ตอนที่ 1,290 ปวดหลัง
หลินเป่ยเฉินสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเทพเจ้าแห่งแดนรกร้างคนเก่า
ราชาหมาป่าศิลาหัวเราะลั่น “เจ้ากำลังจะตายอยู่รอมร่อ ยังจะอยากรู้เรื่องของผู้อื่นอีกหรือ?”
เมื่อหลินเป่ยเฉินคิดตามที่อีกฝ่ายพูดก็ถึงกับชะงักไปเล็กน้อย
“แล้วถุงมือทองคำข้างนั้นจะช่วยให้ข้าหลอมรวมพลังได้อย่างไร?”
เขาจึงเปลี่ยนเรื่องพูดทันที
“สวมใส่ถุงมือข้างนั้นซะ แล้วก็โคจรพลังด้วยวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณ จากนั้นก็รีดเค้นพลังศักดิ์สิทธิ์จากใต้เท้ากั้วให้เข้าไปอยู่ในถุงมือ”
ราชาหมาป่าศิลากล่าว
“ไม่มีปัญหา”
หลินเป่ยเฉินนำถุงมือทองคำออกมาสวมใส่
แต่ทันใดนั้น…
เดี๋ยวก่อนนะ
ตุบ!
ถุงมือทองคำร่วงหล่นลงไปบนพื้นดิน
สีหน้าของเด็กหนุ่มตกตะลึงสุดขีด
เม็ดเหงื่อเย็นเยียบผุดพราวขึ้นมาบนหน้าผากของหลินเป่ยเฉิน
“ทะ…ท่านรู้ได้อย่างไร…”
เขาจ้องมองกระบองทมิฬราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน
“รู้ได้อย่างไรว่าเจ้าฝึกวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณน่ะหรือ?”
ราชาหมาป่าศิลาหัวเราะเยาะด้วยความตลกขบขัน
หลินเป่ยเฉินพูดเสียงแหบแห้ง “ใช่ ท่านรู้ได้อย่างไร?”
นี่คือความลับสูงสุดของเขา
นอกจากเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง ก็ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้อีกแล้ว
แม้แต่ใต้เท้ากั้วก็มองไม่ออก
แล้วเหตุไฉนราชาหมาป่าศิลาถึงมองออกเล่า?
“พลังอัคคีเทวะของเจ้า คิดว่าข้าจะมองไม่ออกหรือ?”
วิญญาณของราชาหมาป่ายังคงเย้าแหย่เด็กหนุ่มต่อไป
“แล้วท่าน… มองออกได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินอยู่ร่วมกับกลุ่มผู้เข้าแข่งขันมากมายในทะเลทรายทองคำ แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าความลับของตนเองจะถูกค้นพบโดยราชาหมาป่าศิลาผู้นี้
“ไม่ต้องกังวล ไม่มีใครสังเกตเห็นหรอก ข้างนอกนั่นมีคนใช้พลังอัคคีเทวะไม่น้อย… แม้แต่พ่อค้าข้างทางก็ยังใช้พลังเหล่านี้เป็นปกติ” เสียงพูดของราชาหมาป่าศิลาดังออกมาจากกระบองทมิฬ “หากเจ้าได้ออกไปจากที่นี่ เจ้าก็จะเข้าใจเองว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่เพียงใด… แต่เจ้าอย่าเพิ่งถามอะไรอีกเลย รีบหลอมรวมพลังของใต้เท้ากั้วก่อนดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก
“ข้ายังคงมีคำถาม…”
เขาจ้องมองไปที่กระบองทมิฬและถามว่า “หลังจากหลอมรวมพลังแล้ว ใต้เท้ากั้วจะทราบหรือไม่ หากเขาถามถึงเรื่องนี้ ข้าสมควรตอบอย่างไร?”
“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะถามเช่นนี้”
วิญญาณของราชาหมาป่าหัวเราะในลำคอ “แค่ทำตามที่ข้าบอกก็พอแล้ว”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ “ท่านไม่ได้โกหกข้าแน่นะ?”
“สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอย่างเจ้า ข้าจะไปโกหกเพื่ออะไร”
ราชาหมาป่าศิลาสบถออกมาด้วยความหงุดหงิดใจ
หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบอย่างหนักใจอยู่เนิ่นนาน แต่สุดท้ายก็กล่าวว่า “ตกลง ข้าจะลองเชื่อท่านดูสักครั้ง”
ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยังคงติดต่อไม่ได้ สงสัยคงไปเมาแอ๋อยู่ที่ไหนสักที่ นับว่าพึ่งพาไม่ได้เอาเสียเลย
หลินเป่ยเฉินหยิบถุงมือทองคำขึ้นมาสวมใส่
และโคจรพลังห้าธาตุหลอมวิญญาณ
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งที่ปั่นป่วนอยู่ในร่างกายของตนเอง
ใช่แล้ว
นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ของใต้เท้ากั้ว
ตอนที่อยู่ในวิหารก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินรู้สึกเช่นกันว่าขณะที่ใต้เท้ากั้วยิงพลังศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่ร่างกายของเขา มันเป็นมวลพลังที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ และมันก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว
คิดไม่ถึงเลยว่าพลังเหล่านี้จะสามารถเรียกออกมาได้ด้วยวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณ
ยิ่งไปกว่านั้น ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินสามารถควบคุมพลังศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นได้ตามใจนึก
ราชาหมาป่าศิลาย้ำเตือนว่า “อย่าเพิ่งรีบควบคุมในตอนนี้ เจ้าต้องจดจำเส้นทางไหลเวียนของมวลพลังเหล่านั้นให้ได้ก่อน”
หลินเป่ยเฉินหลับตาลงและตั้งสมาธิ
ผ่านไปสิบลมหายใจ เขาก็พยักหน้าตอบว่า “จำได้แล้ว”
“ประเสริฐ”
ราชาหมาป่าศิลากล่าว “ทีนี้เจ้าก็โคจรพลังเหล่านั้นให้ลงมาอยู่ที่ถุงมือทองคำ”
หลินเป่ยเฉินสูดลมหายใจลึกและลองทำตาม
และด้วยการใช้วิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณ มวลพลังศักดิ์สิทธิ์จากใต้เท้ากั้วที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกายของหลินเป่ยเฉินก็ค่อย ๆ เคลื่อนย้ายถ่ายเทไหลลงมาสู่ถุงมือข้างขวาทีละเล็กทีละน้อย
ในที่สุด พลังศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นก็มารวมอยู่ในถุงมือทองคำหมดสิ้น
“หลังจากนี้ จงจินตนาการว่าถุงมือของเจ้าคือหม้อหลอมใบหนึ่ง”
เสียงของราชาหมาป่าศิลาดังกังวาน “มันจะช่วยให้เจ้าหลอมรวมพลังจากใต้เท้ากั้วได้สำเร็จ”
เท่านี้เองหรือ?
หลินเป่ยเฉินทำตามที่วิญญาณราชาหมาป่าศิลากล่าว
ถุงมือทองคำของเขาพลันเปล่งแสงสว่างไสว
นี่ไม่ต่างจากมังกรหลับใหลถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาและพบเห็นศัตรูของตนเอง พลังศักดิ์สิทธิ์สายนี้เป็นสิ่งแปลกปลอมในร่างกายของหลินเป่ยเฉิน มันไหลเวียนอย่างปั่นป่วนอยู่ในถุงมือทองคำ คล้ายกับว่าต้องการจะระเบิดตนเองออกมา
บังเกิดม่านพลังครอบคลุมรอบถุงมือของเขา
ยิ่งถุงมือเปล่งแสงสว่างมากเท่าไหร่ ม่านพลังก็ยิ่งเกิดรอยแตกร้าวมากเท่านั้น
กระบวนการหลอมรวมพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่มีสิ่งใดซับซ้อน
หลินเป่ยเฉินไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีก นอกจากรอคอย
เขาจ้องมองถุงมือของตนเอง
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม
ถุงมือทองคำก็เริ่มหมองแสงลง
“เรียบร้อยแล้ว”
เสียงของราชาหมาป่าศิลาดังขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“เท่านี้เองหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความไม่อยากเชื่อ
“เป็นเพราะว่าเจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเทพเจ้าแห่งแดนรกร้างคนใหม่ไงล่ะ มิเช่นนั้น ถุงมือข้างนี้ก็คงไม่ช่วยเหลือเจ้าขนาดนี้หรอก”
เสียงของราชาหมาป่าศิลากล่าวตอบ “ใต้เก้ากั้วไม่รู้เลยว่าตนเองมอบสิ่งใดมาให้กับเจ้า แล้วเขาจะต้องเสียใจในภายหลังอย่างแน่นอน”
“แล้วข้าจะทำอย่างไรดี?”
หลินเป่ยเฉินรีบถามด้วยความร้อนรน
ราชาหมาป่าศิลาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าจะถามอะไรนักหนา… มาจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า ทีนี้ เจ้าก็ต้องใช้วิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณ โคจรพลังศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นกลับออกมาจากถุงมือ”
หลินเป่ยเฉินทำตามวิธีที่วิญญาณราชาหมาป่าบอกอย่างเชื่อฟัง
กระบวนการดำเนินไปอย่างราบรื่น
แต่ผลลัพธ์กลับเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ
เพราะเมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านการหลอมรวมแล้วไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของหลินเป่ยเฉิน พวกมันก็ไม่ต่างจากเม็ดเกลือที่ถูกโปรยลงไปบนกระทะที่มีน้ำมันเดือด
แย่แล้ว
หลินเป่ยเฉินไม่สามารถกดทับพลังเหล่านี้ได้อีกต่อไป
หลังจากที่เขาฝึกวิชากับชิงเล่ย พลังศักดิ์สิทธิ์ในตัวหลินเป่ยเฉินก็พลุ่งพล่านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
บัดนี้ เมื่อได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์สายใหม่เข้าสู่ร่างกาย มวลพลังทั้งหมดที่อยู่ในตัวหลินเป่ยเฉินจึงไม่สามารถควบคุมได้อีก…
เขาใช้วิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณโดยไม่รู้ตัว
พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลเวียนอยู่ตามเส้นลมปราณทั้งยี่สิบสายในร่างกายหลินเป่ยเฉินนั้น ไม่ต่างจากกระแสน้ำป่าไหลหลากรุนแรงพร้อมทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า และด้วยมวลพลังมหาศาลเช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่พวกมันจะระเบิดจนเส้นลมปราณของเขาเสียหาย
แต่โชคดีที่เมื่อกระแสพลังเหล่านี้ไหลเวียนอยู่ในร่างหลินเป่ยเฉินได้ระยะหนึ่ง ร่างกายของเขาก็เริ่มปรับตัวได้
เกิดเป็นความเจ็บปวดที่มีความสุข
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกปวดหลังขึ้นมาเล็กน้อย
หรือหากจะอธิบายให้ถูกต้องก็คือ เขารู้สึกปวดที่ช่วงเอวมากกว่า
ร่างกายของเขารู้สึกว่างเปล่า
หืม?
เกิดอะไรขึ้น?
ด้วยความแข็งแกร่งของหลินเป่ยเฉินต่อให้ใช้บั้นเอวกับสาวงามนับร้อยคนติดต่อกันก็ไม่ใช่ปัญหา
แล้วเหตุไฉนหลังฝึกวิชากับชิงเล่ยเพียงไม่กี่ชั่วยาม ประกอบกับต้องนั่งหลอมรวมพลังเช่นนี้ เขาถึงได้รู้สึกปวดหลังขึ้นมา?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองมองข้ามอะไรไปบางอย่าง
ใบหน้าของเขาพลันกลายเป็นขาวซีดแล้ว