ตอนที่ 1,269 ชื่อนี้น่ากลัวมากเกินไป
“เจี๋ยนเซียวเหยา”
ร่างของหลินเป่ยเฉินพุ่งเป็นเส้นโค้งราวกับสายรุ้ง ทิ้งตัวกลับไปยืนเอามือไขว้หลังอยู่บนแผ่นหลังของอสูรกิ้งก่าทะเลทรายทองคำอีกครั้ง
ถ้อยคำเพียงสามพยางค์ของเขากึกก้องอยู่ในอากาศ
แต่ดวงตาของทุกผู้คนที่ได้ยินกลับเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก
เจี๋ยนเซียวเหยา!
ที่แท้ก็เป็นเจี๋ยนเซียวเหยา!!
นี่คือนามอันเลื่องลือระบือไกลตั้งแต่สี่วันที่แล้ว
ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก
“ที่แท้ก็เป็นคุณชายเจี๋ยนนี่เอง”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำอุทานออกมา
ไม่สงสัยในความสามารถของเด็กหนุ่มหน้ากากขาวอีกต่อไป
เจี๋ยนเซียวเหยาคือผู้ที่ทำคะแนนได้สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์การแข่งขันรอบแรก
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่แห่งสภาเทพเจ้าในครั้งนี้ ล้วนแต่ได้ยินชื่อของเจี๋ยนเซียวเหยาตลอดเวลา
เมื่อได้มาพบเจอตัวจริงในวันนี้ พวกเขาก็ทราบแล้วว่าตัวจริงของเด็กหนุ่มมีความเก่งกาจสมคำเล่าลือ
“ข้าน้อยไม่ทราบว่าคุณชายอยู่ที่นี่จึงล่วงเกินแล้ว”
“หากคุณชายเจี๋ยนต้องการบ่อน้ำแห่งนี้ พวกเรายินดีแยกย้ายไปที่อื่นกันทันทีขอรับ”
“คุณชายเจี๋ยนเป็นวีรบุรุษประจำใจของข้า”
“ข้าน้อยรู้ดีว่าคุณชายเจี๋ยนมีความแข็งแกร่งเพียงใด พวกเราคงไม่อาจตั้งตัวเป็นศัตรูกับท่าน”
ชายฉกรรจ์จำนวนมากรีบพูดละล่ำละลัก หลายคนไม่กลัวเสียภาพลักษณ์ ถึงกับทิ้งตัวนั่งคุกเข่าและตบใบหน้าเป็นการสั่งสอนตนเอง
แม้แต่บุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดเกราะสีแดงที่เพิ่งยันกายลุกขึ้นยืนจากพื้นทราย ก็ยังปั้นหน้ายิ้มแย้มกล่าวขอโทษว่า “ผู้ต่ำต้อยไม่ทราบว่าคุณชายก็คือยอดฝีมือเจี๋ยนเซียวเหยา ผู้ต่ำต้อยมีนามว่าลู่ปิงเหวิน ผู้ต่ำต้อยยินดีเป็นข้ารับใช้ของท่าน คุณชายได้โปรดให้อภัยผู้ต่ำต้อยด้วย”
ทุกคนต่างก็หวาดกลัว
นี่คือการทำภารกิจในขั้นที่สอง
ยิ่งสังหารผู้เข้าแข่งขันคนอื่นได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้คะแนนมากเท่านั้น
ทุกคนล้วนกลัวว่าการผิดใจกับเจี๋ยนเซียวเหยาจะนำพาความตายมาสู่ตนเอง
และเมื่อถึงตอนนั้น เจี๋ยนเซียวเหยาก็คงกอบโกยคะแนนไปได้มหาศาล
หลินเป่ยเฉินพยายามกลั้นยิ้มด้วยความพอใจ
ประเสริฐ เชื่อฟังกันเช่นนี้ก็ดีแล้ว
หนทางไม่มืดมนอีกต่อไป
ทำดีกับเขาเอาไว้เถอะ รับรองว่าได้รับสิ่งดี ๆ ตอบแทนกลับไปแน่นอน
“พวกท่าน… ห้ามไปไหนทั้งนั้น”
คำพูดประโยคแรกของเด็กหนุ่มทำให้ทุกคนหวาดกลัวแทบตายแล้ว
พวกเขานึกว่าเจี๋ยนเซียวเหยากำลังจะลงมือสังหารผู้คน
แต่โชคดีที่ประโยคถัดมาไม่ได้เป็นอย่างที่กลุ่มผู้เข้าแข่งขันคิดกลัว
“ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อฆ่าใครทั้งนั้น… เอาล่ะ พวกท่านแนะนำตนเองบ้างสิว่าใครเป็นใครบ้าง”
บุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้มีนามว่าลู่ปิงเหวินรีบขยับออกมาประสานมือ กล่าวว่า “ข้าน้อยมาจากตระกูลลู่ พวกเราเป็นตัวแทนเผ่าเทพอัคคี ข้าน้อยได้อันดับที่สิบในการคัดเลือกที่คุกทมิฬ ส่วนคนเหล่านี้เป็นสหายร่วมกลุ่มของข้าน้อย และก็เป็นคนจากเผ่าเทพอัคคีเช่นกัน”
เป็นคนของเผ่าเทพอัคคี?
เทพอัคคีคือหนึ่งในเจ็ดเทพสงครามแห่งดินแดนทวยเทพ สถานะของกลุ่มคนเหล่านี้ย่อมไม่ต่ำต้อย
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำรีบประสานมือแสดงความเคารพและแนะนำตนเองว่า “ผู้ต่ำต้อยมีนามว่าซือเกินตั๋ง เป็นตัวแทนจากเทพภูผา ส่วนผู้ติดตามของข้าน้อยทั้งสิบสี่คน ก็เป็นคนจากเผ่าเทพภูผาเช่นกัน”
ส่วนหัวหน้ากลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่เป็นบุรุษหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้าปี เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวสะอาดตา ร่างกายผอมสูง ใบหน้ารูปไข่ คิ้วเรียวยาวราวกับหางมังกร ดวงตาเป็นประกายสดใส
บุรุษหนุ่มประสานมือค้อมศีรษะ กล่าวว่า “ข้าน้อยมีนามว่ากวนรั่วเฟยมาจากเผ่าเทพวิหค กลุ่มผู้ติดตามของข้าน้อยก็มาจากเผ่าเทพวิหคเช่นกัน”
บุรุษหนุ่มทั้งสามกลุ่มนี้ล้วนแต่สวมใส่เสื้อเกราะและเสื้อคลุมที่มีสีสันแตกต่างกันออกไป พวกเขามีจำนวนคนรวมกันทั้งสิ้นหกสิบสี่ชีวิต
นับเป็นขุมกำลังที่ไม่ต่ำต้อย
อย่างน้อยภายใต้สถานการณ์ปกติ ก็จัดเป็นกลุ่มผู้เข้าแข่งขันที่มีปูมหลังดีกว่าผู้เข้าแข่งขันทั่วไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลู่ปิงเหวินซึ่งมาจากเผ่าเทพอัคคี ผู้เป็นหนึ่งในเจ็ดเทพสงครามแห่งสภาเทพเจ้า จึงนับว่าเขามีสถานะสูงส่งมากที่สุดแล้ว
หลินเป่ยเฉินบังคับเจ้าอสูรกิ้งก่าทะเลทรายให้วิ่งไปหยุดอยู่ที่ริมบ่อน้ำขนาดใหญ่นั้น
ลู่ปิงเหวิน กวนรั่วเฟย ซือเกินตั๋งและบรรดาผู้ติดตามไม่กล้าขัดขวางการกระทำของหลินเป่ยเฉิน และพวกเขาก็ไม่กล้าหันหลังหลบหนีไป ทุกคนจึงทำได้เพียงปลุกปลอบจิตใจของตนเองและติดตามเด็กหนุ่มไปที่ริมบ่อน้ำ
หลินเป่ยเฉินกระโดดลงมาจากแผ่นหลังของเจ้ากิ้งก่ายักษ์พลางสอบถามว่า “พวกท่านมารวมตัวกันที่นี่เพื่อทำอะไรกันหรือ?”
ลู่ปิงเหวินเป็นผู้ตอบคำถามอย่างกระตือรือร้นว่า “กราบเรียนคุณชายเจี๋ยนอย่างไม่อายปาก ข้าน้อยไม่กล้าปิดบังความจริง ต้องกล่าวว่าพวกเรามารวมตัวกันเพราะตลอดทั้งวันค้นหาทั่วทะเลทรายทองคำแล้ว แต่กลับไม่พบเจอรูปสลักเทวะเลยสักตัว จนกระทั่งบัดนี้ แม้แต่ภารกิจส่วนแรก พวกเราก็ยังทำไม่สำเร็จเลยด้วยซ้ำ…”
ริมฝีปากของหลินเป่ยเฉินกระตุกเล็กน้อย
กวนรั่วเฟยแสดงสีหน้าพิศวงสงสัยออกมาเช่นกัน “นี่นับเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดยิ่ง ไม่ว่าใช้วิธีการใด พวกเราต่างก็หารูปสลักเทวะไม่พบ… เมื่อไปถึงจุดที่มั่นใจว่าต้องมีรูปสลักซ่อนอยู่แน่ ๆ ข้าน้อยกลับพบว่ามีผู้คนได้ขุดเอาไปเสียแล้ว… ช่างน่าเจ็บใจจริง ๆ”
“ใช่แล้วขอรับ คล้ายกับว่ามีใครสักคนล่วงรู้ที่ซ่อนของรูปสลักเหล่านั้นและก็ขุดพวกมันตัดหน้าเราไป”
ลู่ปิงเหวินถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า
อสูรกิ้งก่าทะเลทรายที่ยืนอยู่ด้านข้างได้แต่ส่ายหัวเล็กน้อยด้วยความระอาใจ
เจ้าอ้วนที่สะพายกระเป๋าใบใหญ่อยู่บนแผ่นหลังไม่พูดคำใด เสแสร้งแกล้งทำสีหน้าเรียบเฉย
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบและถามอย่างเยือกเย็นว่า “พวกท่านมีวิธีค้นหารูปสลักเทวะด้วยหรือ? สามารถทำได้อย่างไรกัน?”
ลู่ปิงเหวินตอบว่า “เผ่าเทพอัคคีมีคัมภีร์โบราณสำหรับตามหารูปสลักเทวะเหล่านี้โดยเฉพาะ ในคัมภีร์มีแผนที่ระบุเอาไว้ว่ารูปสลักเหล่านี้น่าจะถูกซ่อนอยู่ที่ใดขอรับ”
ซือเกินตั๋งส่งเสียงขึ้นมาเช่นกัน “เทพภูผาเราก็มีคัมภีร์พิสดาร ใช้สำหรับตรวจหาสิ่งแปลกปลอมที่ซ่อนอยู่ในก้อนหินดินทรายขอรับ…”
กวนรั่วเฟยกล่าวว่า “เทพวายุเราก็มีคัมภีร์วิชาลับ สำหรับช่วยตามหาสิ่งของที่ต้องการเช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหงึกหงัก
เทพเจ้าเหล่านี้นับว่าน่าสงสารจริง ๆ
แบบนี้มันก็เหมือนกับเขาโกงข้อสอบคนอื่นเลยน่ะสิ
หลินเป่ยเฉินคิดไปคิดมาก็รู้สึกละอายแก่ใจยิ่งนัก
แต่คิดดูอีกที
หากเขาไม่เก็บรูปสลักเหล่านั้นมาก่อน มีหวังรูปสลักที่ถูกฝังอยู่ใต้พื้นทรายเหล่านั้น ก็คงถูกเทพเจ้าเหล่านี้กวาดเรียบแน่ ๆ
เฮอะ นี่เรียกว่าใครมาก่อนได้ก่อนต่างหากเล่า…
เพียงคิดได้ดังนี้ก็สบายใจแล้ว
“พวกเราทั้งสามกลุ่มมาพบกันที่นี่โดยบังเอิญ จากนั้นถึงได้รู้ว่าไม่มีผู้ใดพบรูปสลักเทวะเลยสักคน พวกเราจึงปรึกษาหารือว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี ยังไม่ทันได้ข้อสรุป คุณชายเจี๋ยนก็ปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน นับว่าพวกข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ จึงได้ล่วงเกินคุณชายไปเช่นนั้นขอรับ”
ลู่ปิงเหวินพยายามอธิบาย
“ถูกต้องขอรับ”
“พวกเราต้องขออภัยจริง ๆ พวกเรายินดีชดใช้ทุกอย่าง ขอเพียงคุณชายเจี๋ยนให้อภัยพวกเราก็พอ”
กวนรั่วเฟยและซือเกินตั๋งต่างก็ร้องขอความเมตตาอย่างไม่ห่วงศักดิ์ศรีตนเองอีกแล้ว
เดิมทีพวกเขามาจากตระกูลเทพผู้สูงส่ง จึงมีนิสัยยโสโอหังหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี มีหรือที่เคยต้องก้มหัวให้ผู้ใดมาก่อน?
แต่บัดนี้ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ผู้ที่ทุกคนกำลังเผชิญหน้าอยู่คือยอดฝีมือผู้แข็งแกร่ง ซ้ำยังมีจิตใจอำมหิตที่คิดฆ่าพวกเขาเมื่อไหร่ก็ได้ หากพวกเขาถูกฆ่าตายระหว่างการแข่งขัน ทางตระกูลเทพเจ้าต้นสังกัดก็ไม่สามารถแก้แค้นได้ เพราะนั่นคือหนึ่งในกฎที่สภาเทพเจ้าระบุเอาไว้อย่างชัดเจน
“ข้าไม่โทษพวกท่านหรอก”
หลินเป่ยเฉินกล่าวออกมาช้า ๆ
“ขอบคุณคุณชายขอรับ เหตุการณ์ครั้งนี้ ไม่ใช่ว่าพวกเราเกียจคร้านเกินไป”
ลู่ปิงเหวินพูดมาถึงตรงนี้ก็ชักจะมีอารมณ์ขุ่นเคืองขึ้นมา “ข้าน้อยไม่ทราบว่าเป็นตัวบัดซบผู้ใดที่ขุดรูปสลักเทวะเหล่านั้นตัดหน้าพวกเราไป หากข้าน้อยเจอตัวมันล่ะก็ ข้าน้อยจะสั่งสอนมันในชนิดที่แม้แต่มารดาของมันก็จดจำหน้ามันไม่ได้อีกแล้ว”
เวลาล่วงเลยไปไม่น้อย แต่พวกเขาก็ยังทำภารกิจส่วนแรกไม่สำเร็จ
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะไม่กลายเป็นผีเฝ้าทะเลทรายอยู่ที่นี่ตลอดไปหรอกหรือ?
นั่นแย่ยิ่งกว่าถูกฆ่าตายเสียอีก
“จริงหรือ?”
หลินเป่ยเฉินกล่าวเสียงราบเรียบ “เช่นนั้นข้าก็อยากรู้นักว่าท่านจะสั่งสอนข้าอย่างไร… เจ้าอ้วน นำรูปสลักทั้งหมดออกมา”
“หืม? อ้อ”
หลังจากเจ้าอ้วนหายตกตะลึง เขาก็นำรูปสลักเทวะทั้งหมดที่อยู่ในกระเป๋าหลังออกมาเทลงบนพื้นอย่างเชื่อฟัง
ขณะนี้
รูปสลักเทวะสีแดงเก่าคร่ำคร่ากองรวมกันไม่ต่างจากเศษขยะข้างถนน
ชายฉกรรจ์ทั้งสามกลุ่มได้แต่เบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
และมีผู้หนึ่งตกตะลึงมากกว่าใคร
ย่อมต้องเป็นลู่ปิงเหวินซึ่งเมื่อสลัดหลุดออกจากความตกตะลึงแล้ว เขาก็จดจำได้ดีว่าตนเองเพิ่งกล่าวคำใดออกไป
บุรุษผู้หล่อเหลาบัดนี้มีใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับคนที่กำลังทนกลิ่นเหม็นอุจจาระ… แต่ถึงกระนั้น หากมีผู้ใดบังคับให้เขารับประทานอาจมเหล่านั้นเพื่อแลกกับการถอนคำพูดของตนเองกลับคืนมา ลู่ปิงเหวินก็ยินดีกระทำโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย