ตอนที่ 1,278 หญิงชราผมสีเทา
“เจ้ารู้จักชื่อของนางหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความกระตือรือร้น
เฉียนหลงส่ายศีรษะ “ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ แต่ดูเหมือนว่าชื่อของคนผู้นี้จะเป็นนามต้องห้ามในดินแดนทวยเทพ”
ลู่ปิงเหวินขยับเข้ามากระซิบเสียงแผ่วเบา “ข้าน้อยเคยได้ยินข่าวลือมาเช่นกัน ว่ากันว่าคนผู้นี้เรียกขานตนเองเป็นเทพธิดาผู้น่าสงสาร แต่การลงมืออันโหดเหี้ยมของนางนั้น ไม่ได้น่าสงสารเลยสักนิด”
เทพธิดาผู้น่าสงสาร?
“นางแซ่ชินใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
“เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่ทราบ ข้อมูลเกี่ยวกับเทพธิดานางนี้ถูกสภาเทพเจ้าปิดกั้นทุกหนทาง พวกเราเองก็เพิ่งเคยได้รับทราบตำนานของนางเมื่อไม่นานนี้ขอรับ” ลู่ปิงเหวินยืนยันน้ำเสียงหนักแน่น “แต่สถิติการทำคะแนนของนางในการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่ในครั้งนั้น ย่อมเป็นของจริงแท้อย่างแน่นอน”
“แล้วทำไมสภาเทพเจ้าถึงต้องปิดกั้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับนางด้วย?”
เนื่องด้วยนี่อาจเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนักพรตหญิงชิน หลินเป่ยเฉินจึงถามอย่างให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
“ข้าน้อยรับทราบเพียงแต่ว่าคนผู้นี้สังหารเทพเจ้า แต่ข้าน้อยก็ไม่ทราบเหตุผลเช่นกันว่าทางสภาเทพเจ้าจะปิดข่าวเพื่ออะไร แต่คิดว่ามันน่าจะข้องเกี่ยวกับการสังหารของนางนั่นแหละขอรับ”
ลู่ปิงเหวินกล่าวอย่างขึงขัง
“ข้าน้อยเคยได้ยินว่าบุคคลผู้นี้พยายามจะเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ในดินแดนทวยเทพ โดยพยายามจะสร้าง ‘โลกที่ทุกคนเท่าเทียมกัน’ แต่ทางสภาเทพเจ้าเห็นว่านี่เป็นความคิดที่อันตรายยิ่งนัก ในที่สุด จึงขับไล่นางลงไปอยู่ในโลกมนุษย์ขอรับ”
เฉียนหลงกล่าวเสริม
บุรุษหนุ่มทั้งสองคนต่างก็เป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ประจำเมืองเยี่ยเฉิง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเป่ยเฉินก็กลับกลายเป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ ไม่ว่าตนเองรับทราบข้อมูลอันใด ก็บอกกล่าวออกมาโดยไม่ปิดบัง
หลินเป่ยเฉินรับฟังอย่างใช้ความคิด
ตกลงว่าใช่นักพรตหญิงชินหรือไม่?
หากใช่ ก็ถือว่านางมีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดาเลย
และการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่ครั้งสุดท้ายจัดขึ้นเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน
นี่หมายความว่านักพรตหญิงชินคงมีอายุไม่ใช่น้อยแล้ว
หลินเป่ยเฉินอดถามตนเองไม่ได้ว่านี่เขากำลังมีความรักข้ามรุ่นอยู่ใช่หรือไม่?
ช่องว่างทางอายุแตกต่างกันมากเกินไป…
แต่ไม่เป็นไรหรอก
อายุเป็นเพียงตัวเลข ดีเสียอีก เมื่อนักพรตหญิงชินมีความอาวุโสมากกว่าเขาเช่นนี้ นางยอมเป็นผู้นำทางและสามารถชี้แนะหลินเป่ยเฉินได้ในหลาย ๆ อย่าง อีกทั้งนางน่าจะมีประสบการณ์หลายอย่างที่เด็กหนุ่มไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนอีกด้วย…
เพราะฉะนั้น ไม่สำคัญหรอกว่านักพรตหญิงชินจะมีอายุเท่าไหร่
สิ่งสำคัญคือความรู้สึกมากกว่า
นี่คือรักแท้ที่หลินเป่ยเฉินมีให้ต่อนักพรตหญิงชิน
เมื่อคิดได้ดังนี้ หลินเป่ยเฉินก็กลับมามีความสุขอีกครั้ง
แต่บรรยากาศการรับประทานอาหารที่รื่นเริงกลับถูกขัดจังหวะลง
เพราะมีผู้คนจำนวนมากต่างมาขอเข้าพบคุณชายเจี๋ยนเซียวเหยาเพื่อมอบของขวัญให้กับเขา
ทุกตระกูลเทพเจ้าไม่ว่าจะเป็นตระกูลเล็กหรือตระกูลใหญ่ต่างก็หวังจะผูกมิตรกับหลินเป่ยเฉิน
ตระกูลใหญ่อยากจะดึงเขาเข้าไปเป็นพวกของตนเอง
ตระกูลเล็กอยากจะเข้ามาเกาะเกี่ยวหลินเป่ยเฉินเพื่อตักตวงผลประโยชน์
ขณะนี้ บรรดาผู้คนในหอสุราเหมียวเหมียวหง่าวต่างก็ยืนเข้าแถวเพื่อรอนำของขวัญเข้าไปมอบให้แก่คุณชายเจี๋ยนเซียวเหยากลายเป็นขบวนยาวเหยียดไปจนถึงด้านนอกหอสุรา แต่บรรดาสมาชิกผู้สูงศักดิ์จากตระกูลคนใหญ่คนโตย่อมไม่มีทางรอเข้าแถว และก็ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านการแทรกแซงแถวขบวนของพวกเขา
ภายในห้องอาหาร
“เสี่ยวเหวิน เจ้าว่าข้าทำดีต่อเจ้าหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินมองไปที่ลู่ปิงเหวินพร้อมกับยิ้มกว้าง
คุณชายลู่หน้าแดงระเรื่อ “กราบเรียนคุณชายเจี๋ยน ท่านทำดีต่อข้าน้อยยิ่งกว่าบิดามารดาเสียอีก แต่ข้าน้อยยังเยาว์นัก…”
“ไม่เป็นไร เจ้าเป็นผู้ใหญ่มากพอแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากพลางพยักหน้าหงึกหงัก “ด้านนอกมีผู้คนมากมายเกินไป ช่วยข้าจัดการหน่อยแล้วกัน เจ้ารับของขวัญเอาไว้ แต่ห้ามตกปากรับคำอะไรกับพวกเขาเด็ดขาด…”
ลู่ปิงเหวินทวนคำสั่งด้วยความระมัดระวัง “เพียงรับของขวัญ แต่ห้ามให้คำสัญญาใช่ไหมขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินยกนิ้วโป้งด้วยความชื่นชม “ให้ตายเถอะ เจ้ามีพรสวรรค์จริง ๆ”
ลู่ปิงเหวินถอนหายใจด้วยความโล่งอกและยิ้มอย่างผู้ชนะ “คุณชายไม่ต้องเป็นกังวล ข้าน้อยถนัดจัดเจนในเรื่องนี้อยู่แล้ว ข้าน้อยจะทำในวิธีการของข้าน้อยเอง”
หลินเป่ยเฉินผุดลุกขึ้นยืนขณะมั่นใจว่าตนเองได้ข้ารับใช้คนใหม่ที่ไว้ใจได้แล้ว “งั้นเจ้าช่วยส่งของขวัญทั้งหมดไปที่หอการค้าคนแคระเทวะด้วย ฝากไว้ในนามของชิงเล่ยนายหญิงเจ้าก็ได้”
ชิงเล่ยผู้นั่งอยู่ด้านข้างตกตะลึงเล็กน้อย แต่หัวใจกลับพองโตด้วยความพึงพอใจ
คำว่าชิงเล่ยนายหญิงเจ้าอาจฟังดูเรียบง่าย แต่กลับเป็นคำที่แสดงออกถึงการให้เกียรติอย่างยิ่ง
อย่างน้อย เด็กหนุ่มนามว่าเจี๋ยนเซียวเหยาก็ไม่ได้เห็นนางเป็นดอกไม้ริมทางและยังยกย่องให้เกียรติตนเองต่อหน้าลูกสมุนของเขาอีกด้วย
หลังจากอธิบายทุกอย่างเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็ลุกขึ้นพาชิงเล่ยเดินออกไปจากห้องอาหารทางประตูลับ
“นายท่านขอรับ รอด้วย ข้าน้อยขอไปด้วยคน ข้าน้อยมีเรื่องอยากจะสอบถามนายท่าน”
เฉียนหลงรีบวิ่งตามมาด้านหลัง
ลู่ปิงเหวินจึงนั่งอยู่ในห้องอาหารเพียงลำพัง แต่หัวใจของเขากลับรู้สึกลิงโลดยินดี
สถานการณ์ที่ตนเองกำลังพบเจออยู่ในขณะนี้ เป็นเรื่องราวที่ลู่ปิงเหวินเคยวาดฝันยามเมามายเท่านั้น
ผู้คนจำนวนมากยืนเรียงแถวทยอยกันเข้ามามอบของขวัญให้แก่… พี่ใหญ่ของเขา
แต่เพียงเท่านี้ลู่ปิงเหวินก็มีความสุขแล้ว
“เปิดประตูรับของขวัญได้”
เมื่อจัดแจงท่านั่งให้ดูมีสง่าราศี เขาก็ร้องสั่งเด็กรับใช้แมวเหมียวที่ยืนอยู่หน้าประตูให้เปิดประตูออกกว้าง
…
บนถนนนอกหอสุรา
“โอสถเหล่านี้ใช้จำนวนเท่าไหร่และใช้อย่างไรบ้าง ข้าเขียนระบุเอาไว้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินยื่นส่งขวดบรรจุยาอะม็อกซีซิลลิน ยาเซฟทาโรลีน ยาเหลียนฮัวชิงเหวินชนิดแคปซูล และยาโอเซลทามิเวียร์ให้แก่เฉียนหลงทีละขวด
“โปรดจำไว้ว่าทุกอย่างเป็นความลับสุดยอด หากโอสถเหล่านี้ใช้ได้ผล รีบแจ้งให้ข้ารู้โดยทันที”
หลินเป่ยเฉินกระซิบเสียงแผ่วเบา
นี่คือธุรกิจหลักของเขาในอนาคต
จะให้ความลับรั่วไหลไม่ได้เด็ดขาด
“นายท่านไม่ต้องเป็นกังวล เมื่อผลการทดสอบออกมาแล้ว ข้าจะจัดการคนไข้เหล่านั้นเอง..”
เฉียนหลงพูดพร้อมกับทำท่าปาดคอ
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง รีบกล่าวเสียงเข้มว่า “เจ้าจะทำอะไร? ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้น? พวกเราไม่ใช่คนชั่วช้าสักหน่อย พวกเราจะไม่ทำเรื่องเลวร้ายอย่างนั้น พวกเราจะปกป้องคนไข้ ซึ่งในภายภาคหน้าจะช่วยป่าวประกาศความยอดเยี่ยมของโอสถเรา… เมื่อการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่จบลง ก็ได้เวลาที่พวกเราจะกอบโกยเงินก้อนโตกันแล้ว…”
เฉียนหลงรีบพยักหน้าด้วยความกระตือรือร้น “รับทราบขอรับนายท่าน ข้าน้อยจะทำตามที่นายท่านสั่งทุกประการ”
กล่าวจบ บุรุษหนุ่มก็หมุนตัวเดินจากไปพร้อมกับขวดยา
บนถนนมีผู้คนเดินขวักไขว่
หลินเป่ยเฉินยืดแขนบิดขี้เกียจ
“อ้า ดึกแล้วสินะ พวกเรากลับบ้านไปพักผ่อนกันดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินกุมมือที่ขาวเนียนนุ่มนิ่มของชิงเล่ยและใช้นิ้วชี้สะกิดฝ่ามือของนางแผ่วเบา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบัดนี้ใบหน้าที่ขาวผ่องของชิงเล่ยได้แดงระเรื่อขึ้นมาจรดใบหูแล้ว
…
“ท่านแม่ดีขึ้นแล้วหรือขอรับ?”
ณ บ้านพักสภาพซอมซ่อในพื้นที่เขต 3 เจ้าอ้วนอดดีใจไม่ได้เมื่อเห็นหญิงชราผู้มีผมสีเทาออกมานั่งรออยู่ที่หน้าประตู
หญิงชราเป็นผู้ป่วยโรคบุปผามรณะและกำลังจะตาย
วันที่เจ้าอ้วนออกเดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่รอบที่สอง ส่วนหญิงชรายังคงนอนอยู่บนเตียง ไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกาย เนื่องจากอาการของโรคบุปผามรณะกำเริบหนักมากเกินไป
“กลับมาแล้วหรือลูกแม่ ผลการแข่งขันเป็นอย่างไรบ้าง?”
หญิงชราผมสีเทาถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ซึ่งเป็นความเยือกเย็นที่หาได้ยากยิ่งในหญิงชราทั่วไป
“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวล ลูกบอกแล้วไม่ใช่หรือ? ลูกได้รู้จักกับพี่ใหญ่ท่านหนึ่ง เขาคอยช่วยเหลือลูกอยู่เสมอ…”
ไม่รู้เพราะเหตุใด ยามที่อยู่ต่อหน้ามารดา เจ้าอ้วนก็สามารถพูดได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ได้มีอาการติดอ่างอีกแล้ว
“อาการของท่านแม่ใช่ดีขึ้นแล้วหรือไม่?”
เจ้าอ้วนวางไหสุราและกล่องบรรจุอาหารหลายชนิดลงพร้อมกับกล่าวว่า “รีบรับประทานอาหารเถอะขอรับ ลูกซื้อมาฝากท่านแม่โดยเฉพาะ”
“บอกเรื่องการแข่งขันมาก่อน”
หญิงชราผมสีเทาทำหน้าดุ
“ลูกได้คะแนนเป็นอันดับที่สอในสนามแข่งขันขอรับ เป็นรองแต่เพียงพี่ใหญ่เท่านั้น”
เจ้าอ้วนตอบด้วยความตื่นเต้น
“เล่าให้แม่ฟังหน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แม้แต่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ห้ามมองข้ามเด็ดขาด”
หญิงชรามีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง หาได้สนใจต่อสุราและอาหารที่วางลงข้างกายไม่
“ได้ขอรับท่านแม่…”
เจ้าอ้วนบอกเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในทะเลทรายทองคำ
เมื่อรับฟังจบแล้ว หญิงชราผมสีเทาก็เงียบงันไปเนิ่นนาน
“ท่านแม่รีบรับประทานเถอะขอรับ อาหารเย็นชืดหมดแล้ว…” เจ้าอ้วนอดรบเร้าไม่ได้
ในที่สุด หญิงชราผมสีเทาก็ยิ้มออกมาอย่างใจดี นางมองบุตรชายด้วยแววตาเวทนาและสงสาร “ประเสริฐ มารดาจะรับประทานแล้ว เจ้าก็มารับประทานกับมารดาด้วยเถอะ”
“ท่านแม่รับประทานให้เต็มที่”
เจ้าอ้วนยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “ลูกรับประทานมาแล้วขอรับ”
มารดาบุตรชายพูดคุยและหัวเราะกันอย่างมีความสุข
บรรยากาศในบ้านหลังน้อยเต็มไปด้วยความสดใสมีชีวิตชีวา
หญิงชราผมเทาเจริญอาหารเป็นอย่างยิ่ง นางมีร่างกายอ้วนท้วมพอ ๆ กับเจ้าอ้วน จึงสามารถรับประทานอาหารอย่างน่าเอร็ดอร่อยยิ่งนัก
เพียงชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย สุราและอาหารที่เพียงพอต่อคนสิบคนรับประทานก็ลงไปอยู่ในท้องของหญิงชราหมดสิ้น
ทันใดนั้นเอง…
ก๊อกก๊อกก๊อก
เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้น