บทที่ 769 การต่อสู้ของเทพเซียน

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 769 การต่อสู้ของเทพเซียน

Ink Stone_Fantasy

รูม่านตาแนวตั้งสีฟ้าครามของไป๋ตี้จ้องมองสวี่ชีอันอยู่นานก่อนจะส่ายศีรษะช้าๆ “ปรมาจารย์เต๋าสิ้นชีพไปนานแล้ว ต่อให้เขายังมีชีวิตอยู่ เจ้าก็ไม่สามารถเป็นเขาได้”

แน่นอนว่าต้องเป็นหัวข้อเกี่ยวกับปรมาจารย์เต๋าเท่านั้นที่สามารถดึงความสนใจของทายาทเทพและปีศาจได้ ทั้งยังถ่วงเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย…สวี่ชีอันไม่อายที่ถูกเปิดโปง เขายังกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มั่นใจเกินไปแล้ว ไป๋ตี้! แผนการของเหนือมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะจินตนาการได้ ตอนที่ข้าพาพวกเจ้าออกจากแผ่นดินจิ่วโจว หน่วยที่เกี่ยวข้องก็ถูกฝังไปแล้ว”

ไป๋ตี้เงียบลงครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจกล่าวว่า “แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ยังรู้ หากไม่มั่นใจว่าเจ้าไม่ใช่เขา ข้าก็คงถูกเจ้าหลอกได้จริงๆ”

จู่ๆ ท่ามกลางกลุ่มเมฆสีดำครึ้มที่โหมซัดสาดก็มีสายฟ้าฟาดลงมาและเอียงเอนไปทางลั่วอวี้เหิง

ชะตาโอสถสุวรรณเริ่มขึ้นแล้ว

แก่นปราณอันเจิดจ้าพุ่งออกมาจากศีรษะของลั่วอวี้เหิงและส่องแสงไปทั่วทุกทิศทาง แก่นปราณอมตะนี้เริ่มเผชิญกับสายฟ้า แบกรับการทดสอบและล้างบาป

แสงพุทธะเจิดจรัสขึ้นบนท้องฟ้าทางทิศตะวันตก ร่างของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เกาะตัวกันอยู่บนท้องฟ้าและมองดูไป๋ตี้จากระยะไกล

“ลงมือเลย อย่าให้เขาถ่วงเวลา”

สายฟ้ากะพริบวูบวาบอยู่ระหว่างเขาของไป๋ตี้

สวี่ชีอันตะโกนว่า “สิ่งที่ข้ารู้มันมากเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการออก ข้ายังรู้ว่าเหนือมนุษย์วางแผนมุ่งร้ายผู้พิทักษ์ประตู แต่เจ้าต้องไม่รู้แน่นอนว่าปรมาจารย์เต๋าลงมือไปถึงขั้นใดแล้ว”

สายไฟที่เกาะตัวอยู่ที่เขาไป๋ตี้คลายลงอย่างรวดเร็ว

มันรู้ว่าสวี่ชีอันกำลังถ่วงเวลาเพื่อเปิดโอกาสให้ลั่วอวี้เหิงผ่านพ้นชะตาโอสถสุวรรณ

ชะตากรรมลัทธิเต๋าแบ่งออกเป็นสองขั้นตอน หนึ่งคือชะตาโอสถสุวรรณ อีกหนึ่งคือชะตาสี่สภาพ

ทั้งสองขั้นตอนไม่ใช่สิ่งที่ต่อเนื่องกัน หลังจากผ่านพ้นชะตาโอสถสุวรรณแล้วก็จะมีช่วงเวลาพักสั้นๆ ให้กับผู้บำเพ็ญธรรมในการทำให้ร่างฝืนชะตากรรมมีเสถียรภาพ

แต่ข้อมูลเกี่ยวกับปรมาจารย์เต๋านั้นค่อนข้างน่าดึงดูดใจสำหรับไป๋ตี้ มีเรื่องราวที่คลุมเครือมากมายซึ่งไม่มีคำอธิบายมาจนถึงตอนนี้

‘คงเสียเวลาไม่นานกระมัง ลองฟังดูก่อนก็ดี ตราบใดที่ไอ้เด็กนี่ปั้นเรื่องราวแม้แต่คำเดียว ข้าก็จะลงมือกับเขาทันที’…มันคิดในใจเช่นนี้ก่อนจะค่อยๆชะลอความเร็วในการก่อตัวของลูกระเบิดสายฟ้าลง

มันรู้ความลับในยุคบรรพกาลมากมาย จึงสามารถแยกแยะได้อย่างง่ายดายว่าสวี่ชีอันกำลังปั้นเรื่องหรือเขารู้ความลับบางอย่างเกี่ยวกับปรมาจารย์จริงๆ

สวี่ชีอันถามหยั่งเชิงมันอีกครั้ง “เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับวิถีแห่งควันธูปหรือไม่?”

“เคยได้ยินเพียงเล็กน้อย นั่นคือระบบบำเพ็ญที่ปรากฏขึ้นหลังจากสิ้นสุดยุคเทพมาร แต่ในยุคแรกๆ ของการกำเนิดวิถีแห่งควันธูป ทายาทเทพมารถูกปรมาจารย์เต๋าไล่ออกจากจิ่วโจว”

ไป๋ตี้กล่าว

สวี่ชีอัน “วิถีแห่งควันธูปคือวิธีการบำเพ็ญ มันคือการกลั่นแก่นแท้แห่งฟ้าดินให้กลายเป็นผนึกเทพ จากนั้นก็ก่อสร้างวิหารเพื่อรวบรวมโชคชะตาด้วยควันธูป ด้วยวิธีนี้ ผู้บำเพ็ญธรรมที่ยึดถือผนึกเทพจะสามารถเป็นผู้ไร้พ่ายในเขตอิทธิพลของตนเอง”

“เป็นอย่างไร คุ้นมากใช่หรือไม่?”

แสงในดวงตาของไป๋ตี้สว่างวาบและพูดโพล่งออกมาว่า “ระบบโหร!”

เขาจำบทสนทนากับซ่าหลุนอากู่ในวันนั้นได้ทันที พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นรู้สึกสับสนและงุนงงอย่างมากกับเรื่องการเริ่มก่อตั้งระบบโหรของลูกศิษย์ตนเอง

ความจริงปรากฏออกมาแล้ว!

ระบบโหรและวิถีแห่งควันธูปในยุคบรรพกาลมีความเกี่ยวข้องกัน ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งได้รับการสืบทอดมาจากวิถีแห่งควันธูป ด้วยพื้นฐานนี้ เขาจึงสามารถก่อตั้งระบบโหรได้

แววตาประหลาดใจฉายผ่านในดวงตาของไป๋ตี้ เมื่อข้อสงสัยถูกทำให้กระจ่าง มันก็กระตือรือร้นมากขึ้นและถามว่า “แต่นี่เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์เต๋าอย่างไร?”

ในขณะที่กล่าวก็มีสายฟ้าฟาดลงมาที่แก่นปราณอย่างรุนแรงอีกครั้ง

รอยยิ้มที่มุมปากของสวี่ชีอันกว้างขึ้นเล็กน้อย เขาตอบคำถามของไป๋ตี้ว่า “หากข้าบอกเจ้าว่าปรมาจารย์เต๋าทำลายวิถีแห่งควันธูปล่ะ! หากข้าบอกเจ้าว่าปรมาจารย์เต๋ารวบรวมผนึกเทพทั้งหมด ใช้ร่างตนเองเป็นวัตถุในการกลั่นของวิเศษชิ้นหนึ่งเรียกว่า ‘หนังสือปฐพี’ ล่ะ”

ตอบกลับ

ไป๋ตี้แสดงท่าทีตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของมันแข็งค้างและไม่พูดอะไรอยู่เป็นเวลานานราวกับกำลังพยายามย่อยข้อมูลที่สวี่ชีอันให้มา

หลังจากนั้น ไป๋ตี้ก็ดูเหมือนจะพูดกับตัวเองกึ่งหนึ่งและถามคำถามกึ่งหนึ่ง

“วิถีแห่งควันธูปมีความเกี่ยวข้องกับคนเฝ้าประตู ปรมาจารย์เต๋ามองเห็นความลับนี้ ดังนั้นเขาจึงทำลายวิถีแห่งควันธูปและครอบครองผนึกเทพไว้กับตน ปรมาจารย์เต๋าเดาไม่ผิด เขาคิดถูกแล้ว เพราะตอนนี้หลังจากที่ผ่านไปหลายปี ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันผู้เป็นขั้นหนึ่งของระบบโหรก็เป็นผู้พิทักษ์ประตูจริงๆ แต่ทำไมปรมาจารย์เต๋าถึงพ่ายแพ้เล่า?”

หากตอนนั้นปรมาจารย์เต๋าประสบความสำเร็จก็จะไม่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในภายหลัง ระบบโหรก็จะไม่ปรากฏขึ้นเช่นกัน

นอกจากนี้ สวี่ชีอันยังทำให้ไป๋ตี้ได้ไขข้อสงสัยของตนเองอีกครั้ง นั่นก็คือเหตุผลที่ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันเป็นผู้พิทักษ์ประตู

ระบบโหรไม่ได้ปรากฏขึ้นโดยไร้เหตุผล ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันกลายเป็นผู้พิทักษ์ประตู สิ่งเหล่านี้ล้วนสามารถสืบย้อนไปถึงต้นตอได้

“ข้าบอกเหตุผลเจ้าได้ แต่เจ้าต้องเอาของอะไรมาแลกเปลี่ยน?” สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“การที่ข้าฟังเจ้าพูดก็นับว่าเป็นการตอบแทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเจ้าแล้ว” ไป๋ตี้กล่าวเสียงเบา

คำพูดนี้ฟังดูเย่อหยิ่งและจองหองราวกับผู้แข็งแกร่งกำลังเวทนาสงสารผู้ที่อ่อนแอกว่าและให้ทานด้วยการให้เวลา

สวี่ชีอันข้ามหัวข้อนี้ไปทันทีและถามหยั่งเชิงอีกครั้ง

“ข้าพูดเกี่ยวกับร่างอวตารของนิกายปฐพีจบแล้ว ตอนนี้มาพูดถึงนิกายสวรรค์กัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมร่างอวตารนิกายสวรรค์จึงหายไปอย่างแปลกประหลาด?”

สิ่งที่เขากล่าวกับไป๋ตี้นั้น นอกจากจะซื้อเวลาให้ลั่วอวี้เหิงแล้ว เขายังคิดที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากไป๋ตี้อีกด้วย

ทายาทเทพมารท่านนี้ที่มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ยุคบรรพกาลจนถึงตอนนี้ มันย่อมรู้ความลับมากมายและคงไม่บอกคนอื่นฟรีๆ เป็นแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นศัตรู แต่หากศัตรูคนนี้รู้ความลับในบรรพกาลมากมายเช่นเดียวกัน และการ ‘รับรู้’ ที่สะสมมาอยู่ในระดับเดียวกันล่ะ?

เช่นนั้นไป๋ตี้ก็จะต้องบอกความลับในรูปแบบของการสนทนา

สวี่ชีอันกล่าวเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างวิถีแห่งควันธูปและระบบโหร รวมทั้งพฤติกรรมการกลั่นหนังสือปฐพีของร่างอวตารปรมาจารย์เต๋าอย่างตรงไปตรงมาก็เพื่อสร้างบุคลิกเช่นนี้ให้กับตนเอง

ดวงตาของไป๋ตี้เต็มไปด้วยความเฉยเมย มันกล่าวด้วยอารมณ์นิ่งเฉยว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้ เรื่องนี้ข้ารู้นานแล้ว ร่างอวตารของนิกายสวรรค์ตนนั้นหลอมรวมกับวิถีแห่งฟ้านานแล้ว ผู้นำเต๋านิกายสวรรค์แต่ละยุคสมัยล้วนหายไปอย่างลึกลับ นั่นเพราะสิ่งที่พวกเขาบำเพ็ญคือ ‘สวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่ง’ ชื่อนี้ก็บ่งบอกความหมายของมันอยู่แล้ว เมื่อบำเพ็ญจนถึงระดับสูงสุด เขตแดนระหว่างมนุษย์และสวรรค์ก็จะไร้ซึ่งขีดจำกัด มนุษย์ก็คือสวรรค์ สวรรค์ก็คือมนุษย์”

แต่มนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์ตลอดไป ไม่สามารถกลายเป็นสวรรค์ได้ ดังนั้นจุดจบเพียงอย่างเดียวคือเปลี่ยนไปเข้าร่วมวิถีแห่งฟ้ากลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎ

โอ้ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง…ความลับนี้ทำให้สวี่ชีอันรู้สึกอึ้งเป็นอย่างมาก ในที่สุดก็คลายความสับสนของเขาที่มีมาอย่างยาวนาน

ที่แท้ ‘สวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่ง’ ของนิกายสวรรค์ก็ไม่ใช่แค่คำพูด แต่สวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่งได้จริงๆ นี่คือความจริงเกี่ยวกับการหายตัวไปอย่างลึกลับขององค์เทพในแต่ละยุคที่ผ่านมา

ร่างอวตารนิกายสวรรค์ของปรมาจารย์เต๋านั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎนานแล้ว เท่ากับเขา ‘ถึงแก่ความตาย’ แล้ว

ดูเหมือนข้าจะเข้าใจแล้วว่าทำไมทั้งสองนิกายถึงได้มี ‘ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์’ หากองค์เทพไม่ได้อธิบายความจริงกับผู้นำเต๋านิกายมนุษย์แล้วก็หายไปอย่างลึกลับ ตามข้อสรุปนี้ การอธิบายความจริงก็คงไม่หายไป

ใจความสำคัญก็คือการทิ้งความปรารถนาไว้ในใจขององค์เทพ ความปรารถนาอันแรงกล้าเพื่อชัยชนะ และนำสิ่งนี้มาต่อต้านไม่ให้ตนเองหลอมรวมกับกฎ

เพราะ ‘สวรรค์’ ไร้ซึ่งอารมณ์ทั้งเจ็ด แต่เพราะมีความปรารถนาอันแรงกล้าเพื่อชัยชนะ มีความหมกมุ่น ถึงมีอารมณ์ความรู้สึก

น่าเศร้าจริงๆ ในขณะแสวงหาความเป็นเอกภาพของสวรรค์และมนุษย์ก็ต้องเข้าใกล้ ‘มนุษย์’ มากขึ้น มิเช่นนั้นก็จะถูกหลอมรวมกับวิถีแห่งฟ้า นิกายเต๋าทั้งสามนี้เป็นหลุมพรางอย่างที่คิดไว้…สวี่ชีอันทอดถอนใจเงียบๆ

นอกจากนี้ หากเป็นเพียงความปรารถนาอันแรงกล้าเพื่อชัยชนะ ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ ความปรารถนาอันแรงกล้าเพื่อชัยชนะอาจเป็นเพียงแง่มุมหนึ่ง อีกแง่มุมหนึ่งคือทั้งสามนิกาย ‘นิกายสวรรค์ นิกายปฐพี นิกายมนุษย์’ รวมเป็นหนึ่งและมีความเชื่อมโยงที่อธิบายไม่ได้ ดังนั้นจึงมีเพียงผู้นำเต๋านิกายมนุษย์เท่านั้นที่สามารถช่วยรักษาสภาพจิตใจขององค์เทพได้?

‘เปรี้ยง!’

ท้องฟ้ากลายเป็นสีขาวโพลนทั้งผืน สายฟ้าหนาฟาดลงมาบนแก่นปราณที่ศีรษะของลั่วอวี้เหิง

นี่คือวายุพิโรธสายที่สี่แล้ว ลั่วอวี้เหิงยังคงสงบนิ่ง วายุพิโรธสายที่สี่นี้ทำอะไรนางไม่ได้

ในอีกด้านหนึ่ง พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ก็ไม่ให้โอกาสสวี่ชีอันถ่วงเวลาอีกต่อไป ‘ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี’ และ ‘ร่างธรรมเทพอารักษ์’ ก็ปรากฏขึ้นที่เหนือศีรษะ

ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีหลับตาพนมมืออย่างสงบโดยไม่แสดงอิทธิฤทธิ์ใดๆ

ร่างธรรมเทพอารักษ์เป็นกำลังโจมตีหลัก แขนสิบสองคู่กางออก รวบรวมพลังปราณและพยายามหาช่องว่างในการโจมตีลั่วอวี้เหิง

เจียหลัวซู่ไม่ได้บุ่มบ่ามบุกเข้าไปในเขตทัณฑ์สวรรค์ ถึงแม้เขาจะเป็นขั้นหนึ่งนานแล้วและไม่ได้หวั่นเกรงทัณฑ์สวรรค์ แต่ไม่หวั่นเกรงก็ไม่ได้หมายความว่าจะเพิกเฉยต่อทัณฑ์สวรรค์ได้

ทัณฑ์สวรรค์เป็นเหมือนศัตรูผู้แข็งแกร่ง ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องแส่หาเรื่อง

เวลานี้เอง ร่างสามร่างก็ปรากฏอยู่ที่เบื้องหน้าเจียหลัวซู่ ผู้นำมีร่างสีดำสนิททั้งร่างราวกับถ่าน ที่ด้านหลังศีรษะมีวงแหวนเพลิงที่กำลังลุกโชน

ร่างของเขาสูงพอๆ กับเจียหลัวซู่ และยังเป็นรูปลักษณ์ของชายแกร่งที่บึกบึนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเช่นเดียวกัน

ทางด้านซ้ายคือนักพรตชราที่มีผมสีขาวและใบหน้าสีแดงฉาน ร่างผอมในชุดที่มีแขนเสื้อพลิ้ว

ทางด้านขวาคือปัญญาชนที่สวมเครื่องแบบขงจื๊อและมีผมสีขาวเช่นเดียวกัน บนศีรษะสวมมงกุฎขงจื๊อและถือดาบสลักที่ดูโบราณอยู่ในมือ

ร่างธรรมเทพอารักษ์เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและการสังหาร เป็นวิธีการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดในสำนักพุทธ นอกจากร่างธรรมพระมหาไวโรจนะ

ในเวลาปกติ ถึงแม้อาซูหลัวซึ่งเป็นยอดฝีมือขั้นสอง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับร่างธรรมที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ก็ยังถูกทรมานไม่มากก็น้อยเช่นกัน

ดังนั้น เขาจึงบุกเบิกสายเลือดเผ่าอสูรไว้ล่วงหน้า เผ่าอสูรเป็นเผ่าที่ชอบทำสงคราม ยิ่งศัตรูแข็งแกร่งมากเพียงใด เจตนาในการทำสงครามก็จะยิ่งสูงขึ้นเพียงนั้น และจิตใต้สำนึกโดยธรรมชาติของพวกเขาก็ไร้ซึ่งความเกรงกลัว

อาซูหลัวยกมือซ้ายไปที่ด้านหลังศีรษะและคว้าวงแหวนเพลิงมาไว้ในมือ

จากนั้นก็ยกมือขวาไปที่ด้านหลังศีรษะเช่นกัน และคว้าวงแสงหลากสีมาไว้ในมือ

เป็นผลให้มีเปลวไฟลุกโชนอยู่ที่มือซ้าย และแสงสว่างเป็นประกายอยู่ที่มือขวา

เขาคำรามเสียงต่ำพลางเขย่าแขนทั้งสองข้าง เปลวเพลิงและแสงเจิดจรัสพุ่งขึ้นไปตามลำแขนก่อนจะไปรวมตัวกันที่หน้าอก

ใช้ร่างสงครามเผ่าอสูรเป็นเสาหลัก ถือเอาพลังเทพวชิระและพลังของระดับเต๋าแยกขันธ์

เป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของอาซูหลัวซึ่งสามารถระเบิดออกได้ในตอนนี้

ราวกับเขาเป็นวีรบุรุษที่บุกเดี่ยวอย่างอาจหาญและกำลังเผชิญอยู่กับอาซูหลัวที่ทรงพลังที่สุดในสำนักพุทธ

ทั้งสองปะทะกันดัง ‘โครม’ ฝ่ามือทั้งสี่ปะทะกัน เอวโค้งงอลงราวกับมวยปล้ำ

ทะเลคลื่นที่เกิดจากการปะทะกันกลายเป็นพายุเฮอริเคนที่กวาดไปทั่วทุกทิศทาง

สีหน้าของเจียหลัวซู่เต็มไปด้วยความเค่งขรึมและเปิดปากพูดเสียงเบา

กล้ามเนื้อแขนทั้งสองข้างของเขาพองตัวขึ้นและค่อยๆ งอฝ่ามือของอาซูหลัวทีละน้อยๆ

แขนทั้งสิบสองข้างที่ด้านหลังของร่างธรรมเทพอารักษ์ค่อยๆ หุบเข้าหากัน ราวกับเขี้ยวของต้นกาบหอยแครงที่กำลังกลืนกินอาซูหลัว

เส้นเลือดสีน้ำเงินที่หน้าผากปูดโปนออกมา อาซูหลัวได้ยินเสียงกระดูกนิ้วของตนเองแตกร้าว เห็นแขนของร่างธรรมพับไปทุกทิศทางจากหางตา

ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรือพลังปราณ เจียหลัวซู่ ล้วนแข็งแกร่งกว่าเขามาก

แต่ไม่เป็นไร เขายังมีตัวช่วยอีกสองท่าน

จ้าวโส่วงอนิ้วสะบัดมงกุฎขงจื๊อเบาๆ และกล่าวเสียงทุ้มว่า “หนึ่งคนเฝ้าด่าน ทหารหมื่นนายมิอาจกรายผ่าน!”

ลำแสงอันเจิดจรัสพุ่งออกมาและรวมเข้ากับร่างของอาซูหลัว

ภายในพริบตาเดียว ความมั่นใจของเขาก็เพิ่งสูงขึ้น จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้พุ่งทะยานและเชื่อมั่นว่าตนเองรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง สามารถสกัดศัตรูได้โดยลำพัง

นี่ไม่ใช่ภาพลวงตา พลังปราณ ร่างกาย ความแข็งแกร่งของเขาล้วนเพิ่มขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

ฝ่ามือที่ถูกงอฟื้นคืนกลับมาทีละน้อย แขนร่างธรรมสิบสองคู่ที่อยู่รอบตัวค่อยๆ รวมตัวกันราวกับกระสุนปืนขัดลำกล้องที่ยากจะรวมเข้าด้วยกัน

เจียหลัวซู่สบถด้วยความเย็นชา วงแหวนเพลิงที่อยู่ด้านหลังศีรษะระเบิดดัง ‘ตูม’ และพุ่งออกมาเป็นเปลวเพลิง

ร่างธรรมเทพอารักษ์มีแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่

‘พรวด!’

แขนของอาซูหลัวถูกฉีกออกอย่างกะทันหัน

แขนสิบสองคู่พับรวมเข้าด้วยกัน พลังสิบสองวิถีใกล้จะเอียนเองไปที่ร่างของอาซูหลัว

ไม่ไกลนัก นักบวชเต๋าจินเหลียนที่กำลังสวดพึมพำบางอย่างลืมตาขึ้น ร่างของเจียหลัวซู่และแสงหลากสีสะท้อนผ่านดวงตาทั้งสองข้าง

‘ตูม!’

ลูกระเบิดอัสนีวารีชนเข้ากับร่างธรรมเทพอารักษ์อย่างแรง ประกายไฟฟ้ากระแทกลงบนพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล แสงสีทองแตกกระเจิดกระเจิง

ร่างธรรมเทพอารักษ์ไถลไปด้านหลังอย่างแรง แม้แต่เจียหลัวซู่ก็ยังเซถอยหลังไปอย่างควบคุมไม่ได้

ไป๋ตี้เป็นผู้ปล่อยลูกระเบิดอัสนีวารี แต่เป้าหมายในการโจมตีคือสวี่ชีอัน

สวี่ชีอันเบี่ยงตัวหลบลูกระเบิดอัสนีวารี แต่ด้านหลังเขาบังเอิญเป็นเจียหลัวซู่พอดี ดังนั้นเจียหลัวซู่จึงได้รับความเสียหายโดยไม่มีสัญญาณมาก่อน

นี่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญ

นี่เป็นเรื่องบังเอิญอย่างแท้จริง แต่กลับเป็นเรื่องที่มนุษย์สร้างขึ้น

นักบวชเต๋าจินเหลียนทำให้ดวงของเจียหลัวซู่อ่อนแอลง ทำให้เขาตกอยู่ในความโชคร้ายชั่วคราว

………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท