ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 433 ตามหาคน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 433 ตามหาคน

จวนผิงหนานอ๋องกำลังโกลาหลวุ่นวาย

พระชายาผิงหนานอ๋องฝืนทนอาการป่วยบริภาษจื่อซู สาวใช้คนสนิทของเว่ยเหวิน “นังบ่าวชั้นต่ำ เจ้าเล่าสถานการณ์มาให้ข้าฟังอย่างละเอียดเดี๋ยวนี้!”

จื่อซูคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นระริก เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังออกจากจวนองค์หญิงด้วยเสียงติดสะอื้น “ยามท่านหญิงออกจากจวนองค์หญิงนั้นสีหน้าผิดปกติเล็กน้อยและสั่งให้คนขับไปที่ถนนชิงซิ่ง…”

เมื่อเอ่ยถึงถนนชิงซิ่ง สิ่งที่คนในห้องนึกถึงเป็นอันดับแรกก็คือมีหอสุรา จากนั้นก็นึกถึงคุณหนูลั่ว

เว่ยเชียงสีหน้าซับซ้อน เว่ยเฟิงเผยสีหน้าเคียดแค้น พระชายาผิงหนานอ๋องยิ่งมีสีหน้าย่ำแย่

“ท่านหญิงให้บ่าวรั้งอยู่บนรถม้า บอกว่าอยากจะเดินเล่นคนเดียว บ่าวรออยู่นาน ท่านหญิงก็ยังไม่กลับมาจึงลงจากรถไปตามหา ผลคือ ร้านค้าหลายร้านที่ท่านหญิงอาจจะไป ล้วนไม่มีคน…” เอ่ยถึงตอนท้าย จื่อซูก็ทนไม่ไหว ร่ำไห้สะอึกสะอื้นเสียงเบา

“ร้องไห้หาสวรรค์วิมานอะไร!” พระชายาผิงหนานอ๋องแทบอยากจะใช้สายตาถลกหนังเฆี่ยนกระดูกอีกฝ่าย “ท่านหญิงไปร้านค้าไหนบ้าง”

จื่อซูตอบเสียงสะอื้น “ร้านเครื่องแป้ง ร้านเสื้อผ้า ร้านขายของชำ และโรงน้ำชาที่ท่านหญิงเคยไป บ่าวล้วนไปถามมาแล้ว ล้วนบอกว่าไม่เห็นหญิงสาวที่แต่งกายเหมือนท่านหญิงเจ้าค่ะ…”

“ไม่ได้ไปถามที่มีหอสุราหรือ” เว่ยเฟิงพลันเอ่ยแทรก

จื่อซูส่ายหน้า

“ทำไมไม่ไป” พระชายาผิงหนานอ๋องถามใบหน้าบึ้งตึง

จื่อซูลังเลเล็กน้อย “ท่านหญิงไม่ชอบคุณหนูลั่ว ต้องไม่มีทางไปหอสุราแน่นอนเจ้าค่ะ”

“เลอะเลือน!” พระชายาผิงหนานอ๋องตบโต๊ะ

ไม่ชอบแล้วไม่มีทางไปหรือ

ตอนที่ในใจเต็มไปด้วยเพลิงโทสะก็ไม่แน่ว่าจะไปหาเรื่องคนที่ไม่ชอบ

สายตาพระชายาผิงหนานอ๋องกวาดผ่านบุตรชายสองคน สั่งเว่ยเฟิงว่า “เฟิงเอ๋อร์ เจ้าพาคนไปถามร้านค้าทุกร้านบนถนนชิงซิ่ง คนมีชีวิตคนหนึ่งไม่อาจหายตัวไปเฉยๆ ได้”

เว่ยเฟิงกวาดตามองเว่ยเชียงแวบหนึ่งแล้วพยักหน้านิ่งๆ

เมื่อเห็นเว่ยเฟิงออกไปแล้ว พระชายาผิงหนานอ๋องก็เอ่ยเสียงนุ่มนวล “เชียงเอ๋อร์ เจ้าอย่าคิดมาก เฟิงเอ๋อร์ออกไปจัดการเรื่องราวสะดวกกว่าเจ้ามาก”

จวนผิงหนานอ๋องในยามนี้ มีเพียงแต่กระทำเรื่องราวอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนและระมัดระวัง ถึงจะอยู่รอดปลอดภัย องค์รัชทายาทที่ถูกปลดอยู่ห่างจากสายตาผู้คนย่อมเป็นการดี

เว่ยเชียงพยักหน้า เอ่ยเสียงแหบแห้ง “เสด็จแม่ ข้าออกไปก่อนนะขอรับ”

พระชายาผิงหนานอ๋องพยักหน้าเล็กน้อย มองท่าทางไร้จิตวิญญาณของบุตรชายคนโตแล้วก็เจ็บปวดใจและผิดหวัง

