ตอนที่ 1,297 มาดะ มาดะ ดาเนะ
“นายท่านรู้จักแม่นางน้อยผู้นี้ด้วยหรือขอรับ?”
เฉียนหลงถามออกมาด้วยเสียงประหลาดใจ
“นี่คือโชคชะตาลิขิตโดยแท้”
หลินเป่ยเฉินตอบ “อันที่จริง ข้ากับนางเคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก่อน”
“สมแล้วที่เป็นนายท่าน”
เฉียนหลงเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
ผู้แข็งแกร่งย่อมได้ใกล้ชิดกับสตรีผู้เลอโฉมเสมอ
หลินเป่ยเฉินไม่ตอบคำใด
เพราะเขาแทบพูดอะไรไม่ออกเลยด้วยซ้ำ
เนื่องจากว่าเด็กสาวที่อยู่บนสะพานหินในขณะนี้ก็คือไป๋เสี่ยวเซียวจากเผ่าจันทราขาวนั่นเอง
เมื่อหลินเป่ยเฉินเข้าร่วมการตรวจสอบจักรวรรดิเป่ยไห่ เขาก็ได้เคยเข้าไปช่วยกอบกู้ความรุ่งเรืองและเกียรติยศของเผ่าจันทราขาวกลับคืนมาโดยบังเอิญ
อีกทั้งเด็กสาวอกภูเขาไฟผู้นี้ยังเป็นน้องสาวของไป๋ชินอวิ๋นอีกด้วย
กล่าวคือ นับตั้งแต่ที่แยกจากกันครั้งนั้น หลินเป่ยเฉินก็ไม่เคยได้พบเจอไป๋ชินอวิ๋นอีกเลย แล้วเหตุการณ์ครั้งนี้จะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันหรือไม่?
ตอนที่พวกเขาพบเจอกันครั้งสุดท้าย ไป๋ชินอวิ๋นตัดสินใจจะเดินทางไปล้างแค้นเว่ยหมิงเฉินด้วยตัวคนเดียว
ดังนั้น เขาจึงไม่ทราบเลยว่าป่านนี้นางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง
เพราะฉะนั้น หลินเป่ยเฉินจึงคิดไม่ถึงว่าไป๋เสี่ยวเซียวผู้เป็นน้องสาวของไป๋ชินอวิ๋นจะมาปรากฏตัวในการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่เช่นนี้
เผ่าจันทราขาวอาศัยอยู่ในดินแดนเล็กจ้อย เทียบไม่ได้เลยกับความยิ่งใหญ่ของดินแดนทวยเทพ ถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกเขาแทบไม่ต่างไปจากแผ่นดินตงเต้า แม้แต่ในกลุ่มชาวเผ่าด้วยกัน ไป๋เสี่ยวเซียวก็ยังไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แล้วนางมาเข้าร่วมการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่ในดินแดนทวยเทพได้อย่างไร?
มิหนำซ้ำ ยังผ่านเข้ามาได้ถึงรอบที่สามอีกด้วย
นี่คือการต่อสู้ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน
หากพ่ายแพ้ก็คือต้องตาย
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
“นายท่านไม่ต้องห่วงหรอกขอรับ”
เมื่อเฉียนหลงเห็นสีหน้าของผู้เป็นลูกพี่ใหญ่จึงรีบอธิบายทันที “แม่นางน้อยผู้นี้มีนามว่าไป๋อู๋ตี่ นางเป็นผู้ที่ได้ตำแหน่งอันดับสามจากสนามแข่งถ้ำแมงมุมในรอบแรกขอรับ เมื่อมีไม้เท้ากระดูกขาวนั้นอยู่ในมือ นางก็แทบไม่ต้องกลัวใครทั้งสิ้น และความแข็งแกร่งของแม่นางท่านนี้ แทบจะอยู่ในขั้นยอดนักรบเทวะแล้ว…”
ไป๋เสี่ยวเซียวแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียว?
แทบจะอยู่ในขั้นยอดนักรบเทวะแล้ว?
เป็นไปได้อย่างไร?
นี่เขาจำคนผิดใช่หรือไม่?
“ไป๋อู๋ตี่ผู้นี้มาจากที่ใด?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
เฉียนหลงหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนตอบ “ว่ากันว่านางมาจากเกาะโดดเดี่ยวที่ห่างไกลจากดินแดนทวยเทพ แต่ด้วยการเจรจาต่อรองพิเศษกับเผ่าเทพพงไพร นางจึงได้รับสิทธิพิเศษให้เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้… ดูเหมือนดินแดนที่นางจากมาจะเป็นสมาชิกตลาดการค้าด้วยขอรับ”
หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบ
นางคืออดีตคนรักของเขาจริง ๆ
นี่สินะที่เรียกว่าพรหมลิขิต
ทันใดนั้น การต่อสู้บนหน้าจอม่านพลังก็เปิดฉากขึ้น
“กระบวนท่าสังหาร… ฝูงมีดสั้นทลายดารา”
บุรุษผู้สวมใส่เสื้อคลุมสีดำโบกสะบัดมือวูบ
แล้วมีดสั้นจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งเป็นลำแสงตรงเข้าหาเด็กสาว
พลังการโจมตีหนักหน่วง
หลินเป่ยเฉินสามารถมองออกได้โดยทันทีว่าบุรุษผู้สวมใส่เสื้อคลุมสีดำปิดบังหน้าตาที่แท้จริงผู้นี้ ต้องเป็นนักรบเทวะระดับสูงแน่นอน
ไป๋เสี่ยวเซียวจะสามารถเอาตัวรอดได้หรือไม่?
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็ต้องเบิกตาโต
เพราะสิ่งที่เขาเห็นก็คือไป๋เสี่ยวเซียวกระทืบเท้าแผดเสียงคำราม สองมือของนางควงไม้เท้ากระดูกขาวอย่างคล่องแคล่ว
พรึ่บ!
แล้วชุดประจำเผ่าจันทราขาวของนางก็ขาดกระจาย
เปิดเผยให้เห็นถึงกระโปรงหนังสัตว์ รองเท้าหนังสัตว์และเสื้อกั๊กหนังสัตว์ที่สวมใส่อยู่ด้านใน
พลังปราณอันหนักหน่วงรุนแรงระเบิดออกมาจากร่างกาย
หลินเป่ยเฉินยกมือกุมหน้าผาก
ใช่แล้ว
นี่คือไป๋เสี่ยวเซียวไม่ผิดแน่
เขาจำกระโปรงหนังสัตว์กับเสื้อกั๊กของนางได้ดี
เพราะเขาเคยถอดมาเองกับมือ
ไป๋เสี่ยวเซียวยังคงสืบทอดบุคลิกคนเถื่อนจากเผ่าจันทราขาวมาไม่เปลี่ยนแปลง
เสื้อคลุมที่สวมใส่อยู่ตอนแรกนั้นเป็นเพียงสิ่งที่ปกปิดความน่ากลัวที่แท้จริงของนาง
ไป๋เสี่ยวเซียวในวัยสิบห้าปียังคงมีผิวสีน้ำตาลเข้มเรียบเนียนปราศจากตำหนิ ใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับ จมูกโด่ง ริมฝีปากสีชมพู เรือนร่างอวบอัดเย้ายวนใจ ยามเคลื่อนไหวร่างกายไม่ต่างไปจากเสือดาวสาวที่พยายามขย้ำเหยื่อของมัน
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
ฝูงมีดบินถูกไม้เท้ากระดูกขาวปัดป้องกระเด็นออกไป
สะเก็ดไฟสาดกระจาย
รัศมีสีขาวที่ระเบิดออกจากร่างกายเริ่มหม่นหมองลง
แต่ไป๋เสี่ยวเซียวไม่ลังเลแม้แต่น้อย นางควงไม้เท้าวิ่งตะบึงไปข้างหน้า
ไม่ต่างจากทหารกล้าฝ่าดงกระสุน
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
ในที่สุด มีดบินจำนวนมากก็สามารถทะลุม่านพลังที่ป้องกันร่างกายของไป๋เสี่ยวเซียวรอดพ้นการปัดป้องจากไม้เท้ากระดูกขาวและทิ่มแทงใส่ร่างกายของนาง
โลหิตสาดกระจายเป็นม่านหมอกเลือด
แต่ไป๋เสี่ยวเซียวยังคงไม่ยอมแพ้
ด้านหลังของนางปรากฏพายุหมุนลูกหนึ่ง
พายุหมุนลูกนั้นทุกคนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
คล้ายกับว่าไป๋เสี่ยวเซียวมีพลังพิเศษสามารถควบคุมสายลม
พายุหมุนลูกนั้นดูดกลืนทุกอย่างขึ้นมาจากพื้นสะพานหิน…
เปรี้ยง!
