ตอนที่ 1,300 ดินแดนทวยเทพมีแต่ตัวประหลาด
การต่อสู้ระหว่างผู้ใช้พลังเวทมนตร์คือสิ่งที่เปิดหูเปิดตาหลินเป่ยเฉินได้อย่างแท้จริง
หลินเป่ยเฉินอดถามตนเองในใจไม่ได้ว่า หากต้องเผชิญหน้ากับนักเวท เขาจะทำอย่างไร?
คำตอบสุดท้ายก็คือ ต้องชิงลงมือก่อนที่อีกฝ่ายจะมีโอกาสได้บริกรรมคาถา
สมมติว่าหากรอบต่อไปเขาต้องเผชิญหน้ากับฮันลั่วเซวี่ย วิธีแก้ปัญหาก็คือเขาต้องหาทางนำอะไรก็ได้ไปยัดปากนางไว้ให้เร็วที่สุด
หลังจากนั้น การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายคู่
แต่หลินเป่ยเฉินไม่ได้สนใจดูอีกแล้ว
เพราะไม่ใช่บรรดาผู้เข้าแข่งขันที่มีชื่อเสียง
ความตื่นเต้นในการประลองจึงลดน้อยลง
หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองรอบตัวด้วยความเบื่อหน่าย
“น่าเบื่อเกินไปแล้ว”
เด็กหนุ่มกอดชิงเล่ย เลื่อนมือลงไปที่เข็มขัดของนางด้วยความซุกซน เขากระตุกนิ้วเพียงเล็กน้อย เข็มขัดพลันหลุดออกไป ก่อนที่หลินเป่ยเฉินจะกล่าวด้วยเสียงจริงจังว่า “เราจะปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์เช่นนี้อีกไม่ได้… เอาล่ะ ท่านกับข้ามาฝึกวิชากันดีกว่า”
ชิงเล่ยกระซิบตะกุกตะกักว่า “เข้าห้องดีไหมเจ้าคะ?”
“ไม่เป็นไร ที่นี่ไม่มีใครเห็นหรอกน่า”
หลินเป่ยเฉินกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ปล่อยวางความเขินอายของท่าน พวกเราฝึกวิชากัน นี่คือการถ่ายเทพลังจากสวรรค์… อีกอย่าง กระบวนท่าบางชนิดไม่สามารถใช้งานได้ในห้องนอน”
กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สองชั่วยามต่อมา การฝึกวิชาก็จบลง
หลินเป่ยเฉินกับชิงเล่ยนอนแช่น้ำอุ่นอยู่ในคฤหาสน์ เด็กหนุ่มฉายภาพการถ่ายทอดสดออกจากสายรัดข้อมือประจำตัวผู้เข้าแข่งขันและรับชมการต่อสู้ต่อไป
“นี่มันอะไรกันเนี่ย?”
เขาอุทานออกมา
เพราะร่างของผู้เข้าแข่งขันที่ยืนหยัดอยู่บนสะพานหินโบราณเรียกความสนใจจากหลินเป่ยเฉินได้โดยทันที
คนผู้นี้มีท่อนแขนใหญ่โตผิดสัดส่วน
ร่างกายสวมใส่ชุดเกราะสีเหลืองเข้ม บนใบหน้าปกปิดด้วยหน้ากากศิลาที่มีรอยแตกร้าว
ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอุดมด้วยมัดกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง
แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับมัดกล้ามเนื้อที่สองแขน
ท่อนแขนของผู้เข้าแข่งขันคนนี้มีความหนามากกว่าช่วงเอว กำปั้นนั้นมีขนาดใหญ่กว่าหัวมนุษย์ ยามยืนอยู่นิ่งเฉยสองแขนจะห้อยลงข้างตัว ทำให้หลินเป่ยเฉินนึกถึงพวกลิงกอริลล่าขึ้นมาทันที
และผู้ที่จะต้องต่อสู้กับมนุษย์แขนใหญ่ผู้นี้ก็คือนักรบเทวะผู้หนึ่ง
คู่ต่อสู้ของมนุษย์กล้ามใหญ่ระเบิดพลังปราณธาตุไฟ กระบี่ในมือโจมตีออกมาด้วยความดุดันรุนแรง
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
มนุษย์แขนใหญ่ยกแขนของตนเองขึ้นรับคมกระบี่ของฝ่ายตรงข้าม
สะเก็ดไฟสาดกระจาย
สะพานหินโบราณสั่นสะเทือน
แต่มนุษย์กอริลล่ายังคงยืนหยัดอยู่ที่เดิม
หลังจากต่อสู้กันได้สิบแปดกระบวนท่า มนุษย์กอริลล่าก็ระเบิดพลังโจมตีออกมาจากแขนของตนเอง
มวลอากาศรอบกายรวมตัวกันกลายเป็นพายุหมุนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
มนุษย์กอริลล่ายกแขนซ้ายขึ้นรับกระบี่ ส่วนแขนขวาต่อยหมัดออกไป
เป็นหมัดที่หนักหน่วงน่าสะพรึงกลัว
เพียงหมัดนี้กระแทกเข้ากับหน้าอกของคู่ต่อสู้เท่านั้น คู่ต่อสู้ของมนุษย์กอริลล่าก็ตัวแตกระเบิดกระจายในอากาศ
คลื่นพลังจากหมัดของเขายังคงทะลุทะลวงต่อไปทั่วสะพานหิน ส่งผลให้บรรดาเกล็ดน้ำแข็งที่เกาะตัวอยู่บนสะพานกระจายตัวฟุ้งตลบ
การต่อสู้ยุติลง
ตุบ!
คู่ต่อสู้ของมนุษย์กอริลล่าเหลือเพียงแต่ร่างกายท่อนล่างที่ล้มลงไปบนพื้นสะพานหินเท่านั้น
โลหิตสีแดงไหลทะลัก
มนุษย์กอริลล่าเดินตรงไปที่ร่างกายท่อนล่างของคู่ต่อสู้ ก่อนจะใช้มือขนาดใหญ่ยักษ์ของตนเองหยิบร่างกายท่อนล่างนั้นขึ้นมาปั้นเป็นก้อนกลม และใช้พลังแขนอันแข็งแกร่งบดขยี้ให้ร่างกายท่อนล่างนั้นแหลกเหลว โลหิตไหลทะลักลงมาตามสองแขนของเขา ก่อนซึมหายเข้าไปในชุดเกราะที่สวมใส่
แขนอันใหญ่โตนั้นยิ่งเพิ่มมัดกล้ามเนื้อมากขึ้น
ความแตกต่างระหว่างลำตัวกับท่อนแขนยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น
ประตูมิติสีแดงเข้มเปิดออก
มนุษย์กอริลล่าหมุนตัวกลับและเดินหายเข้าไปในประตูมิติอย่างเชื่องช้า
หลินเป่ยเฉินจ้องมองแผ่นหลังของมนุษย์กอริลล่าหายวับไปจากสะพานหินโบราณพลางใช้ความคิด
ดินแดนทวยเทพเป็นสถานที่ซึ่งซุกซ่อนยอดฝีมือเอาไว้มากมายจริง ๆ
มนุษย์กอริลล่าผู้นี้ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย
รูปแบบการต่อสู้น่ากลัวมากเกินไป
และไม่ทราบว่าเป็นเด็กหนุ่มคิดไปเองหรือไม่ แต่หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าเหมือนตนเองจะเคยพบเจอกับมนุษย์กอริลล่าผู้นี้ที่ไหนมาก่อน
การต่อสู้คู่อื่น ๆ ยังคงดำเนินต่อไป
บัดนี้ ผู้ที่ปรากฏตัวบนสะพานหินโบราณมีร่างกายบอบบาง สูงเกินครึ่งลำตัวของหลินเป่ยเฉินมาหน่อยเดียวเท่านั้น เสื้อคลุมนักฆ่าที่สวมใส่อำพรางร่างกายจึงบอกไม่ได้ว่าเป็นบุรุษหรือสตรี จุดสังเกตเดียวที่มีให้เห็นคือหางปุกปุยที่ยื่นออกมาจากใต้เสื้อคลุม ซึ่งกำลังสะบัดกวัดแกว่งอย่างนุ่มนวล
สายพันธุ์อมนุษย์ในดินแดนทวยเทพมีอยู่เพียงหยิบมือเดียวและสถานะของพวกมันก็ไม่สูงส่ง
แม้ว่าอมนุษย์เหล่านี้จะมีสถานะเป็นพลเมือง แต่ส่วนใหญ่พวกมันก็ต้องทำงานเป็นเด็กรับใช้ตามโรงเตี๊ยม กรรมกรหาบเร่ เป็นผู้ใช้แรงงานคอยขนย้ายแบกสิ่งของ และมักจะถูกผู้อื่นดูถูกเหยียดหยามเสมอ
แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของกลุ่มอมนุษย์ ก็ไม่ใช่ผู้ที่น่ากลัวอันใด
ในสายตาของเทพเจ้าทั่วไป สายพันธุ์อมนุษย์มีความต่ำช้าป่าเถื่อน ไม่ต่างไปจากสายพันธุ์มนุษย์ที่โลกเบื้องล่าง
แน่นอนว่าอมนุษย์ที่มีหน้าตาน่ารักน่าชังคือข้อยกเว้นเป็นพิเศษ
คู่ต่อสู้ของนักฆ่าเสื้อคลุมดำผู้นี้เป็นนักรบเทวะผู้ใช้หอกสั้นเป็นอาวุธคู่กาย เสื้อคลุมสีเงินปักลวดลายก้อนเมฆที่เขาสวมใส่อยู่นั้นบอกชัดว่านักรบผู้นี้มาจากเผ่าเทพนภา และเขาก็ไม่ใช่นักรบธรรมดา แต่เป็นนักรบชื่อดังทีเดียว
ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินคิดถึงเฉียนหลงขึ้นมาทันที
เขาไม่ได้คิดถึงถ้อยคำประจบประแจงเหล่านั้น
แต่หากเฉียนหลงอยู่ที่นี่ อย่างน้อยหลินเป่ยเฉินก็จะได้รับทราบข้อมูลของคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายแล้ว
ระหว่างที่ความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้ การต่อสู้บนสะพานหินโบราณก็เริ่มขึ้น
การต่อสู้เริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและจบลงอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินไม่ทันสังเกตเลยว่าเกิดอะไรขึ้น คู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายยังไม่ทันได้เข้าใกล้กันเลยด้วยซ้ำ นักรบชื่อดังจากเผ่าเทพนภาก็ล้มลงไปบนพื้นหินอย่างช้า ๆ หอกในมือยังไม่ทันได้มีโอกาสซัดออกมาแม้แต่กระบวนท่าเดียว
ประตูมิติสีแดงเข้มปรากฏขึ้นเบื้องหน้านักฆ่าชุดดำ
นักฆ่ากระโดดเข้าไปในประตูมิติโดยไม่ลังเล
“นี่คือนักฆ่าแมวเหมียว”
ชิงเล่ยพลันโพล่งออกมา “สมแล้วที่เป็นสุดยอดนักฆ่าในตำนานตามคำเล่าลือ”
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าหญิงสาวในอ้อมแขนด้วยความประหลาดใจ
ชิงเล่ยอธิบายว่า “ตอนที่ข้าน้อยทำงานอยู่ในหอการค้า ข้าน้อยมักได้ยินลูกค้าพูดคุยกันถึงเรื่องของนักฆ่าปริศนาที่รับงานอยู่ในดินแดนทวยเทพ ไม่มีผู้ใดรู้ว่านักฆ่าผู้นี้ลงมืออย่างไร แต่เหยื่อทุกคนไม่มีผู้ใดรอดชีวิต…”
นักฆ่าแมวเหมียว?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อน
ทันใดนั้น เขาก็นึกออกว่านักฆ่าผู้นี้คือหนึ่งในสิบผู้เข้าแข่งขันที่คว้าตำแหน่งอันดับหนึ่งประจำสนามแข่งหนองน้ำแห้งแห่งความตายในรอบแรกนั่นเอง
แต่เด็กหนุ่มคิดไม่ถึงเลยว่านักฆ่าแมวเหมียวจะน่ากลัวถึงเพียงนี้
ในเมื่อไม่รู้ว่านักฆ่าลงมือได้อย่างไร แล้วผู้คนจะสามารถรับมือได้อย่างไร?
ทำไมในดินแดนทวยเทพถึงมีแต่พวกตัวประหลาดเต็มไปหมดเลยนะ?
หลังจากนั้น การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ได้พบเห็นคนคุ้นเคย…
หนึ่งกระบี่สู่ความตาย ซวีเหิง
ในการต่อสู้ครั้งนี้ ซวีเหิงไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามได้มีความหวังสักนิด
เมื่อกระบี่ของเขาสาดประกาย หัวของฝ่ายตรงข้ามก็ขาดกระเด็น
การต่อสู้จบลง
เรียบง่ายและหมดจด
‘ถึงจะดูเหมือนไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ แต่ฝีมือกระบี่ของหมอนี่น่ากลัวจริง ๆ แฮะ’
หลินเป่ยเฉินแอบคิดอยู่ในใจ
การต่อสู้อีกหลายสิบคู่หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็ได้เห็นกระบวนท่าการโจมตีของนักรบเทวะและนักเวทชื่อดังประจำเมืองเยี่ยเฉิง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เขาตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
โดยเฉพาะการโจมตีของเจียงรั่วไป๋ซึ่งเคยมีบัญชีแค้นอยู่กับเขา นางเยือกเย็นราวกับดอกกุหลาบกลางฤดูใบไม้ผลิ แม้คู่ต่อสู้จะเป็นนักรบเทวะประสบการณ์สูง แต่นักรบผู้นั้นกลับต้านทานกระบวนท่าแรกจากนางไม่ได้ด้วยซ้ำ และภายใต้การโจมตีจากวิทยายุทธ์ประจำตระกูลเจียง คู่ต่อสู้ของนางก็ร่างแหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านหายไปกับสายลม
“ปรากฏว่านางเป็นทั้งนักรบและเป็นทั้งผู้ใช้เวทเลยหรือนี่?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด
ในไม่ช้า การแข่งขันก็จบลง
จำนวนผู้เข้าร่วมการแข่งขันในรอบนี้มีน้อยมากกว่าที่หลินเป่ยเฉินคิดเอาไว้
มีผู้คนจำนวนไม่น้อยถอนตัวออกจากการแข่งขันเช่นเดียวกับเฉียนหลง
เพราะก่อนที่จะเหยียบเท้าลงบนสะพานหินโบราณ จะไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าคู่ต่อสู้ของตนเองคือผู้ใด
หากต้องมาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่รับมือไม่ได้ ก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ หากไม่รีบถอนตัวออกไปตั้งแต่แรก พวกเขาก็มีโอกาสตายถึงครึ่งหนึ่งแล้ว
หากไม่ใช่ผู้ที่มีความมั่นใจในตนเองสูงส่งหรือเป็นผู้ที่หมดหนทางเลือกในชีวิต ยังจะมีผู้ใดบ้างที่ยอมเสี่ยงอันตรายเช่นนี้อีก?
“เป็นเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ทำไมถึงยังไม่เห็นเจ้าอ้วน อย่าบอกนะว่าหมอนั่นถอนตัวไปแล้ว?”
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินนึกถึงน้องชายร่วมสาบานของตนเองขึ้นมาทันที
และลมหายใจต่อมานั้น…
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากม่านพลังที่ครอบคลุมรอบคฤหาสน์
“ขออภัยขอรับ ไม่ทราบว่าคุณชายเจี๋ยนเซียวเหยาอยู่หรือไม่?”
เสียงที่ไม่คุ้นหูดังขึ้น