ตอนที่ 715 รู้จักเด็กฉวยโอกาสสักหน่อย
ฟังการคาดเดาของฉินหลิวซี กษิติครรภและเทพเฟิงตูหัวคิ้วขมวดมุ่น หรือซื่อหลัวจะวางแผนเช่นนี้จริงๆ นี่มันไร้มูลนี่นา
เทพเฟิงตูเริ่มปวดหัวขึ้นมา ใบหน้าทะมึน เอ่ย “นี่เป็นเรื่องไร้ที่มาที่ไป เจ้ากำลังเจตนาให้ผู้อื่นตื่นตระหนก”
“เช่นนั้นหากเขาคิดอย่างนี้จริงๆ จะเตรียมพร้อมรับมืออย่างไรเล่า” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็น
เทพเฟิงตูสะอึก
ฉินหลิวซีเอ่ย “หากข้าเป็นท่าน จะไปดูสถานที่ที่คุมขังเขา ดูว่ามีเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ อื่นใดหรือไม่ หากมีจริงๆ ก็จะกำจัดเค้าลางเตือนนั้นให้สิ้นซาก”
นางหันมองไปทางกษิติครรภ เอ่ยถาม “พระโพธิสัตว์ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ยิ่งใหญ่ มีบุญบารมีมากมายสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ ท่านรู้หรือไม่ นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีวิธีเป็นเทพเจ้า หรือเป็นพระพุทธเจ้า ก่อนการเป็นพระพุทธเจ้าจะต้องเป็นมารก่อน”
“พระอมิตาภพุทธ” สองมือของกษิติครรภพนมขึ้น แววตามีเมตตา เอ่ย “ความหมายของการเป็นมารก่อนแท้จริงแล้วคือการเข้าใจในหลักพระพุทธศาสนาและเข้าถึงขอบเขตในเขตที่ยังไม่มีผู้ใดเข้าถึง เข้าถึงสภาวะบ้าคลั่งของความเป็นมาร”
“ไม่ใช่มารประเภทวางดาบฆ่าคน บรรลุธรรมเป็นพุทธะหรอกหรือ” ฉินหลิวซีหลุบตาลง “พระที่สังหารสิ่งมีชีวิตก็เป็นพระ พระชั่ว”
กษิติครรภยิ้มบาง เอ่ย “ที่เจ้าเอ่ยก็ถูก สิ่งที่เรียกว่าการตรัสรู้ พุทธภาวะ และอสูร ล้วนเกิดขึ้นในความคิดเดียว”
ห้วงหนึ่งสวรรค์ ห้วงหนึ่งนรก ดังเช่นที่เอ่ยเอาไว้
ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้าไม่คุยหลักธรรมกับท่าน ท่านบอกมา ยุคโบราณกาลมาในทางพุทธศาสนามีวิธีสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ มารเอ้อฝูในตอนนั้นบำเพ็ญเป็นพุทธะจากการฆ่าคนเห็นได้ว่า เขามีความเข้าใจในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี พุทธศาสนาไร้ขอบเขต ข้ากลับไม่รู้ว่าเขามีวิธีการบำเพ็ญสำเร็จเป็นเทพเจ้าหรือไม่”
“ไยปู้ฉิวจึงยึดติดว่าเขาจะเป็นเทพเจ้าหรือไม่ เจ้ากำลังกลัวสิ่งใด” กษิติครรภยิ้มบาง เอ่ย “ห้าสิบหนทาง สี่สิบเก้าเป็นโชคชะตา อีกหนึ่งคือคนหลบเลี่ยง ทุกเรื่องมักเหลือทางรอดหนึ่งเส้นทางเสมอ แทนที่จะกังวลว่าเขาจะสำเร็จเป็นเทพเจ้าทำร้ายผู้คน มิสู้บำเพ็ญเพียรฝึกวิชา สัมผัสทางรอดหนึ่งทางนั้น”
ฉินหลิวซีมึนงงเล็กน้อย
นี่คือการม้วนพับความคิดของตนใช่หรือไม่
