ตอนที่ 1,288 การจัดการ
หลินเป่ยเฉินเลือกที่จะอัปเดตระบบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
การอัปเดตระบบครั้งนี้ต้องใช้อัตราการโอนถ่ายข้อมูลถึง 100 GB
ดังนั้น ชิงเล่ยจึงประหลาดใจไม่ใช่น้อยเพราะระหว่างที่ฝึกวิชากันอยู่นั้น หลินเป่ยเฉินส่งเสียงครางออกมาด้วยความตื่นเต้นมากกว่าปกติ
เขาส่งเสียงดังมากกว่านางด้วยซ้ำ
หนึ่งชั่วยามให้หลัง
ชิงเล่ยนอนหายใจแผ่วเบา ใบหน้าแดงระเรื่อ หลับใหลไปนานแล้ว
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นสวมใส่เสื้อคลุมและเดินออกมาจากห้องพักด้วยเท้าเปล่า
เขามานั่งลงบนเบาะรองนั่งและเริ่มต้นโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกาย
หลังจากทานยาบำรุงไปสองขวด ประกอบกับได้รับพลังเสริมจากการ ‘ฝึกวิชา’ เมื่อสักครู่นี้ หลินเป่ยเฉินพลันรู้สึกว่ามวลพลังในร่างกายของตนเองเริ่มปะทุเดือดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
เมื่อเทียบกับการอัปเดตระบบครั้งที่แล้ว หลินเป่ยเฉินรู้โดยทันทีว่าระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ของตนเองนั้นได้เลื่อนขึ้นสู่อีกขอบเขตหนึ่งแล้ว
กล่าวคือ นับตั้งแต่ที่มาอยู่บนดินแดนทวยเทพ เด็กหนุ่มยังไม่มีโอกาสได้วัดระดับพลังของตนเองอย่างจริงจัง
ยามอยู่บนแผ่นดินตงเต้า จักรวรรดิเป่ยไห่ ตัวเขาเองก็ถูกจัดเป็นยอดฝีมือขั้นเซียน ซึ่งมีความแข็งแกร่งเหนือล้ำมากกว่ามนุษย์ทั่วไป
แต่ยังคงมีขั้นพลังที่แข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือขั้นเซียน
นั่นคือขั้นยอดเซียน
เหนือกว่าขั้นยอดเซียนก็คือขั้นเทวยุทธ์
ดังนั้น เมื่อได้ขึ้นมาอยู่บนดินแดนทวยเทพ และไม่สามารถใช้งานพลังปราณธาตุทั้งห้าชนิดของตนเองได้ ลำดับชั้นความแข็งแกร่งของหลินเป่ยเฉินจึงสมควรต่ำต้อยเป็นอย่างยิ่ง
แต่เนื่องจากเขาสามารถปลดผนึกพลังจากตำแหน่งเซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุน ด้วยความช่วยเหลือของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง ในที่สุด เด็กหนุ่มก็มีพลังเทียบเท่าเทพเจ้าระดับสามัญ และเขาก็สามารถกลับมาฝึกฝนวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณได้อีกครั้ง…
เมื่อประกอบกับการฝึกวิชาทางกายภาพกับชิงเล่ย หลินเป่ยเฉินจึงสามารถบรรลุขอบเขตอัคคีเทวะซึ่งเป็นหนึ่งในขั้นพลังของวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณได้โดยบังเอิญ
แต่ปัญหาใหญ่ที่เขาสงสัยมากที่สุดก็คือ…
บัดนี้ ตนเองอยู่ในขั้นพลังนักรบเทวะหรือขั้นยอดนักรบเทวะกันแน่?
และหลินเป่ยเฉินก็ยังไม่รู้อีกว่าตนเองอยู่ในลำดับชั้นนักรบเทวะขั้นไหน?
หรือว่าขอบเขตพลังของเขาจะเหนือล้ำมากกว่านั้น?