หลังจากพุ่งเข้าไปประชิดตัวคู่ต่อสู้ได้สำเร็จ ไป๋เสี่ยวเซียวก็ฟาดไม้เท้าใส่ศีรษะของบุรุษหนุ่มเสื้อคลุมดำ ส่งผลให้ศีรษะของเขาแตกร้าว หัวคนยุบหายลงไปในช่องอก
การต่อสู้ยุติลง
“มาดะ มาดะ ดาเนะ”
แม่นางเสือดาวสาวลดไม้เท้ากระดูกขาวลง เชิดหน้าขึ้นสี่สิบห้าองศา และพูดคำนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“พรวด”
หลินเป่ยเฉินผู้รับชมการถ่ายทอดสดถึงกับสำลักน้ำชาออกมาทันที
นี่ยืนยันแล้วว่าเด็กสาวผู้นี้คือไป๋เสี่ยวเซียวจริง ๆ
เพราะมันเป็นประโยคที่เขาเคยสอนนางระหว่างที่อยู่ด้วยกันในเผ่าจันทราขาว
คิดไม่ถึงเลยว่าไป๋เสี่ยวเซียวจะนำมาใช้ในการแข่งขันครั้งนี้
ไม่น่าไปสอนนางเอาไว้เลยจริง ๆ
หลินเป่ยเฉินนึกเศร้าเสียใจขึ้นมา
ชิงเล่ยกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความสงสัย “นางกล่าวว่าอะไรหรือเจ้าคะ?”
“มันเป็นภาษาญี่ปุ่นน่ะ”
หลินเป่ยเฉินตอบ “แปลว่าเจ้ายังอ่อนหัดนัก”
“ภาษาญี่ปุ่นคือ…”
“อ้อ เป็นภาษาของชาวเกาะเล็ก ๆ น่ะ อย่าไปสนใจเลย”
“เจ้าค่ะ”
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นี้ เด็กสาวผิวสีน้ำตาลเข้มก็ก้าวเดินออกไปจากสะพานเรียบร้อยแล้ว
ส่วนบุรุษหนุ่มผู้เป็นคู่ต่อสู้ของนางนอนตายอยู่บนสะพานหิน เลือดเนื้อและกระดูกละลายหายไปในพริบตา แม้แต่อาวุธ เสื้อผ้าหรือเส้นผมสักเส้นก็ไม่มีเหลือให้ดูต่างหน้า
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
คำถามใหม่ปรากฏขึ้นในจิตใจทันที
เขาจะไปพบไป๋เสี่ยวเซียวดีหรือไม่?
เหตุไฉนนางถึงได้แข็งแกร่งเพียงนี้?
หรือว่าจะปล่อยผ่านเลยไปดีนะ?
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็รับชมการต่อสู้อีกหลายสิบคู่
ศพคนตายถูกสะพานหินโบราณกลืนกินเลือดเนื้อและกระดูกไปนับไม่ถ้วน
กล่าวได้ว่าสะพานหินโบราณแห่งนี้คือดินแดนแห่งความตายที่แท้จริง
ผลการต่อสู้ที่ออกมานั้น บรรดาตัวแทนจากเทพเจ้าระดับสูงล้วนผ่านเข้ารอบได้อย่างไม่มีปัญหา
จนกระทั่งถึงการต่อสู้คู่ที่สามสิบห้า
ในที่สุด ก็ถึงคราวของหลินเป่ยเฉิน
สายรัดข้อมือประจำตัวผู้เข้าแข่งขันยิงม่านพลังเปิดประตูมิติออกมา
“ข้าน้อยจะรอคอยคุณชายกลับมาอย่างปลอดภัย”
ชิงเล่ยลุกขึ้นยืนส่งยิ้มหวานให้แก่หลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่หน้าประตูมิติ หันกลับมาส่งยิ้มตอบหญิงสาว “ช่วยจุดบุหรี่ไว้ให้ข้าด้วยก็แล้วกัน”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็กระโดดเข้าไปในประตูมิติ
…
บนสะพานหินโบราณ
บรรยากาศเย็นเฉียบจนหนาวไปทั่วกาย
พื้นผิวของสะพานหินเกาะด้วยเกล็ดน้ำแข็งและวัชพืชจำนวนมาก ทันทีที่เท้าของหลินเป่ยเฉินเหยียบลงไป เขาก็แทบจะลื่นล้มโดยไม่ทันตั้งตัว
มีแต่ได้มาสัมผัสด้วยตนเองเท่านั้น หลินเป่ยเฉินจึงรู้ว่าหุบเหวโหยหวนมีความน่ากลัวขนาดไหน
ตลอดเวลาเขาจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาจากก้นเหวใต้สะพาน ไม่ต่างไปจากเสียงร้องครวญครางของวิญญาณร้ายที่พยายามจะปลดผนึกค่ายอาคมขึ้นมาเพื่อกลืนกินสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่อยู่บนสะพานหิน
สายลมหนาวโชยพัด
บรรดาเถาวัลย์ไม้เลื้อยที่เกาะเกี่ยวอยู่บนสะพานสั่นไหวไปตามแรงลม
สายลมกรรโชกแรงขึ้นเรื่อย ๆ
สะพานหินมีขนาดใหญ่
พื้นสะพานเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย
นี่หมายความว่าผู้ใดก็ตามที่เป็นคู่ต่อสู้ของหลินเป่ยเฉินจะต้องมีร่างกายใหญ่โตมากแน่ ๆ
และก็เป็นเช่นนั้น
ปรากฏว่าเป็นชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ขนาดตัวเท่ากับตึกสามชั้นผู้หนึ่ง
ลมหายใจของชายฉกรรจ์ผู้นี้เต็มไปด้วยกลิ่นของกำมะถัน และสังเกตได้ว่าเวลาหายใจเข้าออกก็จะมีเปลวไฟแลบออกมาจากรูจมูกเล็กน้อย
“ข้าคือผู้แข็งแกร่งที่สุด”
ยักษ์ใหญ่เหยียบเท้าก้าวเดินมาบนสะพานหินด้วยความมุ่งมั่น
เมื่อเดินผ่านมา พื้นที่ทางด้านหลังก็จะปรากฏรอยเท้าที่ลุกเป็นไฟทิ้งเอาไว้
ยักษ์ใหญ่จ้องมองหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “ข้ารู้จักเจ้า เจี๋ยนเซียวเหยา หลายคนเรียกเจ้าว่าบุตรแห่งปาฏิหาริย์ แต่วันนี้ ข้าจะทำลายปาฏิหาริย์ของเจ้าเอง”
ปากของเจ้ายักษ์กว้างใหญ่ไม่ต่างไปจากปากของกระบอกปืนใหญ่
หลินเป่ยเฉินเพียงยิ้มมุมปากและยกมือขึ้นกระดิกนิ้วเรียก