่งคิดอะไรบางอย่างอยู่สักครู่ ก่อนจะเอ่ยปากเชิญว่า “สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว ข้าต้องการคนแบกของอยู่พอดี”
“ได้เลยขอรับ”
คำตอบของเจ้าอ้วนเรียบง่ายและชัดเจน
“แล้วเจ้ามีกระเป๋าใบใหญ่ติดตัวมาบ้างหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินสำรวจมองเจ้าอ้วนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
คนแบกของในหุบผาอเวจีมีหน้าที่คอยแบกสัมภาระให้แก่นักล่าอสูร โดยที่พวกเขาจะมีกระเป๋าเก็บของวิเศษซึ่งภายในสามารถบรรจุซากสัตว์อสูรได้จำนวนมากเป็นเครื่องมือหากิน กระเป๋าชนิดนี้นอกจากมีราคาถูกแล้ว ยังมีความทนทานมากอีกด้วย
“ขะ…ข้าน้อย… ไม่มี…”
เจ้าอ้วนตอบด้วยความละอายใจ
“งั้นรออยู่ตรงนี้ก่อน”
หลินเป่ยเฉินหมุนตัวกลับมาและเดินตรงไปที่หอการค้าคนแคระเทวะประจำสถานีขนส่งแดน 6 ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็กลับมาพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ เช่นเดียวกับชุดเกราะสีดำทมิฬอีกชุดหนึ่ง
“เอาไปซะ ของพวกนี้เป็นของเจ้า”
หลินเป่ยเฉินยื่นส่งอุปกรณ์ทั้งหมดให้กับเจ้าอ้วน
“ขะ…ขะ…ข้าน้อย…”
เจ้าอ้วนโบกมือปฏิเสธ เริ่มกลับมามีอาการติดอ่างอีกครั้ง
“ข้ารู้ เดี๋ยวข้าจะหักเอาจากส่วนแบ่งของเจ้าแล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินว่า
“ขอรับ…”
นั่นเอง เจ้าอ้วนถึงยอมรับในที่สุด
เมื่อเขาสวมใส่ชุดเกราะสีดำนั้นอย่างรวดเร็ว เจ้าอ้วนก็กลับกลายเป็นนักรบที่มีสง่าราศีมากทีเดียว
ไม่กี่อึดใจต่อมา เจ้าอ้วนในชุดเกราะสีดำก็เดินกลับมายืนอยู่เคียงข้างหลินเป่ยเฉิน
บนแผ่นหลังของเขาแบกกระเป๋าบรรจุสัมภาระขนาดใหญ่มาด้วยอีกหนึ่งใบ
“ไม่เลวแฮะ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ “พวกเราไปกันเถอะ”
…
“ในหุบเขามรณะมีราชาหมาป่าศิลาอยู่ได้อย่างไร?”
ใต้เท้าเหลียนนั่งอยู่บนบัลลังก์ลอยฟ้า ดวงตาจ้องมองเด็กสาวเท้าเปล่าในชุดเสื้อคลุมสีดำเขม็ง “ซ้ำเจี๋ยนเซียวเหยายังฆ่ามันได้สำเร็จ… เขาทำได้อย่างไร?”
บัดนี้ เด็กสาวเท้าเปล่ากำลังคุกเข่าข้างเดียวอยู่หน้าบัลลังก์
แม้ว่าใต้เท้าเหลียนจะมีกิริยาท่าทางเป็นปกติ แต่เด็กสาวก็ไม่กล้าส่งเสียงหัวเราะอีกแล้ว “ผู้ต่ำต้อยตรวจสอบดูแล้ว หุบผามรณะเป็นพื้นที่ซึ่งเบื้องบนดูแลอย่างใกล้ชิด และเจี๋ยนเซียวเหยาก็สามารถสังหารราชาหมาป่าศิลาได้จริง ๆ บัดนี้ เขากำลังจะนำซากหมาป่าไปฝากขายกับหอการค้าแห่งหนึ่ง ผู้ต่ำต้อยกำลังพยายามสืบหาข้อมูลเพิ่มเติมอยู่เจ้าค่ะ”
“จำเอาไว้นะว่าไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับเขา”
ใต้เท้าเหลียนพูดเสียงราบเรียบ “เพียงค้นหาความจริงก็พอ แต่อย่าไปแทรกแซงการแข่งขันของเขาเด็ดขาด”
“เจ้าค่ะ ผู้ต่ำต้อยเข้าใจแล้ว”
เด็กสาวเท้าเปล่าถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
หลังจากหยุดชะงักไปเล็กน้อย นางก็กล่าวออกมาอีกครั้ง “กราบเรียนใต้เท้าเหลียน ข้าน้อยสืบทราบมาว่ามีคนกลุ่มหนึ่งพยายามจะวางแผนสังหารเจี๋ยนเซียวเหยา…”
“ไม่ต้องไปยุ่ง”
ใต้เท้าเหลียนยังคงมีน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดิม
เด็กสาวเท้าเปล่ากล่าวออกมาอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ “นอกจากนี้ ยังมีผู้คนอีกหลายกลุ่มที่มีความทะเยอทะยานสูงส่ง โดยเฉพาะคนจากฝั่งเบื้องบน พวกเขาละเมิดกฎการแข่งขันหลายอย่าง…”
“ผู้ใดที่ละเมิดกฎ ให้จัดการได้โดยไม่ต้องปรานี”
ใต้เท้าเหลียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและหนักแน่น
“รับทราบเจ้าค่ะ”
เด็กสาวเท้าเปล่ารีบค้อมศีรษะแสดงความเคารพและประสานมือคำนับ “ผู้ต่ำต้อยเข้าใจแล้ว”
หลังจากหยุดชะงักไปอีกครั้ง ดวงตาของเด็กสาวก็เป็นประกายระยิบระยับอย่างเจ้าเล่ห์ คล้ายกับเพิ่งนึกอะไรได้บางอย่าง
“กราบเรียนใต้เท้าเหลียน เจี๋ยนเซียวเหยาผู้นี้มีฝีมือแข็งแกร่ง เราดึงเขามาเป็นพวกดีหรือไม่เจ้าคะ? ผู้ต่ำต้อยคิดว่านี่คือการเดินหมากที่น่าสนใจทีเดียว แม้ว่าเขาจะเป็นสาวกของเทพีกระบี่ แต่ตราบใดที่เขามีจิตใจทะเยอทะยานใฝ่สูง ข้าน้อยมั่นใจว่าเจี๋ยนเซียวเหยาผู้นี้จะต้องยินดีละทิ้งเทพีกระบี่อย่างแน่นอน… นางอาจจะกระหยิ่มใจที่ตนเองได้ตำแหน่งเทพีผู้มีหน้าตางดงามที่สุดในดินแดนทวยเทพไปครอบครอง แต่หากเราแย่งชิงตัวเขามาได้สำเร็จ นี่ก็คงทำให้นางเสียหน้าไม่ใช่น้อย”
ครั้งนี้ ใต้เท้าเหลียนไม่ได้พูดอะไรอีกแล้ว
เด็กสาวเท้าเปล่าเฝ้ารออยู่นานสองนาน สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นมอง
“เจ้าไปได้แล้ว”
ใต้เท้าเหลียนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ผู้ต่ำต้อยรับคำบัญชา”
เด็กสาวเท้าเปล่ายิ้มแย้มอย่างมีชีวิตชีวา สีหน้ากลับมาสดใสและตื่นเต้นดังเดิม นางยิ้มและกล่าวว่า “ใต้เท้าได้โปรดวางใจ ข้าน้อยจะกระทำอย่างแยบยลที่สุด”