เหนือกว่าขั้นพลังนักรบเทวะและยอดนักรบเทวะ ก็ยังคงมีขอบเขตพลังเทพเทวะ ซึ่งแบ่งแยกย่อยเป็นอีกสามระดับคือเทพเทวะขั้นสามัญ เทพเทวะขั้นกลางและเทพเทวะขั้นสูง
แต่บอกตามตรง หลินเป่ยเฉินยังคงไม่เข้าใจเรื่องลำดับขั้นพลังเหล่านี้สักเท่าไหร่
เนื่องจากว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงไม่ค่อยให้ข้อมูลอย่างที่ควรจะเป็น เขาจึงยังไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับขอบเขตพลังในดินแดนทวยเทพอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้หลินเป่ยเฉินได้เข้าใจเรื่องหนึ่งว่า…
ตำแหน่งเซียนกระบี่ของเขานั้นไม่ธรรมดาเลย
เพราะแม้แต่ใต้เท้ากั้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าเทพเจ้าชั้นนำของเผ่าเทพพงไพร ก็ยังไม่ทราบข้อมูลเรื่องที่เขามีตำแหน่งเป็นเซียนกระบี่จากเมืองไป๋หยุน ใต้เท้ากั้วทราบเพียงแต่ว่าเขาเป็นสาวกของเทพีกระบี่เท่านั้น
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ดูแล้ว หลินเป่ยเฉินก็พบว่ามีความเป็นไปได้อยู่หลายอย่าง
เขาจึงเลือกที่จะเชื่อว่าสิ่งที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ…
ตำแหน่งเซียนกระบี่ของตนเองนั้นอยู่ในระดับสูงส่งมากเกินไปจนแม้แต่ใต้เท้ากั้วก็ตรวจจับไม่ได้
หากตำแหน่งเซียนกระบี่ของเขายิ่งใหญ่กว่าพวกผู้นำระดับสูงของเทพเจ้าเผ่าต่าง ๆ ถ้าอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องใหญ่เลยน่ะสิ?
หลากหลายความคิดผุดขึ้นมาในสมอง
พลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายไหลเวียนอย่างร้อนระอุ
หลินเป่ยเฉินพยายามกดพลังของตนเองไม่ให้ระเบิดออกมา
“คงต้องเข้าไปที่หุบผาอเวจีสักหน่อยแล้วสิ”
ในดินแดนทวยเทพแห่งนี้ มีแต่เพียงหุบผาอเวจีเท่านั้นที่รอดพ้นการสอดส่องของบรรดาเทพเจ้า
ในหุบผาอเวจี หลินเป่ยเฉินสามารถระเบิดพลังอัคคีเทวะได้เต็มที่และยังสามารถใช้พลังจากวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณได้โดยไม่ต้องหวาดระแวงสิ่งใด
แต่ยังไม่ทันก้าวเท้าออกจากที่พัก เด็กหนุ่มก็ได้รับข้อความจากลู่ปิงเหวิน
ของขวัญทั้งหมดกำลังจะถูกนำมาส่งแล้ว
นอกจากนี้ ซือเกินตั๋งกับกวนรั่วเฟยก็ยังได้ส่งข้อความตามหลังลู่ปิงเหวินมาอีกว่า ตนเองมีเรื่องสำคัญอยากจะแจ้งต่อหลินเป่ยเฉินด้วยเช่นกัน
‘เจอกันที่สถานีขนส่งประจำหุบผาอเวจีแดน 6’
หลินเป่ยเฉินส่งข้อความผ่านกำไลผลึกแก้วกิเลนรุ่นที่สาม
เขาทิ้งจดหมายไว้ให้ชิงเล่ยก่อนจะออกมาจากคฤหาสน์บนภูเขาเซียวฝูในที่สุด
…
สถานีขนส่งหุบผาอเวจีแดน 6
เมื่อเทียบกับสถานีขนส่งแดน 4 ที่นี่มีขนาดเล็กมากกว่ากันหลายเท่า
หากสถานีขนส่งแดน 4 เปรียบเสมือนเมืองเล็ก ๆ
สถานีขนส่งแดน 6 ก็เปรียบได้ดั่งคฤหาสน์หลังหนึ่งเท่านั้นเอง
ที่นี่อยู่ภายใต้การดูแลของสภาเทพเจ้า
นักรบเทวะจากสภาเทพเจ้าแต่งกายด้วยชุดเกราะสีดำทมิฬเดินตรวจตรารอบบริเวณอย่างเข้มงวด
บนทางเดินมีผู้คนบางตา
ผู้ที่จะมาปรากฏกายขึ้นที่นี่ได้ ล้วนแต่ต้องเป็นนักล่าอสูรชื่อดัง หรือไม่ก็ผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น
หนึ่งในผู้คนที่กำลังเดินอยู่บนถนนมีพลังกดดันแผ่ออกมาจากร่างกายหนาแน่นมากจนน่าตกใจ
ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี ไม่ว่าจะแต่งกายอย่างไร พวกเขาล้วนมีสีหน้าบึ้งตึง แสดงออกชัดเจนว่าเป็นผู้ที่ไม่สมควรไปมีเรื่องด้วยเด็ดขาด
ในสถานีขนส่งแดน 6 มีโรงเตี๊ยมอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินนัดพบกับพวกของลู่ปิงเหวินที่นั่น
ทันทีที่เห็นหน้าลู่ปิงเหวิน หลินเป่ยเฉินก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ในดวงตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับ ไม่ต่างจากเห็นกองเงินกองทองที่มีชีวิต
เมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้ว โต๊ะอาหารก็เริ่มขึ้นด้วยบทสนทนาเรื่อยเปื่อย
หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะด้วยความรำคาญใจ “เสี่ยวเหวิน เจ้าบอกว่าตนเองรับของขวัญทั้งหมดแทนข้าแล้วไม่ใช่หรือ? ข้าอยากขอเปลี่ยนเป็นรับคะแนนศรัทธาแทน เจ้าช่วยจัดการให้หน่อยได้หรือไม่?”
ลู่ปิงเหวินฉีกยิ้มด้วยความดีใจ “คุณชายไม่ต้องเป็นกังวล ข้าน้อยได้จัดการทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว… ของขวัญทุกชิ้นที่ข้าน้อยนำมาให้คุณชาย ได้ถูกแลกเปลี่ยนกลายเป็นคะแนนศรัทธาสามร้อยสามสิบล้านแต้มแล้วขอรับ”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
ตัวเลขมหาศาลเกินกว่าที่คิดเอาไว้ซะอีก
มีลูกสมุนเป็นคนรวยมันดีอย่างนี้นี่เองสินะ
“ประเสริฐ”
หลินเป่ยเฉินยกนิ้วชื่นชมด้วยความจริงใจ “สมแล้วที่เจ้าเป็นน้องชายร่วมสาบานของข้า”
ลู่ปิงเหวินยิ้มหน้าบาน
กวนรั่วเฟยผู้นั่งอยู่ด้านข้างส่งเสียงถามขึ้นด้วยความสงสัย “ท่านสามารถรับของขวัญโดยไม่ต้องให้คำสัญญากับพวกเขาได้ด้วยหรือ?”
“มันจะไปยากอะไรเล่า”
ลู่ปิงเหวินตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าเป็นเพียงคนรับของขวัญแทนเท่านั้น คุณชายเจี๋ยนเป็นคนแก้ไขปัญหาทั้งหมด เดี๋ยวคุณชายท่านก็จัดการเองแหละน่า”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต อ้าปากค้าง
นี่มันอะไรกันครับเนี่ย?
ลู่ปิงเหวินคือหวังจงในแบบฉบับหนุ่มหล่อบ้านรวยหรืออย่างไร?
ลู่ปิงเหวินไม่ใช่น้องชายร่วมสาบานของเขาอีกต่อไป
กวนรั่วเฟยกับซือเกินตั๋งเพิ่งจะพบหน้าลู่ปิงเหวินได้ไม่นาน เมื่อสังเกตเห็นว่าลู่ปิงเหวินมีความสนิทสนมกับเจี๋ยนเซียวเหยาบุรุษผู้สร้างปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่าถึงเพียงนี้ ทั้งสองหนุ่มก็อดรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาไม่ได้…
การได้พบกับยอดฝีมือเช่นนี้ แทบจะเป็นโอกาสที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิต
หากปล่อยให้หลุดมือไปครั้งหนึ่ง ก็จะหลุดมือไปตลอดกาล
สำหรับคุณชายผู้สูงศักดิ์ผู้มาจากตระกูลใหญ่ การสร้างพันธมิตรนอกตระกูล คือภารกิจสำคัญที่สุดของพวกเขา
โดยเฉพาะในช่วงการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่ การผูกมิตรกับกลุ่มผู้เข้าแข่งขันด้วยกัน ย่อมมีแต่ได้ประโยชน์ไร้อันตราย
นี่คือเคล็ดลับที่บรรดาอดีตผู้เข้าแข่งขันการค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่รุ่นก่อน ๆ ได้เคยแนะนำเอาไว้
“คุณชายเจี๋ยนขอรับ ข้าน้อยฟังมาว่าเผ่าเทพตะวันสงสัยว่าท่านจะอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่คนของพวกเขาที่ถนนร้างสายแปดเมื่อคืนนี้ พวกเขาต้องเสียนักรบเทวะระดับสูงไปถึงเจ็ดคนบนถนนร้างสายแปดแห่งนั้น…”
ซือเกินตั๋งรีบกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“หืม? จริงหรือ?”
หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งทำสีหน้าประหลาดใจ “ในที่สุด พวกมันก็สงสัยข้าจริง ๆ สินะ?”
ลู่ปิงเหวินกะพริบตาปริบ ๆ
ซือเกินตั๋งเบิกตาโต
กวนรั่วเฟยอ้าปากค้าง
นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?
เหตุไฉนเจี๋ยนเซียวเหยาถึงได้มีสีหน้าดีใจเช่นนี้เมื่อตนเองกลายเป็นผู้ต้องสงสัย?
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็อธิบายออกไปด้วยความคึกคักแจ่มใส “ฝากพวกเจ้าไปบอกคนของเผ่าเทพตะวันด้วยว่าไม่ต้องสงสัยข้าหรอก เพราะว่ามันเป็นฝีมือของข้าจริง ๆ อุ๊วะฮ่า ๆๆ นักรบเทวะทั้งเจ็ดคนนั้น ข้าเป็นคนสังหารเอง”
บุรุษหนุ่มทั้งสามคนมีสีหน้าตกตะลึงอย่างยิ่ง
ยอมรับแล้วหรือ?
ซ้ำยังเป็นการยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน
นายท่าน ดูเหมือนท่านจะมั่นใจในตนเองมากเกินไปแล้ว
หลินเป่ยเฉินอธิบายเหตุผลให้ลูกสมุนทั้งสามคนรับทราบคร่าว ๆ ก่อนกล่าวต่อ “พวกเจ้าจำเอาไว้ให้ดี หากข้าได้เผชิญหน้ากับพานตั่วชิงบนสะพานข้ามหุบเหวโหยหวน ข้าก็จะเผามันให้แหลกสลายเป็นเถ้าถ่านไปเลย คอยดูเถอะ”
บุรุษหนุ่มทั้งสามมีสีหน้าตึงเครียด เหงื่อเม็ดโป้งปรากฏขึ้นบนหน้าผากโดยไม่รู้ตัว
เป็นไปตามคาด ยอดอัจฉริยะท่านนี้มีความแข็งแกร่งมากกว่าที่พวกเขาเคยคิดเอาไว้จริง ๆ
หลินเป่ยเฉินกล่าวออกมาอีกครั้ง “จริงด้วยสิ หากพวกเจ้าช่วยหาตำราความรู้พื้นฐานของดินแดนทวยเทพมาให้ข้าได้ ก็จะถือว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง”
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา… เดี๋ยวข้าน้อยจัดการให้เองขอรับ”
กวนรั่วเฟยอาสารับคำสั่งเป็นคนแรก
ในเมื่อคุณชายยอดอัจฉริยะท่านนี้มีระบบความคิดไม่เหมือนผู้ใด ดังนั้น เขาจึงไม่ถามว่าเจี๋ยนเซียวเหยาจะเอาตำราความรู้ขั้นพื้นฐานเหล่านั้นไปทำอะไร
“อ้อ แล้วก็อีกอย่าง อย่าลืมเตือนข้าให้เก็บหนี้พวกนั้นด้วย”
หลินเป่ยเฉินกล่าวออกมาอีกครั้ง “ตอนที่ประมูลรูปสลักเทวะ คนจำนวนมากเลือกประมูลด้วยการลงชื่อในสัญญากู้ยืม พวกเจ้าก็คงเห็นแล้ว พอดีช่วงนี้ข้ามีเรื่องต้องใช้เงิน อย่าลืมเตือนข้าให้ไปเก็บหนี้พวกเขาด้วย”
“เดี๋ยวข้าน้อยจัดการให้เองขอรับ”
ซือเกินตั๋งรีบอาสารับภารกิจนี้โดยไม่ลังเล
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย ก็พูดขึ้นมาว่า “ยังมีเรื่องสำคัญอีกหนึ่งประการ ข้าอยากจะขอซื้อโอสถหัวใจพฤกษาจากเผ่าเทพไม้เขียว พวกเจ้ามาจากตระกูลใหญ่ น่าจะมีเส้นสายอยู่ไม่ใช่น้อย ภายในสิบวันนี้ พอจะมีใครช่วยข้าซื้อหาโอสถหัวใจพฤกษาได้บ้างหรือไม่”
ลู่ปิงเหวินตอบว่า “เทพไม้เขียวเป็นหนึ่งในเจ็ดเผ่าเทพสงคราม โอสถหัวใจพฤกษาคือสมบัติล้ำค่าของพวกเขา ราคาของมันนั้นแทบประเมินค่าไม่ได้ ข้าน้อยจะลองพยายามติดต่อดูขอรับ แต่ก็ไม่มั่นใจเลยว่าจะซื้อหามาได้สำเร็จหรือไม่นะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหงึกหงัก “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนพวกเจ้าทั้งสามคนแล้ว พวกเจ้าทั้งสามคือน้องชายร่วมสาบานของข้า”
บุรุษหนุ่มทั้งสามคนพูดอะไรไม่ออก…
ช่างเป็นคำพูดที่คุ้นเคยเหลือเกิน
ในที่สุด การสนทนาก็จบลง
บุคคลทั้งสี่แยกย้ายกระจายตัว
หลินเป่ยเฉินเข้าสู่หุบผาอเวจีแดน 6
ทันใดนั้น เสียงของเสี่ยวจี้ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะก็ดังขึ้นในหัวเขาพอดี
โทรศัพท์มือถืออัปเดตระบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว!!