ตอนที่ 1,293 ตัดสัมพันธ์
“ไม่ เจ้าจะพูดประโยคนี้ไม่ได้”
เด็กหนุ่มผู้สวมใส่หน้ากากจ้องมองพ่อบ้านหนุ่มเขม็ง “เพราะว่ามันควรเป็นคำพูดของข้า”
“เจ้าเป็นใครกันแน่…”
พ่อบ้านหนุ่มคำราม
“พูดผิดอีกแล้ว”
เด็กหนุ่มผู้สวมใส่หน้ากากใช้หลังมือฟาดใบหน้าพ่อบ้านหนุ่มอย่างแรง “เจ้าควรถามว่าตนเองเป็นใครต่างหาก”
เพียะ!
พ่อบ้านหนุ่มหมุนคว้างสามร้อยหกสิบองศา
กลุ่มคนรับใช้ที่ยืนอยู่โดยรอบล้วนตกตะลึง
บรรดาผู้คนที่มาเข้าแถวเพื่อส่งมอบของขวัญต่างก็ถูกเหตุการณ์นี้ดึงดูดความสนใจและอดกระซิบกระซาบกันไม่ได้
เด็กหนุ่มผู้นี้กล้าดีอย่างไรถึงได้มาก่อเรื่องหน้าทางเข้าคฤหาสน์ตระกูลฉิน?
“อย่าให้มันหนีไปได้”
ใครคนหนึ่งร้องตะโกนขึ้นมา “ข้าจะรีบไปแจ้งหัวหน้าองครักษ์หวัง”
ในไม่ช้า กลุ่มนักรบเทวะสิบกว่าคนก็กรูออกมาจากด้านข้างประตู
นำมาโดยหัวหน้าองครักษ์หวังซึ่งเป็นบุรุษหนุ่มอายุสามสิบปีที่มีหน้าตาดุดันน่าเกรงขาม เขากวาดสายตาจ้องมองเด็กหนุ่มผู้สวมใส่หน้ากากและไม่พูดคำใด แต่รังสีอำมหิตแผ่ออกมาอย่างชัดเจน ก่อนที่เขาจะกล่าวเสียงเรียบว่า “จับตัวมันซะ”
ทว่า…
พลั่ก!
นักรบเทวะระดับสูงที่พุ่งเข้าไปหมายจับกุมตัวผู้ก่อกวนงานวิวาห์กลับถูกเด็กหนุ่มผู้สวมใส่หน้ากากสะบัดมือตบจนลอยกระเด็นกลับออกมา
และองครักษ์อีกหลายนายก็ต้องลอยกระเด็นออกไปด้วยความเร็วสูง
“รีบไปตามตัวฉินโซวมาเดี๋ยวนี้”
เด็กหนุ่มผู้สวมใส่หน้ากากกล่าว “เมื่อข้าได้พูดคุยกับเขาแล้ว ข้าก็จะไปทันที”
“อยากพบใต้เท้าของข้าอย่างนั้นหรือ?”
หัวหน้าองครักษ์หวังถามออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ “ทะ…ท่านเป็นใคร?”
เด็กหนุ่มผู้สวมใส่หน้ากากพยักหน้า ตอบว่า “นี่สิค่อยเหมือนบทพูดของตัวประกอบหน่อย… ไปบอกฉินโซวนะว่าเจี๋ยนเซียวเหยาอยากคุยด้วย”
เจี๋ยนเซียวเหยา?