เว่ยเชียงเดินออกจากเรือนหลัก สีหน้าก็นิ่งขรึมโดยสมบูรณ์

ในประวัติศาสตร์องค์รัชทายาทถูกปลด เสียชีวิตนั้นมีจำนวนมากและมีจำนวนน้อยที่ถูกคุมขังเงียบๆ ในสายตาผู้คน เขาซึ่งเป็นองค์รัชทายาทที่ถูกปลด สามารถกลับมาเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ของจวนอ๋องต่อได้นั้น ถือว่ามีบทสรุปที่ดีแล้ว แค่รสชาติความรู้สึกเช่นนี้ มีเพียงเขาที่รู้

น้องชายซึ่งเคยเป็นเด็กไม่รู้ความได้เป็นซื่อจื่อ ส่วนเขาก็กลายเป็นการดำรงอยู่ของตัวตนที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แม้ว่าจะเดินอยู่ในจวนอ๋องก็ยังสามารถมองเห็นการหลบเลี่ยงได้จากแววตาข้ารับใช้

พอแล้วจริงๆ กับวันเวลาเช่นนี้!

เว่ยเชียงกลับไปยังเรือน หิ้วกาสุราขึ้นมากรอกทันที

กลิ่นสุราลอยผ่านรอยแยกบานประตูออกไป สองสาวใช้ที่เฝ้าทางเดินสบตากันแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจ

ปรนนิบัตินายท่านแบบนี้คนหนึ่งนั้น ช่างไร้อนาคตจริงๆ

เว่ยเฟิงนำคนจำนวนหนึ่ง รวมถึงจื่อซูเร่งมุ่งหน้าไปถนนชิงซิ่งแล้วถามร้านค้าเหล่านั้นทีละร้านๆ

ข้างต้นพลับซึ่งมีผลลูกพลับสีแดงก่ำห้อย คนของหอสุรากำลังล้อมโต๊ะหินกินลูกพลับ

ลูกพลับที่ใช้น้ำในบ่อล้างมาฉ่ำน้ำและอิ่มเอิบ ทั้งยังหวานจนถึงหัวใจของผู้คน

“คุณหนูลั่วไม่กินหรือ”

ลั่วเซิงยิ้มน้อยๆ “สองสามวันก่อนหน้านี้อาซิ่วทำปูแช่สุราไว้สองไห บอกว่าวันนี้สามารถกินได้แล้ว…”

เว่ยหาน “…”

ทุกคนที่ล้อมโต๊ะหินกินลูกพลับพากันหันหน้าไปมองลั่วเซิงเงียบๆ

สักพักใหญ่ คุณชายสามเซิ่งถึงได้ถามซิ่วเย่ว์ว่า “อาซิ่ว คืนวันนี้สามารถกินปูแช่สุราได้จริงๆ หรือ”

อาซิ่วพยักหน้ายิ้มๆ

คุณชายสามเซิ่งก้มหน้ามองลูกพลับครึ่งลูกที่เหลือในมือพลันกินไม่ลงแล้ว

แม้ว่าลูกพลับจะหวาน แต่ต้นลูกพลับก็หนีไปไหนไม่ได้ สามารถเด็ดกินได้ตลอดเวลา ปูแช่สุรากลับไม่ได้มีบ่อยๆ นะ!

“ญาติผู้น้อง เหตุใดจึงไม่บอกแต่แรก!” ผู้อื่นไม่สะดวกจะประณาม แต่คุณชายสามเซิ่งกลับไม่ต้องเกรงใจ

หากไม่ได้พิจารณาถึงอารมณ์ของไคหยางอ๋อง เขายังคิดจะเขย่าไหล่ญาติผู้น้อง แสดงความตื่นเต้นด้วย

ไคหยางอ๋อง…ก็อารมณ์ไม่ดีเช่นก้น

เขากินลูกพลับไปสี่ลูกแล้ว หากกินปูแช่สุราอีกก็ดูเหมือนว่าจะอันตรายไปหน่อย

นี่จะโทษเว่ยหานก็ไม่ได้ ใครมาเจอสิ่งที่มักจะชื่นชมบ่อยๆ ถูกคนอื่นเก็บไปย่อมล้วนรู้สึกว่ากินให้มากหน่อยถึงจะคุ้มค่า

ทุกคนใช้สายตากล่าวโทษมองไปทางลั่วเซิง

ตอนนี้เองโค่วเอ๋อร์เข้ามารายงานในลาน “คุณหนู ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อพาคนมาทางหอสุราของพวกเราเจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเดินไปข้างนอก

คนกลุ่มหนึ่งไม่มีอารมณ์จะกินลูกพลับแล้วจึงเดินตามไปด้วยทั้งหมด

เว่ยเฟิงผลักประตูเข้าหอสุรามาแล้ว ผู้ดูแลหญิงก้าวไปทักทายนิ่งๆ “ขอโทษด้วยนะเจ้าคะท่านลูกค้า พวกเราหอสุรายังไม่เปิดทำการเจ้าค่ะ”

“มีเรื่องจะถามเจ้า”

“ซื่อจื่อต้องการถามเรื่องอะไรหรือ” เสียงเฉยชาสายหนึ่งดังลอยมา

เว่ยเฟิงได้ยินเสียงจึงมองไปก็เห็นลั่วเซิงเลิกม่านออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา จากนั้นก็เป็นโค่วเอ๋อร์กับหงโต้ว ต่อมาก็คือเว่ยหาน คุณชายสามเซิ่ง…

เว่ยเฟิงนึกถึงจำนวนข้ารับใช้ที่พามาตามจิตใต้สำนึกก็ฝืนยิ้ม ทักทายเว่ยหาน “เสด็จอา”

“มาทำอะไร” เว่ยหานถามเรียบๆ

“หลานมาถามผู้ดูแลหอสุราว่า วันนี้ได้เจอเหวินเอ๋อร์บ้างไหมขอรับ”

ผู้ดูแลหญิงรีบเอ่ย “ไม่ได้เจอเลยเจ้าค่ะ”

“ไม่ทราบว่า คนอื่นๆ ได้เห็นไหม” เว่ยเฟิงมองทุกคน สุดท้ายก็หยุดสายตาลงที่ดวงหน้าของลั่วเซิง

ลั่วเซิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ผู้ดูแลเฝ้าอยู่ที่หอสุราตลอด หากนางไม่เห็น คนอื่นๆ ยิ่งไม่มีทางได้เจอ ไม่สู้ซื่อจื่อไปสอบถามที่อื่นเถอะ”

เว่ยเฟิงสบตา มองไม่เห็นเบาะแสใดๆ จากนัยน์ตาเฉยชาคู่หนึ่ง แต่กลับไม่ยินยอมจากไป “วันนี้คุณหนูลั่วได้พบกับน้องสาวข้าที่จวนองค์หญิง ไม่ทราบว่าพบความผิดปกติอะไรหรือไม่”

“ไม่พบ“

คำตอบของลั่วเซิงรวดเร็วเกินไป ทำให้เว่ยเฟิงอ้าปาก ลืมพูดจาไปชั่วขณะ

“เฟิงเอ๋อร์ ในเมื่อที่นี่ไม่มีใครเห็น เจ้าก็ไปถามที่อื่นเถอะ”

เว่ยเฟิงได้ยินคำว่า “เฟิงเอ๋อร์” ก็หมดความมั่นใจที่จะรั้งอยู่ต่อจึงประสานมือกล่าวคำอำลา

“ท่านหญิงน้อยหายตัวไปจริงๆ หรือ” หงโต้วเร่งเท้าตามออกไปมุงดู ไม่ปิดบังความรู้ยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นในแววตาเลยแม้แต่น้อย

ลั่วเซิงครุ่นคิด ก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอก

เว่ยหานไม่ได้ตามไป แต่เดินไปยังตำแหน่งที่นั่งเป็นประจำ มองเงาร่างที่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่งผ่านหน้าต่าง

ทุกอย่างบนถนนชิงซิ่งดูแล้วเป็นปกติดั่งเคย เว่ยเฟิงพาข้ารับใช้หลายคนเดินเข้าไปในโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง คล้ายจะไม่มีท่าทีก่อเรื่องราวใหญ่โต

ผู้ดูแลหญิงของร้านขายชาดทาแก้มตรงข้ามหอสุรา ซึ่งเดินออกมาเหลียวซ้ายแลขวา สบตาเข้ากับลั่วเซิงก็ยิ้มเกรงใจ

ลั่วเซิงพยักหน้าตอบรับ กระซิบสั่งโค่วเอ๋อร์ “เดี๋ยวไปถามขอทานบนถนนชิงซิ่งว่า วันนี้เห็นเด็กสาวอายุสิบหกสิบเจ็ดที่สวมกระโปรงจีบสีส้มอ่อนปักด้ายเงินบ้างไหม” โค่วเอ๋อร์รับคำเสียงเบา

ลั่วเซิงยืนอยู่หน้าประตูหอสุรา มองเว่ยเฟิงจากถนนชิงซิ่งไปโดยไม่ได้อะไรเลยด้วยสายตาเย็นชา

“ร้านค้าพวกนั้นล้วนบอกว่าไม่เห็นหรือ” พระชายาผิงหนานอ๋องได้ฟังคำรายงานของเว่ยเฟิงก็ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น “พาคนไปมากหน่อย กระจายการตามหารอบๆ โดยอาศัยถนนชิงซิ่งเป็นศูนย์กลาง”

“เสด็จแม่ ไม่สู้แจ้งทางการเถอะ จวนอ๋องกำลังอยู่ในช่วงกระอักกระอ่วน เกรงว่าการส่งคนออกไปเยอะเกินไป จะไม่เหมาะสมนะขอรับ”

“หากว่าเหวินเอ๋อร์เพียงแค่ไปที่ไหนเพราะมัวแต่ห่วงเล่น แจ้งทางการจะไม่กลายเป็นเรื่องขบขันหรือ เช่นนั้นพาคนไปน้อยลงจำนวนหนี่ง ไปตามหาเงียบๆ รอฟ้ามืดแล้ว หากยังหาไม่เจอ…” พระชายาผิงหนานอ๋องนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงติดขัดว่า “ค่อยแจ้งทางการ”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท