ตอนที่ 1,268 บดขยี้ด้วยความแข็งแกร่ง
นี่มันอะไรกัน?
จะให้ไปกันง่าย ๆ เช่นนี้หรือ?
แม้พวกของว่านหยวนจะไม่เห็นด้วย แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากติดตามอวิ๋นอู่เหินเดินจากไป
ในไม่ช้า ร่างของกลุ่มชายฉกรรจ์ก็เดินหายลับไปในทะเลทรายอันกว้างใหญ่
“ข้านึกว่าเจ้าจะใช้โอกาสนี้สังหารพวกเขาเสียอีก”
นักบวชสาวเซียงเหยียนหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน
“ในสายตาของท่าน ข้าเป็นบุคคลชั่วร้ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้ม
“หาได้ชั่วร้ายไม่ แต่เป็นคนที่ชาญฉลาด”
นักบวชสาวเซียงเหยียนมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย “ในเมื่อเจ้าตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกเขา ก็สมควรถอนรากถอนโคนให้สิ้นซาก หากพวกของอวิ๋นอู่เหินนำเรื่องที่เจ้ามีรูปสลักเทวะจำนวนมากไปป่าวประกาศ เจ้าก็คงกลายเป็นศัตรูกับผู้เข้าแข่งขันแทบทุกคนแล้ว”
หลินเป่ยเฉินชะงักกึก
ประเสริฐ
ไม่เสียทีที่นักบวชสาวเซียงเหยียนมีภาพลักษณ์เหมาะสมกับตำแหน่งประธานาธิบดีหญิง นอกจากมีหน้าตางดงามแล้ว นางยังชาญฉลาดอีกด้วย
“เพราะว่าข้าอยากเป็นศัตรูกับทุกคนไงล่ะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากและกล่าวต่อ “มีแต่ให้ผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ มาตามหาข้าเท่านั้น ข้าจึงไม่ต้องเหนื่อยแรง”
คราวนี้ นักบวชสาวเซียงเหยียนแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาบ้าง
นางสัมผัสได้ถึงความกระตือรือร้นจากคำพูดของเด็กหนุ่ม และนั่นก็ทำให้นักบวชสาวแห่งวิหารสาขาที่ 98 ต้องทบทวนความคิดของตนเองใหม่
แน่นอนว่าผู้ที่ทำคะแนนได้สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์การแข่งขันรอบแรก ย่อมมีความคิดที่ไม่เหมือนใคร
นักบวชสาวเซียงเหยียนยื่นมือออกมาข้างหน้าและกล่าวว่า “มอบมันให้กับข้า”
หลินเป่ยเฉินครุ่นคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย ก็นำรูปสลักเทวะออกมาเป็นจำนวนห้าตัวส่งมอบให้แก่นักบวชสาวเซียงเหยียน
ระหว่างทางที่ไล่ล่าอสูรกันก่อนหน้านี้ นักบวชสาวเซียงเหยียนออกแรงไม่ใช่น้อย นางจึงสมควรได้รับรูปสลักเหล่านี้
แต่นักบวชสาวกลับรับรูปสลักไปเพียงตัวเดียว นางถือมันกลับหัวและกล่าวว่า “เจ้าอุตส่าห์แบ่งปันให้ข้าถึงห้าตัว ทำให้ข้ามีความสุขยิ่งนัก แต่อันที่จริง รูปสลักเพียงตัวเดียวก็พอแล้ว ลำพังการเก็บสะสมคะแนนของข้าก่อนหน้านี้ ก็น่าจะไม่มีปัญหาอันใด”
“แต่มีสิ่งที่ข้าอยากจะกล่าวกับเจ้าอยู่สองอย่าง อย่างแรก แม้ว่าข้าจะประทับใจในตัวเจ้า แต่ข้าก็ไม่อยากจะใช้ประโยชน์จากเจ้า ข้าต้องการอยู่รอดในการแข่งขันครั้งนี้ด้วยความสามารถของตนเอง และอย่างที่สอง ยิ่งข้าพึ่งพาตนเองมากเท่าใด ข้าก็จะได้รับสิ่งที่ตนเองต้องการมากเท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินยืนกะพริบตาปริบ ๆ
เขาต้องประเมินนักบวชสาวแสนสวยผู้นี้ใหม่เสียแล้ว
นอกจากนางจะเป็นประธานาธิบดีหญิงที่ชาญฉลาด นางยังเป็นประธานาธิบดีหญิงที่มีความคิดนอกกรอบอีกด้วย
หรือนี่จะเป็นแกนนำกลุ่มดอกไม้เหล็กแห่งดินแดนเทพเจ้า?