กษิติครรภยิ้มตาหยีเอ่ย “ยังคงเอ่ยประโยคนั้น ห้าสิบหนทาง สี่สิบเก้าเป็นโชคชะตา ผู้ใดจะรู้ว่าซื่อหลัวจะถือโอกาสรอดหนึ่งเดียวนี้เพื่อหลบหนีออกจากยมโลกหรือไม่ สวรรค์ไร้ความเมตตา ทว่ายังยุติธรรม ไม่จำกัดว่าใครชั่วใครดี ใครสามารถคว้าความลับสวรรค์นี้ได้ สวรรค์ล้วนแล้วแต่ยินดี ปู้ฉิวไม่ต้องกังวลหรือร้อนใจเกินไป ความลับสวรรค์นั้นมักซ่อนอยู่ในฝั่งของเรา รักษาไว้ซึ่งความใสสะอาดอยู่เสมอ เจ้าก็จะคว้ามันมาได้ บางครั้ง ยิ่งร้อนใจเป็นกังวลก็ยิ่งง่ายที่จะพลาดอะไรไป”
ฉินหลิวซีนิ่งเงียบ เอียงศีรษะมองเขา จนกระทั่งกษิติครรภรู้สึกทนไม่ไหว นางจึงเอ่ย “ไยข้าจึงรู้สึกว่าโพธิสัตว์ท่านกำลังเกลี้ยกล่อมให้ข้ามุ่งแสวงหาความก้าวหน้าบำเพ็ญเพียรทางเต๋า”
กษิติครรภหัวเราะขึ้นมา สายตาของเขาราวกับกำลังมองเด็กดื้อที่จนหนทาง เอ่ย “หากเจ้าคิดแสวงหาความก้าวหน้า จะสามารถบรรลุธรรมอันสมบูรณ์ได้ในชีวิตนี้อย่างแน่นอน”
ฉินหลิวซีกะพริบตา “ฟังที่ท่านเอ่ย คือรู้ที่มาของข้า หรือว่าชาติที่แล้วข้าเป็นผู้มีความสามารถยิ่งใหญ่ ลงมาผ่านด่านเคราะห์หรือ”
กษิติครรภเพียงยิ้มไม่เอ่ยวาจา
เทพเฟิงตูส่งเสียงหยัน เจ้าไม่ได้ลงมาผ่านด่านเคราะห์ เจ้าลงมายังโลกมนุษย์เพื่อชดใช้บาปกรรมที่เจ้าก่อต่างหาก
ฉินหลิวซีปรายตามองเทพเฟิงตู ดวงตากรอกไปมา เอ่ย “ในเมื่อพวกท่านต่างก็ต้องรักษากฎไม่ยอมออกแรง เช่นนั้นก็อย่าโทษเทียนซือนักบวชบนโลกมนุษย์บำเพ็ญเพียรไม่พอไม่สามารถตามหามารเอ้อฝูนั่นได้ ถึงตอนนั้นเขาปลุกปั่นความวุ่นวายบนโลกมนุษย์อย่างแท้จริง โทษของการดูแลไม่ดีทำให้เขาหลบหนีไปจากนรกนี้ได้ ราชาเทพท่านก็หนีไม่รอดหรอก”
เทพเฟิงตู “!”
ข้าล่ะอยากตีนางจริงๆ
ดูน้ำเสียงหยิ่งผยองนี่สิ กล้ามาดูถูกราชาเทพอย่างข้า น่าตีเสียจริง
“นอกเสียจากพวกท่านจะให้อาวุธวิเศษอะไร สามารถตรวจจับกลิ่นอายของเจ้านั่นแบบนั้น แล้วก็อาวุธวิเศษที่จัดการเขาได้ พวกเราก็จะร่วมใจจัดการฆ่าเขาให้ตาย” ฉินหลิวซีเอ่ยอีกหนึ่งประโยค
สองคน “…”
ในที่สุดก็เผยความโฉดชั่วออกมาแล้ว นี่คือเป้าหมายที่เจ้ามานรกครั้งนี้กระมัง
เจ้าเด็กร้ายกาจไม่มีความละอายใจ
กษิติครรภมองปลายแหลมของคฑาเพชรที่โผล่พ้นออกมาจากอกเสื้อนาง ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่จุดสิ้นสุด
เขามองไปยังเทพเฟิงตู ทำอะไรสักอย่างเถิด มิเช่นนั้นจะให้เจ้าเด็กที่จ้องจะเอาเปรียบทุกโอกาสกลับไปเร็วๆ ได้อย่างไร
เทพเฟิงตูสีหน้าไม่น่ามองขึ้นมาไม่น้อย ไม่ทำอะไร ก็จะเอาอาวุธวิเศษ ร้ายเกินไปแล้ว
“แม้ซื่อหลัวจะเป็นเทพมาร แต่ก็บำเพ็ญพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง มีความเข้าใจในหลักพุทธศาสนามากไม่พอ ยังเข้าใจในหลักของเต๋ามาก มิเช่นนั้นตอนนั้นพุทธและเต๋าก็คงไม่อาจจับตัวเขาเอาไว้ได้” เทพเฟิงตูเอ่ยราวกับยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ “ต่อให้ต่อให้มอบอาวุธวิเศษให้เจ้า เจ้าบำเพ็ญไม่ถึงขั้น ก็เอาไม่อยู่”
