บทที่ 381 คนที่มีชีวิตก็ใช้ชีวิตกันต่อ
แสงแดดยามเช้าสะท้อนทะเลต้องห้าม หันเหรัศมีแสงอันมืดมิดออกมา เรือเวทลอยออกไปไกลภายใต้ท้องฟ้าสีน้ำเงิน
สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น ส่งด้วยสายตาอยู่นาน จนกระทั่งมองไม่เห็นเรือเวทแล้ว เขาจึงถอนสายตากลับ
นับตั้งแต่ที่หวงเหยียนที่มาถึงมณฑลรับเสด็จราชันก็รู้สึกไม่อึดอัดเป็นอย่างมาก ที่จากไปก็ไม่ได้เกินความคาดหมาย สวี่ชิงเคารพการการตัดสินใจของหวงเหยียน และอวยพรให้เขากับศิษย์พี่หญิงรองมีความสุข มีอนาคตที่สวยงามในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ
“ขอให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี” สวี่ชิงพึมพำ หันหลังออกจากท่าเรือ ตรงไปยังสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
เขาจะไปคารวะนายท่านหก
เดิมจะไปเมื่อวานนี้อยู่แล้ว แต่ถูกจอมเซียนจื่อเสวียนพาไปแดนลับอสรพิษปีศาจเสียก่อน
เวลานี้เดินขึ้นไปตามบันไดสำนัก รับลม ฟังเสียงใบไม้ของต้นไม้ใหญ่เสียดสีกันท่ามกลางสายลม ใจของสวี่ชิงสงบมาก
สำนักในช่วงเช้าตรู่ ศิษย์ส่วนใหญ่กำลังฝึกบำเพ็ญ ไกลๆ ยังมีเสียงท่องคัมภีร์ดังก้องด้วย สิ่งนี้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของเจ็ดเนตรโลหิตหลังมาถึงพันธมิตร
เริ่มฝึกฝนจิตใจ
สวี่ชิงที่กลับมาครั้งนี้ก็เพิ่งรู้ในงานเลี้ยงเมื่อวานนี้
เรื่องการฝึกฝนจิตใจ เป็นสิ่งที่นายท่านเจ็ดเสนอ และเริ่มแพร่หลายไปทั้งสำนักในช่วงนี้
เรื่องนี้ทำให้ศิษย์มากมายประหลาดใจ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ทุกคนฝึกบำเพ็ญแค่วิชาเวท ไม่ได้ฝึกฝนจิตใจเลย
สวี่ชิงครุ่นคิดเล็กน้อย เพราะถ้าดูจากเวลาแล้ว เหมือนว่านี่จะเป็นพฤติกรรมหลังจากที่ท่านอาจารย์ค้นคว้าร่างทดสอบเทพเจ้า
พร้อมกับความคิดนี้ สวี่ชิงเดินตามขั้นบันไดจนมาถึงหลังภูเขา
ศิษย์ที่เขาพบระหว่างทาง เมื่อเห็นเขาก็หยุดฝีเท้าคารวะอย่างเคารพนอบน้อมห่างๆ
ไม่นานนัก สวี่ชิงก็เห็นหลุมศพหลุมหนึ่งที่ป่าไผ่ด้านหลังภูเขาเจ็ดเนตรโลหิต
ด้านหน้าหลุมศพวางของเซ่นไหว้ไว้ ยังมีกลิ่นหอมธูปจางๆ
ที่นั่นยังมีผู้บำเพ็ญกลางคนอยู่สองคน กำลังจ้องมองอักษรบนป้ายหลุมศพเงียบๆ
สองคนนี้สวี่ชิงเคยเห็น เป็นศิษย์ของนายท่านหก
พวกเขาก็สังเกตเห็นสวี่ชิงที่เดินเข้ามา หันหน้ามองเขาผาดหนึ่ง ประสานหมัดคารวะ สีหน้ามีความโศกเศร้าประดับอยู่
“ศิษย์น้องสวี่ ยินดีด้วยกับการเป็นผู้ครองกระบี่”
สวี่ชิงเดินมาเงียบๆ ประสานหมัดตอบกลับ
“พวกข้าทั้งสองคนได้รับคำสั่งให้ไปด้านนอก ก่อนที่จะไปจึงเข้ามาคารวะท่านอาจารย์ เฮ้อ โลกช่างไม่แน่นอนเอาเสียเลย เพียงพริบตาก็ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว
“ศิษย์น้องสวี่ พวกเราไม่รบกวนการมาเซ่นไหว้ของเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน”
ทั้งสองคนทอดถอนใจ ไม่พูดอะไรมาก
“อวยพรศิษย์พี่ทั้งสอง เดินทางราบรื่น” สวี่ชิงสีหน้าจริงจัง เอ่ยคารวะ
ทั้งสองคนโบกมือ สีหน้ายังคงหม่นหมอง เยื้องย่างไปบนอากาศจากไป
แม้นผู้วายชนม์จะจากเราไปแล้ว คนที่มีชีวิตก็มีชีวิตต่อไป แต่สุดท้ายก็ยังโหมระลอกคลื่นขึ้นมาในใจเวลานี้
สวี่ชิงนั่งอยู่หน้าหลุมศพ หยิบกาสุราขึ้นมาสองใบ ใบหนึ่งเทลงบนพื้นดินหน้าหลุมศพ ส่วนอีกกากรอกลงไปในปากอึกใหญ่ ไม่พูดอะไร เพียงแค่ดื่มเท่านั้น
สายลมในป่าเขา แสงแดดบนท้องฟ้า ผสานกัน พัดพาสาดส่องเข้ามายังโลกมนุษย์ไม่หยุด หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม สวี่ชิงก็ลุกขึ้นยืน
“นายท่านหก ครั้งหน้าที่ข้ากลับมาพบท่าน จะติดเทียนมาสักสองสามเล่มแล้วรินสุราให้ท่านนะขอรับ”
พูดจบ สวี่ชิงก็มองไปทางป้ายหลุมศพ คารวะสุดตัวอีกครั้ง
ขอให้โลกมนุษย์และสรวงสวรรค์อยู่อย่างสงบสุข
สวี่ชิงหันหลัง ออกมาจากหลังภูเขา เขายังไม่ได้ออกจากสำนัก แต่จะไปหาท่านอาจารย์
เขามีคำถามมากมายอยากจะถามท่านอาจารย์ เช่นการเปลี่ยนแปลงของเขาจักรพรรดิภูตในทะเลความรู้สึกของตน เช่นตอนที่ผู้อาวุโสใหญ่ครองกระบี่อธิบายเรื่องสมุนไพรพูดถึงพืชวิญญาณที่ลานพิธีเต๋าอาจจะค้นคว้าทิศทางของเทพเจ้าได้
สวี่ชิงเดินอยู่ในสำนักพร้อมกับความคิดเช่นนี้ ระหว่างนี้ก็ส่งสื่อเสียงขอเข้าพบอาจารย์ นายท่านเจ็ดบอกว่าอยู่ที่หอคอยบนยอดเขา ให้เขาไปที่นั่น
หลังจากรู้ตำแหน่งของอาจารย์ ขณะที่สวี่ชิงสาวเท้าเดินไปที่หอคอยบนยอดเขา จู่ๆ หน้าเขาก็เปลี่ยนสี มองไปทางถนนเล็กๆ ของสำนักด้านหน้าที่เยื้องไปทางซ้าย
ที่นั่นมีเสียงที่คุ้นเคยดังมา
“ได้พบข้าก็ถือว่าเจ้าโชคดีนะ เจ้าตัวเล็ก อาจารย์อาติงเซียวไห่ของเจ้าอารมณ์ไม่ค่อยดี เจ้าไปโต้เถียงกับเขาได้อย่างไร หากข้าไม่ได้ออกด่านแล้วผ่านไปพอดี เมื่อครู่หากเขาฟาดฝ่ามือมาเจ้าคงม่อยกระรอกไปแล้ว
“หลังจากนี้ในสำนัก เจ้าต้องเชื่อฟังข้าเข้าใจหรือไม่”
“ขอรับ ข้าจะเชื่อฟังท่านอาจารย์อาติง” เสียงเหนียมอายและแผ่วเบาดังมาพร้อมกับเสียงของติงเสวี่ย
ไม่นานนัก ติงเสวี่ยที่ผูกหางม้า ท่วงท่าองอาจ สะพายกระบี่โบราณไว้ด้านหลัง ร่างเงาของนางปรากฏขึ้นในดวงตาสวี่ชิง
นางแสดงท่าทางเป็นผู้อาวุโส ข้างกายมีเด็กผู้ชายอายุราวสิบขวบคนหนึ่ง
เด็กชายคนนี้แต่งตัวสะอาดสะอ้าน ใบหน้าเล็กก็เช่นกัน
ตอนนี้เขาพยักหน้าอย่างมีรู้ความ แต่เขาก็พลันสังเกตเห็นสวี่ชิงก่อนติงเสวี่ยเสียอีก พริบตาที่เขาเห็นสวี่ชิง จู่ๆ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป
เผยความตกตะลึงและหวาดกลัวออกมาอย่างชัดเจน ชะงักครู่หนึ่ง เข้าไปหลบข้างหลังติงเสวี่ยตามสัญชาตญาณ
ติงเสวี่ยประหลาดใจ จากนั้นนางก็เห็นสวี่ชิงที่อยู่ไกลๆ ดวงตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที รีบร้อนผละตัวออกมาจากเด็กชาย วิ่งไปหาสวี่ชิงคนเดียว
ความยินดีปรีดาเข้ามาแทนที่ท่วงท่าองอาจทั้งหมดก่อนหน้านี้ทันที
“ท่านพี่สวี่ชิง ข้ากำลังจะไปหาท่านพอดีเลย เมื่อวานตอนท่านกลับมาข้ากำลังปิดด่าน ท่านดูสิ ข้าตอนนี้ใกล้จะไปถึงช่องเวทที่หกสิบ จุดไฟชีวิตดวงที่สองแล้ว!
“แต่ว่าข้าก็ยังไม่ลืมพืชสมุนไพรนะ ข้าจะขยันขึ้นอีกเจ้าค่ะ”
ติงเสวี่ยมองสวี่ชิง ในดวงตามีประกายประหลาด ความยินดีอัดแน่นเต็มดวงใจ
“ท่านพี่สวี่ชิง ท่านขึ้นเขาไปเพราะมีธุระหรือเจ้าคะ”
สวี่ชิงเผยรอยยิ้ม ขณะเดียวกันก็ประหลาดใจที่อีกฝ่ายพัฒนาอย่างรวดเร็ว ต้องรู้ด้วยว่าหนึ่งปีก่อนหน้า ระหว่างทางที่กลับมาจากเขาจักรพรรดิภูต ติงเสวี่ยเพิ่งจะสำเร็จไฟชีวิตดวงแรก
แต่เมื่อคิดถึงที่นายท่านเจ็ดเคยพูดไว้ว่าเด็กสาวต้องเลี้ยงอย่างร่ำรวย สวี่ชิงพอจะเข้าใจสาเหตุแล้ว
“เยี่ยมมาก” สวี่ชิงเอ่ยชมขึ้นมา บอกว่าตนเองจะไปเข้าพบท่านอาจารย์
เมื่อได้ยินสวี่ชิงเอ่ยชมตน ติงเสวี่ยก็ใจเต้นระรัว ใบหน้าเล็กแดงระเรื่อ เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข
สายตาสวี่ชิงไปหยุดอยู่ที่ด้านหลังติงเสวี่ย มองเด็กผู้ชายที่อยู่ไม่สุขไกลๆ คนนั้น
เด็กชายคนนั้นยังยืนอยู่ที่เดิม ไปก็ไม่ได้ อยู่ก็ไม่ได้ เวลานี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความขลาดกลัว หวาดกลัวปะทุขึ้นมาจากก้นบึ้งจิตใจเช่นกัน
เขากลัวสวี่ชิงจริงๆ
แม้สวี่ชิงจะเป็นคนมอบป้ายแนะนำเจ็ดเนตรโลหิตให้ แต่วันนั้นประโยคที่สวี่ชิงพูดก่อนที่จะจากไป ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายมองตนออกทั้งหมด
โดยเฉพาะเขาเคยสัมผัสได้ถึงพลังสะกดจากร่างสวี่ชิง ตอนนี้เมื่อมองอีกครั้ง แรงสะกดนั้นก็แข็งแกร่งขึ้นมากมหาศาล
คนอื่นอาจจะมองไม่ออก แต่เขาไม่ใช่ เขาสัมผัสได้ว่านั่นคือแรงกดดันจากเขาจักรพรรดิภูตอย่างชัดเจน
เด็กชายคนนี้ก็คือเด็กที่นายท่านเจ็ดพาเขากับติงเสวี่ยไปพักในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตีนเขาจักรพรรดิภูตเมื่อครั้งนั้น สิ่งประหลาดที่แปลงร่างเป็นคนที่ต้องตาคนนั้น
“ท่านพี่สวี่ชิงยังจำเขาได้หรือไม่เจ้าคะ เด็กผู้ชายจากในหมู่บ้านเล็กๆ นั่น” เมื่อสังเกตเห็นสายตาสวี่ชิง ติงเสวี่ยก็ยิ้มออกมา
“หวังหลิง เจ้ายังไม่รีบมาคารวะอาจารย์อาสวี่อีก” ติงเสวี่ยถลึงตาใส่เด็กชาย
เด็กชายฝืนความหวาดกลัว เดินหนังศีรษะชามาหา คารวะสวี่ชิง น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
“คารวะอาจารย์อาสวี่”
สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง พอจะเข้าใจสถานการณ์ รู้ว่าเด็กชายคนนี้มาอยู่ที่สำนักได้หลายเดือนแล้ว ช่วงนี้ก็อยู่ที่ด้านล่างภูเขามาโดยตลอด
วันนี้คือวันที่ขึ้นมาแลกเรือเวท ไม่รู้เพราะเหตุอันใดติงเซียวไห่จึงโกรธเข้า ส่วนติงเสวี่ยออกจากด่านมาเห็นพอดี จึงช่วยไว้
“ก่อนหน้านี้ข้าเห็นสายตาของติงเซียวไห่ที่มองเขา แปลกประหลาดมาก ราวกับจะกลืนกินเขาอย่างไรอย่างนั้น ไม่รู้เพราะอะไร ข้าจึงช่วยเขาออกมา”
ติงเสวี่ยใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้ม แต่กลับแอบส่งสื่อเสียงบอกกับสวี่ชิง
แม้นางอยู่ต่อหน้าสวี่ชิงจะประพฤติตัวดีมีคุณธรรม แต่อันที่จริงก็คล่องแคล่วไม่เบา ฉลาดหลักแหลม ยิ่งไม่ขาดแผนการกับการสังเกตแม้แต่น้อย
“ท่านพี่สวี่ชิง ท่านรีบไปเข้าพบท่านอาจารย์เถิด เดี๋ยวค่ำหน่อยข้าจะไปหาท่าน ข้าจะพาเสี่ยวหวังหลิงลงไปส่งด้านล่างภูเขาก่อน” ติงเสวี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
สวี่ชิงพยักหน้า เดินหน้าต่อไป
เด็กชายข้างกายติงเสวี่ยเวลานี้หันหน้ามองร่างของสวี่ชิง ส่วนลึกในดวงตาเกิดความอิจฉา เขาคิดถึงคำพูดที่สวี่ชิงพูดกับเขาวันนั้น ก็อดเอ่ยเสียงแผ่วไม่ได้
“พี่ใหญ่…เอ่อ อาจารย์อาสวี่ วันนั้นสิ่งที่ท่านพูดกับข้า…”
“เพียรพยายามเสียให้ดี เจ้าก็จะทำให้เป็นจริงได้” สวี่ชิงหันหลังมองมาทางเด็กชาย พยักหน้าให้
เด็กชายสูดลมหายใจลึก พยักหน้าตอบกลับด้วยเช่นกัน และเดินตามติงเสวี่ยไปพร้อมกับรอยยิ้มของนาง
เขาอยากจะกลายเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่แท้จริง นี่เป็นสาเหตุที่เขามาที่เจ็ดเนตรโลหิต
หลังผ่านไปหนึ่งชั่วก้านธูป ในหอคอยยอดเขาสำนักเจ็ดเนตรโลหิต สวี่ชิงที่เดินมาจากด้านนอก ก็เห็นอาจารย์ใบหน้าเต็มไปด้วยเคร่งขรึม และผู้ติดตามกลางคนที่อยู่ข้างๆ เขากำลังเล่นหมากล้อมกันอยู่
เพียงแต่เมื่อเทียบกับความเคร่งขรึมของนายท่านเจ็ด ผู้ติดตามที่สวี่ชิงคุ้นเคยคนนี้ผ่อนคลายมากกว่า
เมื่อเห็นสวี่ชิง ผู้ติดตามกลางคนกำลังจะลุกขึ้นคารวะ สวี่ชิงก็ก้มหัวประสานหมัดคารวะก่อน
ผู้ติดตามกลางคนแย้มยิ้ม ลุกขึ้นคารวะตอบ
นายท่านเจ็ดข้างๆ เวลานี้สะบัดแขนเสื้อ ล้มกระดานจนเละเทะ เอ่ยเสียงเรียบว่า
“เจ้าลงหมากได้น่าเกลียดจริงๆ ข้าอ่อนข้อให้ตั้งหลายตา เจ้าก็ยังแพ้อยู่”
“เจ้าสี่ เจ้ามาเล่นหมากล้อมกับอาจารย์สักตาซิ”
ผู้ติดตามกลางคนยิ้มขื่น ลุกขึ้นไปยืนข้างๆ
สวี่ชิงเดินเข้าไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง จัดเรียงกระดานที่เละเทะใหม่อย่างดี เริ่มลงหมาก
เพียงแต่ฝีมือหมากเขาธรรมดามาก เมื่อลงหมากไปเรื่อยๆ หน้าของนายท่านเจ็ดก็เผยรอยยิ้มออกมา
“เจ้าสี่ ใจของเจ้าไม่สงบ ตัวหมากแฝงอารมณความรู้สึกเอาไว้ ดูจากการเดินหมากของเจ้า อาจารย์มองออกว่าเจ้ามีเรื่องในใจ”
“ปิดบังท่านอาจารย์ไม่ได้เลยจริงๆ”
สวี่ชิงมองตานายท่านเจ็ด เอ่ยอย่างตั้งใจ เมินเรื่องตนเองส่งสื่อเสียงมาเมื่อครู่ ที่บอกว่ามีเรื่องจะเข้ามาถามไถ่ทันที
ผู้ติดตามกลางคนที่อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นว่าอาจารย์ศิษย์ทั้งสองจะคุยกัน จึงปลีกตัวออกมา โบกมือปิดผนึกรอบด้าน ส่วนตนเองก็นั่งสมาธิอยู่ด้านนอก
“พูดมาเถอะ” นายท่านเจ็ดหยิบตัวหมากขึ้นอย่างพึงพอใจ คลึงอยู่ในมือ
“ท่านอาจารย์ เขาจักรพรรดิภูติในตัวข้าเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยขอรับ” สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก สีหน้าเคร่งขรึม
“เปลี่ยนแปลงอย่างไร” นายท่านเจ็ดน้ำเสียงผ่อนคลาย กำลังจะวางหมากลง
“มันกลายเป็นข้าไปแล้วขอรับ”
เสียงแกรกดังขึ้น หมากร่วงลงมาจากมือนายท่านเจ็ดตกบนกระดานหมาก เขาเงยหน้าขึ้น มองสวี่ชิงอย่างมึนงง
“เจ้าว่าอะไรนะ”