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรขอรับ”
หลินเป่ยเฉินเก็บรูปสลักอีกสี่ตัวกลับคืนเข้าที่และกล่าวว่า “พวกเรา… จะร่วมเดินทางด้วยกันต่อหรือไม่?”
นักบวชสาวส่ายศีรษะเป็นคำตอบ “ขอให้เจ้าโชคดี”
กล่าวจบ นางก็เดินตรงไปทางทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล
“แล้วกลับไปเจอกันที่วิหารนะ”
นักบวชสาวเซียงเหยียนโบกมืออำลาก่อนจะเดินหายลับไปจากสายตาของหลินเป่ยเฉิน
ความรู้สึกที่เขามีต่อนักบวชสาวเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
นางนับเป็นสตรีที่มีความรู้สึกอ่อนไหว แต่กลับเห็นหน้าที่สำคัญมากกว่าเรื่องส่วนตัว ซ้ำยังมีความมั่นใจในตนเองสูงส่งอีกด้วย
บางทีเขากับนางอาจจะเป็นสหายกันจริง ๆ ก็ได้กระมัง?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็จัดการคาดผ้าคลุมและกระโดดขึ้นไปอยู่บนแผ่นหลังของเจ้าอสูรกิ้งก่าทะเลทรายทองคำ ก่อนจะพยักหน้าส่งสัญญาณบอกเจ้าอ้วนว่า “พวกเราออกเดินทางกันเถอะ”
เจ้าอ้วนนั่งประจำที่อยู่บนหลังศีรษะของอสูรกิ้งก่ายักษ์ ใช้กำปั้นเคาะลงไปบนศีรษะของมันแผ่วเบา
“วู้ฮู้ ซิ่งกันเลยเพื่อนฝูง!”
หลินเป่ยเฉินร้องตะโกน
อสูรกิ้งก่ายักษ์สามารถเคลื่อนที่ในทะเลทรายได้อย่างคล่องแคล่วปราดเปรียวไม่ต่างจากลูกธนูหลุดออกจากแหล่ง
เจ้าอ้วนอยากจะถามว่า “เราจะไปที่ไหนกันหรือขอรับ?”
แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ถามออกมา
ถึงอย่างไรเขาก็ต้องติดตามคุณชายท่านนี้ไปอยู่แล้ว
ครึ่งชั่วยามให้หลัง
เจ้าอ้วนก็ยกมือขยี้ตา ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เพราะเบื้องหน้าเขาคือทะเลทรายที่มีสีเขียวสด
“ตะ… ตะ… ต้นไม้…”
“ไม่ใช่แค่ต้นไม้นะ แต่ข้างหน้ายังมีบ่อน้ำอีกด้วย นี่คือแหล่งน้ำเพียงแห่งเดียวในทะเลทรายทองคำที่มีน้ำดื่มและต้นไม้ขึ้นอย่างอุดมสมบูรณ์”
“ทะ… ทะ… ท่าน…”
“ข้ารู้ได้อย่างไรน่ะหรือ? ฮ่า ๆๆ ข้าไม่บอกเจ้าหรอก”
“ฮื่อ”
ทั้งสองหนุ่มจบสิ้นการสนทนาเพียงเท่านี้
ไม่นานหลังจากนั้น อสูรกิ้งก่าทะเลทรายทองคำก็วิ่งมาถึงบริเวณริมบ่อน้ำขนาดใหญ่
“มะ… มะ… มีคน…”
“หากที่นี่ไม่มีคน ข้าก็คงไม่มาหรอก”
“ฮื่อ”
วูบ! วูบ! วูบ!
ทันใดนั้น เงาร่างหกสายก็พุ่งทะยานออกมาขวางหน้าอสูรกิ้งก่ายักษ์ราวกับเป็นลูกธนูอันเกรี้ยวกราด
“นี่มันอะไรกัน?”
ผู้ที่นำมาด้านหน้าเป็นบุรุษหนุ่มร่างผอมสูงอายุสามสิบปี บนใบหน้าปรากฏรอยแผลเป็นราวกับตะขาบตัวใหญ่พาดผ่าน เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งได้รับบาดเจ็บมาไม่นาน เพราะบาดแผลยังไม่ทันตกสะเก็ด บุรุษผู้นี้สวมใส่ชุดเกราะสีแดงเข้ม พลังศักดิ์สิทธิ์แรงกล้า อยู่ในขั้นนักรบเทวะระดับสูง…
และที่บุรุษหนุ่มผู้นี้อุทานออกมาก็เป็นเพราะความประหลาดใจที่พบว่าบนแผ่นหลังของอสูรกิ้งก่าทะเลทรายนั้นกำลังมีผู้คนนั่งอยู่ถึงสองคน
ส่วนผู้ติดตามของเขาอีกห้าคนก็เป็นนักรบเทวะที่มีพลังแข็งแกร่งเช่นกัน
ทุกคนสวมใส่ชุดเกราะสีแดงที่จัดสร้างขึ้นมาอย่างประณีต
ลำดับชั้นของชุดเกราะเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าสูงส่งมากกว่าชุดเกราะทองคำที่ใต้เท้าก่ายปาหวงมอบให้แก่พวกของอวิ๋นอู่เหินหลายเท่า
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ต้องเป็นเหล่าผู้เข้าแข่งขันแน่นอน
หลังจากนั้น บุรุษผู้มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าก็ปรบมือเสียงดังขณะกล่าวว่า “น่าสนใจดีนี่… เจ้าสามารถปราบพยศสัตว์อสูรเช่นนี้ได้สำเร็จ ฮ่า ๆๆ เอาไว้ข้าสังหารพวกเจ้าตายหมดเมื่อไหร่ เดี๋ยวจะขอยืมคัมภีร์ปราบพยศสัตว์อสูรของพวกเจ้ามาฝึกฝนบ้างแล้วกัน”
ชายฉกรรจ์อีกห้าคนแยกย้ายกระจายตัวยืนล้อมรอบอสูรกิ้งก่าทะเลทรายอย่างเงียบงัน
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนแผ่นหลังของเจ้ากิ้งก่ายักษ์ กวาดสายตามองสภาพแวดล้อมราวกับไม่ได้ยินเสียงข่มขู่คุกคามใด ๆ
บ่อน้ำแห่งนี้มีลักษณะแปลกประหลาดมาก
ปกติแล้วในทะเลทรายมักจะมีแหล่งน้ำอยู่ในพื้นที่ราบต่ำ แต่บ่อน้ำแห่งนี้กลับตั้งอยู่ในพื้นที่ราบสูงเสียอย่างนั้น
รัศมีของป่าเขียวยาวไกลหลายลี้ บริเวณริมฝั่งปรากฏต้นไม้และพืชผักจำนวนมากปกคลุมเขียวขจี
ต้นไม้เหล่านี้แทบจะถอดแบบต้นมะพร้าวมาทุกกระเบียดนิ้ว
และใจกลางป่าเขียวมีบ่อน้ำใสสะอาดกว้างขวางกว่าห้าสิบวาตั้งอยู่บ่อหนึ่ง
บรรยากาศของสถานที่แห่งนี้จึงงดงามเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าทะเลทรายโดยรอบจะแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวา แต่ที่นี่กลับเต็มไปด้วยอากาศสดชื่น
“ขึ้นไปจัดการมันซะ”
เมื่อบุรุษหนุ่มผู้มีรอยแผลเป็นอยู่บนใบหน้าเห็นว่าหลินเป่ยเฉินเมินเฉยต่อพวกของตนเอง เขาก็พลันโบกมือส่งสัญญาณด้วยความเดือดดาลใจ
วูบ!
ลูกสมุนคนหนึ่งของชายฉกรรจ์ดีดตัวพุ่งขึ้นไปในอากาศ
ฉับพลันนั้น กระบี่โลหิตในมือเขาก็ถูกชักออกจากฝักและตวัดฟันใส่หลินเป่ยเฉิน
นี่คือการโจมตีที่หมายมั่นเอาชีวิต
เพียงแต่ว่า…
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายวาวโรจน์ “ฆ่ามันซะ”
“ขอรับ…”
เจ้าอ้วนวางกระเป๋าใส่สัมภาระของตนเองลงนานแล้ว เขากระทืบเท้าดีดตัวขึ้นไปในอากาศ
วูบ!
พลั่ก!