ฉินหลิวซียิ้มโกรธ “น้ำเสียงที่มีความสุขเมื่อเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ของราชาเทพทำให้ข้าต้องกำหมัดแล้ว เห็นอยู่ว่าเพราะการดูแลไม่ดีของท่านทำให้ตัวปัญหาหนีออกมาได้ ไยท่านยังมีหน้ามามีความสุขเมื่อเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ต่อหน้าข้าได้เล่า”
เทพเฟิงตูพลาดท่า ใบหน้าทะมึน เอ่ยด้วยความโกรธ “ข้าจะบอกเจ้า อย่าได้คิดสั้นๆ และอย่าได้เกียจคร้าน บำเพ็ญตบะไม่พอ เอาอาวุธวิเศษไปก็ไร้ประโยชน์”
“ท่านผิดแล้ว เพียงอาวุธวิเศษมอบพลัง หนึ่งอันไม่พอ ท่านให้ข้าไว้ติดตัวนับร้อยนับพัน เมื่อเผชิญหน้ากับเขา ข้าใช้การต่อสู้แบบวนเวียนไปสู้กับเขา เขาก็จะชุลมุน และข้าก็จะหาโอกาสสังหารเขาได้กระมัง” ฉินหลิวซีหัวเราะ
เทพเฟิงตู “…”
นับถือแล้ว ข้าจนคำพูด
“อีกทั้ง อย่าให้ความทะเยอทะยานของผู้อื่นมาทำลายความยิ่งใหญ่ของตนเอง กฎเกณฑ์เป็นของตาย คนมีชีวิต ท่านเป็นถึงราชาเทพแห่งความตาย ไม่อาจทำอะไรตามต้องการได้บนโลกมนุษย์ แต่ก็ส่งกระแสจิตไปยังเทียนซือสักคนได้ อย่างเช่นข้าเป็นอย่างไร ต่อให้ท่านรังเกียจข้า ก็ยังมีลูกศิษย์ของข้า สหายร่วมลัทธิเต๋าของเรา อาศัยกระแสจิตนี้จัดการซื่อหลัว ไยจะไม่ได้”
เทพเฟิงตูเบิกตาอ้าปากค้าง หลายปีจนไม่อาจนับวันเดือนปีได้ เจ้าไม่เพียงสะสมบุญกุศล ยังร่ำเรียนความไร้ยางอายมาจนถึงขั้นนี้แล้วหรือนี่
ปล้นเผื่อตนเองไม่พอ ยังไม่ลืมหาประโยชน์แก่คนสนิท กระแสจิต นางยังกล้าเอ่ย
เทพเฟิงตูรู้สึกว่าหากเอ่ยต่อไป ตนเองคงโกรธจนอยากไปเกิดใหม่ จึงรีบให้นางไสหัวไป
เขาสะบัดมือ โยนกระจกเก่าๆ เรียบง่ายมีสนิมเขรอะขนาดเท่าฝ่ามือไปให้ “นี่คือกระจกดูดวิญญาณเฉียนคุน ฝังอยู่ที่ผนังที่ขังซื่อหลัวมาโดยตลอด เปรอะเปื้อนกลิ่นอายของซื่อหลัวมานานแล้ว หากเจอร่องรอยของเขา กระจกดูดวิญญาณจะมีความเคลื่อนไหว นอกจากนี้ กระจกดูดวิญญาณนี้ยังสามารถทำให้วิญญาณชั่วปีศาจร้ายคืนร่างจริง กลืนกินวิญญาณชั่วร้าย”
ฉินหลิวซีรับมา เอ่ย “ดูแล้วค่อนข้างธรรมดา แขวนอยู่กับซื่อหลัวที่นั่นมาหลายพันปีแล้ว ยังไม่อาจดูดวิญญาณเขาจนหมดได้ เห็นได้ว่าก็ธรรมดา”
เทพเฟิงตูอดทนอดกลั้นจนไม่อาจอดกลั้น “ไม่เอาก็เอาคืนมา”
“ผู้ใหญ่ให้ของแล้วไม่เอาคืน ขอบคุณราชาเทพ เพียงเจอซื่อหลัว ข้าจะมารายงานทันที” ฉินหลิวซีรีบยัดกระจกเข้าไว้ในอก เอ่ย “เพื่อหลีกเลี่ยงเจ้าหมานั่นร้อนใจจนกระโดดกำแพงและข้าสู้ไม่ได้ ท่านให้อาวุธวิเศษที่แท้จริงอีกสักอันเถิด ข้าไม่ได้มีใจละโมบอยากได้ตราผนึกชีวิตความตายและไม้เท้าของท่าน เอากำไลหินเก้าตา[1]เป่ยหมิงเส้นนี้ที่ท่านสวมอยู่ให้ข้าเถิด”
เทพเฟิงตูพลิกโต๊ะ ได้คืบจะเอาศอกแล้วใช่หรือไม่
[1] หินเก้าตา หินทิเบต เป็นราชาแห่งหิน