สีหน้าของหัวหน้าองครักษ์หวังแปรเปลี่ยนไปทันที
หลายวันที่ผ่านมานี้ มีใครบ้างในเมืองเยี่ยเฉิงที่ไม่เคยได้ยินชื่อเจี๋ยนเซียวเหยา
ระหว่างการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่ เด็กหนุ่มผู้นี้สร้างปาฏิหาริย์ได้นับครั้งไม่ถ้วน
ตระกูลเทพเจ้าจำนวนมากต่างก็อยากจะได้เขาไปเป็นพวก
แม้แต่หัวหน้าตระกูลฉินคนปัจจุบัน ก็ยังญาติดีต่อเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นพิเศษ
เพราะฉะนั้น เจี๋ยนเซียวเหยาจึงเป็นบุคคลที่หัวหน้าองครักษ์หวังไม่สามารถดูหมิ่นได้เด็ดขาด
“เร็วเข้า ยังไม่รีบไปตามตัวใต้เท้ามาอีก”
หัวหน้าองครักษ์หวังรีบพูดละล่ำละลัก “ช่างมัน เดี๋ยวข้าไปตามมาเอง”
กล่าวจบ เขาก็หมุนตัวกระโดดหายไป
ก่อนหน้านี้ กลุ่มคนที่มายืนต่อแถวเพื่อส่งมอบของขวัญต่างคิดว่าชะตาของเด็กหนุ่มผู้นี้คงถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว แต่เมื่อได้ยินว่าเขามีนามว่าเจี๋ยนเซียวเหยา ความรู้สึกทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
“นี่หรือคือเจี๋ยนเซียวเหยา?”
“ได้ยินมาว่าเขาเป็นคนแปลกประหลาดต้องสวมใส่หน้ากากตลอดเวลา”
“บางทีเขาอาจมีใบหน้าอัปลักษณ์ก็เป็นได้”
“นี่ เจี๋ยนเซียวเหยาไม่ใช่บุคคลที่จะไปลบหลู่ดูหมิ่นได้ง่าย ๆ นะ เจ้าอยากตายหรือไงถึงได้พูดเช่นนั้นออกมา? ระวังเขาจะมาตัดหัวของเจ้าเถอะ”
“หากไม่มีอะไรผิดพลาด เขาจะต้องเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตแน่นอน”
กลุ่มคนกระซิบกระซาบพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น
บรรยากาศไม่ต่างไปจากผู้คนได้พบเห็นเจย์โชว*[1]โดยไม่คาดฝัน
หลายคนอยากจะเข้ามาสนทนาพาทีกับหลินเป่ยเฉิน แต่รังสีคุกคามที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเด็กหนุ่มก็ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เขาสักคน
หลินเป่ยเฉินหันกลับมาจ้องมองสองผู้ชราที่น่าสงสารคู่นั้น
“พวกท่านคงเป็นบิดามารดาของฉู่ฮันหลานกระมัง?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
ชายชราใช้สายตาสำรวจมองหลินเป่ยเฉินขึ้นๆ ลงๆ ก่อนถามด้วยความประหลาดใจ “ไม่ทราบว่าคุณชายผู้สูงส่งรู้จักบุตรสาวของพวกเราด้วยหรือ?”
หลินเป่ยเฉินเคยได้ยินมาจากฉินโซวว่าฉู่ฮันหลานกำเนิดในตระกูลนักล่าอสูร สถานะในดินแดนทวยเทพออกไปทางต่ำต้อย ยิ่งเห็นสีหน้าของผู้ชราทั้งสองท่านที่อยู่เบื้องหน้าในขณะนี้ หลินเป่ยเฉินก็อดทอดถอนใจออกมาด้วยความเศร้าไม่ได้
สิ่งที่สตรีหวาดกลัวมากที่สุดในชีวิตก็คือเลือกแต่งงานกับคนผิด นอกจากมันจะเป็นสิ่งที่ทำลายชีวิตของตนเองแล้ว มันยังเป็นสิ่งที่ทำลายชีวิตของบิดามารดาและพ่อแม่พี่น้องให้ต้องทุกข์ทรมานอีกด้วย
“ท่านผู้เฒ่าทั้งสองอย่าได้เกรงใจไปเลย ข้าน้อยเป็นสหายกับท่านพี่ฉู่”
หลินเป่ยเฉินกล่าว “รบกวนพวกท่านบอกเล่าเรื่องราวในวันนี้มาให้หมด ข้าน้อยจะทวงคืนความยุติธรรมให้เอง”
แม้เขาจะไม่ได้สนิทสนมกับฉู่ฮันหลาน แต่หญิงสาวหน้าตางดงามและจิตใจดีผู้นั้นก็ทำให้หลินเป่ยเฉินประทับใจไม่น้อย เพียงระยะเวลาไม่นาน นางก็กลายเป็นเพื่อนสนิทของชิงเล่ย อีกทั้งบุตรสาวของนางอย่างฉินเฉียนเซวียนก็ยังเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวกับอันอันอีกด้วย…
วันนี้ เขาจะต้องเรียกฉินโซวออกมาพูดคุยให้รู้เรื่องให้ได้
ผู้ชราทั้งสองท่านยกมือปาดน้ำตา ก่อนเริ่มต้นบอกเล่าเรื่องราวด้วยความเจ็บปวดใจ
ปรากฏว่าสิ่งที่จอมเสเพลอันดับหนึ่งอย่างฉินโซวเคยพูดก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
เขาแทบรอที่จะได้แต่งงานใหม่ไม่ไหวแล้ว
ฉู่ฮันหลานเพิ่งจะเสียชีวิตไปไม่ถึงเจ็ดวันด้วยซ้ำ หลุมศพยังไม่ทันแห้ง ฉินโซวก็ขับไล่บิดามารดาของนางออกจากคฤหาสน์ตระกูลฉิน อีกทั้งยังยึดทรัพย์สินทั้งหมดของฉู่ฮันหลานไปอีกด้วย
นางมีน้องชายอยู่หนึ่งคนนามว่าฉู่ฉาง เขาแสดงความไม่พอใจต่อการกระทำของฉินโซว จึงเป็นผลให้ต้องถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัส
วันนี้ บิดามารดาของฉู่ฮันหลานต้องการจะนำศพบุตรสาวของพวกเขากลับไปกลบฝังให้ถูกต้อง แต่เมื่อเดินทางมาถึงคฤหาสน์ตระกูลฉิน พวกท่านกลับพบว่าที่นี่กำลังจัดงานวิวาห์อย่างรื่นเริง
และแทนที่จะได้รับศพบุตรสาวกลับไป ผู้ชราทั้งสองกลับถูกทำร้าย…
“น่าเสียดายที่หลานเอ๋อร์ให้กำเนิดบุตรสาวกับสัตว์นรกผู้นี้ แต่ปรากฏว่า…”
ชายชราหลั่งน้ำตา
จังหวะนั้น…
“ฮ่า ๆๆ ได้ข่าวว่าคุณชายมาที่นี่หรือขอรับ?”
เสียงหัวเราะอย่างผู้ชนะดังมาจากประตูรั้วคฤหาสน์ ฉินโซวผู้สวมใส่ชุดเสื้อคลุมเจ้าบ่าวสีแดงสดเดินนวยนาดออกมาอย่างอารมณ์ดี “ด้วยข้าน้อยเกรงว่าอาจจะเป็นการรบกวนคุณชายที่ต้องเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน ข้าน้อยจึงไม่ได้แจ้งข่าวดีให้แก่คุณชายรับทราบ ฮ่า ๆๆ แต่ในเมื่อคุณชายเจี๋ยนเซียวเหยาผู้โด่งดังให้เกียรติมางานแต่งของข้าทั้งที ก็ถือเป็นบุญวาสนาของข้าน้อยแล้ว ประเสริฐ เชิญเข้าสู่ด้านในดีกว่าขอรับ”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองชายอ้วนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
หลังจากที่เข้ามาอยู่ในดินแดนทวยเทพ คนผู้นี้คือบุคคลแรกที่หลินเป่ยเฉินเรียกหาเป็นพี่น้องร่วมสาบาน
แม้จะพอคาดเดาได้ว่าชายอ้วนผู้นี้คงไม่ใช่คนดีมาตั้งแต่แรก แต่เด็กหนุ่มก็คิดไม่ถึงเลยว่าฉินโซวจะชั่วร้ายถึงเพียงนี้
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าตนเองไม่ใช่คนดี เขายินดีทำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน และยินดีทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด รวมถึงยินดีทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตนเองปลอดภัย
แต่เมื่อนำมาเทียบกับฉินโซว หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกว่าตนเองยังคงเป็นคนดีอยู่ไม่น้อย
“ข้าไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงของเจ้า”
หลินเป่ยเฉินพูดเสียงเรียบ “และเจ้าไม่ใช่ลูกสมุนของข้าอีกต่อไป”
“ทำไมล่ะขอรับ? ไหนว่าพวกเราเป็นคนประเภทเดียวกันไม่ใช่หรือ?”
สีหน้าของฉินโซวเริ่มเย็นชาขึ้นมาแล้ว
หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อมอบบางอย่างให้กับเจ้า”
พูดจบ เขาก็ยื่นส่งกระดุมสีน้ำเงินของฉินเฉียนเซวียนออกไป “เฉียนเซวียนยังคงมีชีวิตอยู่ นางขอให้ข้ามอบกระดุมเม็ดนี้ให้กับเจ้า… แต่ดูเหมือนเจ้าจะไม่มีคุณสมบัติดีพอที่จะรับมันไว้แล้ว…”
ร่างกายอ้วน ๆ ของฉินโซวสั่นเทาเล็กน้อย
ทันใดนั้น บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน “หุหุ นางยังไม่ตายอีกหรือ? ดวงแข็งเสียจริง”
หลินเป่ยเฉินหมุนตัวกลับมายื่นส่งเม็ดกระดุมสีน้ำเงินนั้นให้กับชายชรา “กระดุมเม็ดนี้เป็นของหลานสาวของท่าน ท่านผู้เฒ่าได้โปรดรับเอาไว้เถอะ”
“ฮื่อ เซวียนเซวียนยังมีชีวิตอยู่หรือ? นาง… บัดนี้นางอยู่ที่ใด?”
ผู้ชราทั้งสองท่านรับเม็ดกระดุมนั้นไป ก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “เฉียนเซวียนพำนักอยู่ในวิหารหลักของเผ่าเทพพงไพรขอรับ นาง… ได้รับเลือกให้เป็นลูกศิษย์ของเทพเจ้าระดับสูงผู้หนึ่ง หลังจากนี้คงต้องฝึกวิชาอีกนาน หากข้าน้อยมีเวลา ข้าน้อยจะพาพวกท่านไปหานางนะขอรับ”
“ขอบคุณคุณชายมากแล้ว…”
“คุณชายเจี๋ยน ท่านคือผู้มีพระคุณของเรา”
ผู้ชราทั้งสองท่านก้มศีรษะคำนับเด็กหนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่าและถ้าหลินเป่ยเฉินไม่ห้ามเอาไว้ พวกท่านก็คงคุกเข่ากราบกรานเขาแล้ว
หลินเป่ยเฉินหันกลับมาจ้องมองไปที่ฉินโซวและกล่าวว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรา ถือเป็นอันจบสิ้นลงนับตั้งแต่นี้ไป พวกเราไม่มีสิ่งใดข้องเกี่ยวกันอีก ชิงเล่ยจะไม่ได้ทำงานที่หอการค้าของเจ้า และข้าก็จะไม่ขายซากราชาหมาป่าศิลาให้กับเจ้า และการค้าขายระหว่างข้ากับหอการค้าคนแคระเทว ก็เป็นอันสิ้นสุดลงนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป…”
ใบหน้าของฉินโซวแปรเปลี่ยนไปทันที “นายท่านใจเย็นก่อน ข้าน้อย…”
“บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเจ้าไม่ใช่ลูกสมุนของข้า”
หลินเป่ยเฉินพูดเสียงเรียบ “หากเจ้าเรียกข้าว่านายท่านอีกครั้ง ข้าจะเลาะฟันเจ้าออกมา หากเจ้ายังเรียกข้าว่านายท่านอีกหลังจากนั้น ข้าจะหักขาของเจ้า… และหากเจ้ากล้าเรียกชื่อของข้า ข้าก็จะทำลายตระกูลของเจ้าเสีย เจ้าก็รู้ ถึงข้าจะเป็นบุคคลเสเพล แต่ข้าก็รักษาคำพูดเสมอ หากข้าบอกว่าจะทำลายตระกูลของเจ้า ข้าก็จะต้องทำลายตระกูลของเจ้าอย่างแน่นอน”
[1] เจย์โชว คือดารานักร้องนักแสดงชื่อดังของจีน