เพียงหมัดเดียวเท่านั้น
ในอากาศก็ปรากฏคลื่นพลังที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ชุดเกราะสีแดงสดที่นักรบเทวะผู้นั้นสวมใส่พลันแตกกระจายไม่เหลือชิ้นดี
โลหิตพร่างพรมลงมาจากท้องฟ้า
“บังอาจนัก”
บุรุษผู้มีรอยแผลเป็นอยู่บนใบหน้าร้องคำรามด้วยความโกรธแค้น “พวกเราลงมือโจมตีพร้อมกัน”
“สั่งสอนซะ”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง
“ขอรับ”
เจ้าอ้วนลงมืออีกครั้ง
คราวนี้ เขาไม่ได้ลงมือหนักหน่วงเหมือนก่อน
เพียงไม่กี่ลมหายใจ พวกของบุรุษผู้มีรอยแผลเป็นอยู่บนใบหน้าทั้งห้าคนก็ถูกเจ้าอ้วนต่อยลอยกระเด็นออกไป พลังศักดิ์สิทธิ์เลือนหาย ใบหน้าบวมปูด แขนขาชักกระตุก ไม่สามารถกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีก
ขณะนี้ เจ้าอ้วนมีความเข้าใจต่อคำสั่งของหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างดี
การฆ่าคือการทำให้ร่างศัตรูระเบิดกระจาย
การสั่งสอนคือการเอาชนะศัตรูโดยที่อีกฝ่ายต้องมีชีวิตอยู่
นี่คือการร่วมมือที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าอ้วนกับหลินเป่ยเฉินนับครั้งไม่ถ้วนในหุบผาอเวจี
ในไม่ช้า กลุ่มคนกว่าสี่สิบชีวิตก็พากันปรากฏตัวออกมาจากป่าเขียวรอบบ่อน้ำแห่งนี้
พวกเขาเป็นผู้เข้าแข่งขันต่างกลุ่มต่างวิหาร สามารถแบ่งแยกอย่างหยาบ ๆ ได้ด้วยกันสามกลุ่ม
ก่อนหน้านี้ บรรดากลุ่มผู้เข้าแข่งขันทั้งสามฝ่ายกำลังโต้เถียงกันอย่างดุเดือด แต่ทุกคนก็ต้องตื่นตระหนกกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหลินเป่ยเฉิน
เดิมที พวกเขาเข้าใจว่านักรบเทวะทั้งหกคนนั้นน่าจะสามารถรับมือเด็กหนุ่มผู้นี้ได้ไม่มีปัญหา แต่ใครจะรู้เลยว่าเพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น พวกของบุรุษหนุ่มผู้มีรอยแผลเป็นบนใบหน้ากลับต้องลงไปนอนแผ่หราอยู่บนพื้นดินราวกับสุนัขข้างถนนเสียแล้ว
“ฆ่ามัน”
“ฆ่าเจ้าสองคนนั้นให้ได้”
บุรุษหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาผู้สวมใส่ชุดเกราะสีแดงสดพลันร้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น
นักรบเทวะสิบคนที่สวมใส่ชุดเกราะไม่ต่างไปจากพวกของบุรุษหนุ่มผู้มีรอยแผลเป็นอยู่บนใบหน้าชักกระบี่ออกมาและวิ่งเข้าหาอสูรกิ้งก่าทะเลทราย
เจ้าอ้วนส่งเสียงคำรามแผ่วเบา กำลังจะกระโดดลงไปต่อสู้
“ช้าก่อน ครั้งนี้ข้าจัดการเอง”
หลินเป่ยเฉินบิดคอไล่ความเมื่อยขบและดัดนิ้วของตนเองเสียงดังกร๊อบแกร๊บ พูดด้วยความตื่นเต้น “ได้เวลาที่ข้าจะแสดงฝีมือบ้างแล้ว”
วูบ!
ร่างของเด็กหนุ่มพลันสลายหายวับไปจากแผ่นหลังของอสูรกิ้งก่าทะเลทราย
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
ได้ยินเสียงกำปั้นกระแทกผู้คนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บรรดานักรบเทวะทั้งสิบคนนั้นลอยกระเด็นไปคนละทิศละทางไม่ต่างไปจากกระสอบป่านเก่าขาด โลหิตเป็นสายฉีดพุ่งในอากาศ
กลุ่มผู้เข้าแข่งขันที่ยืนดูอยู่ห่างไกลล้วนแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา
ทว่าทุกคนยังไม่ทันได้ตั้งตัว หลินเป่ยเฉินก็มาปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาที่ออกคำสั่งก่อนหน้านี้ บุรุษหนุ่มผู้นั้นระเบิดพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างแรงกล้า
เขาหัวเราะเยาะ กำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา ใบหน้าก็ถูกหลินเป่ยเฉินตบเข้าฉาดใหญ่ หลังจากพลังศักดิ์สิทธิ์สลายหายไป บุรุษหนุ่มก็ไม่ต่างไปจากลูกไก่ในกำมือของหลินเป่ยเฉิน เขาล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้นดิน แขนขาชักกระตุก ไม่สามารถลุกกลับขึ้นมาได้อีก
นี่มันอะไรกัน?
เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ บรรดาชายฉกรรจ์ที่เคยคิดอยากจะออกไปแสดงฝีมือก็ต้องรีบเปลี่ยนแผนการของตนเองทันที
แข็งแกร่งเกินไป
เกินกว่าที่พวกเขาจะรับมือไหว
การเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับนี้ไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย
“ข้ามีบางอย่างอยากบอกกล่าว… ข้าไม่ต้องการสู้กับท่าน”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำลักษณะท่าทางเป็นหัวหน้ากลุ่มผู้หนึ่งผงะถอยหลัง กล่าวออกมาเสียงดังว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายเป็นผู้ใด รบกวนบอกนามอันสูงส่งของท่านได้หรือไม่?”