บทที่ 1455 ผ้าขี้ริ้ววัว
บทที่ 1455 ผ้าขี้ริ้ววัว
กู้เสี่ยวหวานพูดถูกที่ของเช่นนี้คนทั่วไปไม่มีทางได้กินจริง ๆ
วัวนั้นเป็นผู้ช่วยที่ดีในการทำไร่ทำนาของแต่ละบ้านในยามปกติ แม้ว่าผู้คนจะมีวัวอยู่ในบ้านก็จะรอจนกว่าวัวตัวนั้นจะแก่จนเคลื่อนไหวไม่ได้แล้วจึงจะฆ่ามันทิ้ง
ดังนั้นแล้วเนื้อวัวจึงมีราคาสูงมาก และมีเพียงครอบครัวที่ร่ำรวยและมีอำนาจเท่านั้นที่จะสามารถกินเนื้อวัวได้ แต่ทว่ายังเหลือผ้าขี้ริ้ววัวที่ขายไม่ออก เพราะว่าทำอย่างไรก็ไม่อร่อยและก็ไม่รู้ว่าจะขายอย่างไร จึงได้แต่เก็บไว้กินในบ้านตัวเอง รสชาติก็ย่ำแย่ไม่อร่อย แต่ก็ถือว่าตัวเองได้กินอาหารที่อร่อยที่เป็นเนื้อแล้ว
แต่ว่าต่อมาหลังจากที่ร้านฝูจิ่นเปิดให้บริการแล้ว กู้เสี่ยวหวานได้แนะนำผ้าขี้ริ้ววัวตามวิธีการกินของตัวเองในชาติที่แล้ว
ผ้าขี้ริ้ววัวเป็นกระเพาะอาหารของวัว ว่าตามเหตุผลแล้ว กระเพาะนี้เป็นส่วนที่วัวนั้นย่อยอาหาร จึงเป็นส่วนที่สกปรกมาก นอกจากนี้ผ้าขี้ริ้ววัวที่สดจะต้องผ่านการแปรรูปจึงจะกรอบอร่อยถูกปาก
ผู้คนในเวลานี้ยังไม่รู้วิธีทำความสะอาดและจัดการกับผ้าขี้ริ้ววัว คิดเพียงแค่ว่าของสิ่งนี้ทั้งสกปรกทั้งเหม็นและขายไม่ได้ราคาดี
หลังจากกู้เสี่ยวหวานจัดการอย่างเหมาะสมแล้วก็ยกนำมาวางบนโต๊ะหม้อไฟ กลายเป็นอาหารที่มีรสสัมผัสกรอบอร่อย ทั้งยังมีคุณค่าทางสารอาหาร จึงกลายเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาลูกค้าทันที
จากผ้าขี้ริ้ววัวนี้ไม่มีใครสนใจในเวลานั้น ราคาก็พุ่งสูงขึ้นจนกลายเป็นสิ่งที่มีเพียงแค่ครอบครัวที่ร่ำรวยเท่านั้นที่จะสามารถกินได้
กู้เสี่ยวหวานรู้ราคาของผ้าขี้ริ้ววัว ผ้าขี้ริ้ววัวจานเล็ก ๆ ที่มีน้ำหนักเล็กน้อยนี้ราคานั้นแพงมาก
ซูเฉี่ยนเยว่และหวงหรูซื่อทำตัวสูงส่งมาตลอด แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยรับรู้ถึงความทุกข์ยากลำบากของผู้คน จะต้องไม่รู้เรื่องพวกนี้อย่างแน่นอน พวกนางรู้เพียงแค่ว่าผ้าขี้ริ้ววัวนี้เป็นสิ่งที่สกปรกมาก ไม่เคยสัมผัสและไม่เคยได้กิน เพียงแค่ได้ยินชื่อนี้ก็รู้สึกขยะแขยงแล้ว
อีกทั้งยังคิดว่าของสิ่งนี้มีราคาถูกกว่าเนื้อวัว มีเพียงครอบครัวยากจนที่กินเนื้อวัวไม่ได้จึงได้แต่กินผ้าขี้ริ้ววัวเท่านั้น
ดังนั้นซูเฉี่ยนเยว่และหวงหรูซื่อจึงเป็นคุณหนูที่มาจากตระกูลร่ำรวย คาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่เกิด จะไปรู้ถึงความทุกข์ยากของชาวบ้านได้อย่างไร ตามความเข้าใจของพวกนาง ของดีก็คือของที่พวกนางกิน หากของที่ไม่อร่อย พวกนางก็ไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง
กู้เสี่ยวหวานเห็นท่าทางรังเกียจของพวกนางก็ยิ้มและไม่ได้ขอให้พวกนางลองชิม
อย่างไรเสียพวกนางจะกินหรือไม่กินนั้นก็ไม่สำคัญ ของดีเช่นนี้ ราคานั้นแพงมากจนขาดตลาด พวกนางไม่กิน ตัวเองก็กินให้หมดเลยแล้วกัน
อย่างไรก็ตาม อาหารจานเล็ก ๆ เมื่อครู่นี้ ดูเหมือนว่าหลี่ฝานจะใส่เพิ่มเข้าไปอีกครึ่งหนึ่ง ตัวเองก็กินจานนี้จานเดียวแล้วก็กินอาหารจานผักอีกก็คงจะอิ่มแล้ว
กู้เสี่ยวหวานไม่สนใจพวกนางทั้งสองอีกและเริ่มกินอาหารอย่างเงียบ ๆ
ซูเฉี่ยนเยว่และหวงหรูซื่อมองดูกู้เสี่ยวหวานกินด้วยความเอร็ดอร่อยอย่างตกตะลึง เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า พูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ
เมื่อครู่นี้หวงหรูซื่อยังเหน็บแนมกู้เสี่ยวหวานว่าไม่มีมารยาทในการรับประทานอาหาร แต่จากการสังเกตครั้งนี้กลับพบว่าหญิงสาวชนบทผู้นี้ไม่มีมารยาทเสียที่ไหนกัน
ท่าทางการเคลื่อนไหวยามที่กู้เสี่ยวหวานกินนั้นยังดูสูงส่งมากกว่านางและซูเฉี่ยนเยว่เสียอีก
มือขวาจับตะเกียบ มือซ้ายวางเบา ๆ ที่ข้างขอบโต๊ะ แผ่นหลังตั้งตรงเหมือนกับต้นสน ท่าทางนั้นดูสง่างาม ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายแห่งอำนาจออกมา
มือขวาคีบของแล้วค่อย ๆ วางลงไปในหม้อโดยที่น้ำแกงนั้นไม่กระเด็นเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่รออาหารในหม้อสุกแล้ว ก็เห็นนางถือตะเกียบเมื่อคู่นี้ไปที่หม้ออีกครั้งเพื่อคีบของออกมาวางใส่ไว้ในจานตรงหน้า จากนั้นก็คีบสิ่งที่ตัวเองอยากกินใส่เข้าไปใหม่ ค่อย ๆ วางตะเกียบในมือลงและหยิบตะเกียบบนจานขึ้นมา แล้วก้มหน้ากินเข้าไป
วันนี้กู้เสี่ยวหวานหวีผมอย่างเรียบร้อย เมื่อก้มหน้าลง นอกจากผมสั้นบนหน้าผากที่อยู่ข้างหน้าแล้วก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด ผมที่เหลือทั้งหมดนั้นก็ถูกรวบอยู่ด้านหลังศีรษะอย่างเรียบร้อย สำหรับนางที่ก้มหน้าทานอาหารนั้นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใด ๆ เลย
ช่วงเวลาที่ก้มหน้าลงนั้น โครงหน้าเมล็ดแตงโมที่ขาวราวกับหยก ใบหน้านั้นขาวเนียนเหมือนกับไข่ที่ถูกปอกเปลือกออก สันจมูกเล็ก ๆ ที่งดงาม หน้าผากที่ราบเรียบอิ่มเอิบ สันกรามที่โค้งมนเล็กน้อย ดวงตาที่เรียวยาว ภายใต้ไอหมอกนั้น ความงดงามอันเงียบสงบนั้นราวกับถูกแต่งแต้มเหมือนกับภาพวาด
เมื่อเห็นนางใช้ตะเกียบทั้งสองคู่แตกต่างกัน ซูเฉี่ยนเยว่ก็ถามอย่างแปลกใจว่า “เสี้ยนจู่อันผิง ทำไมเจ้าถึงใช้ตะเกียบทั้งสองคู่แตกต่างกันเล่า”
หวงหรูซื่อเองแสดงสีหน้าแปลกใจพลางมองดูกู้เสี่ยวหวาน สีหน้าท่าทางเองก็แสดงออกมาเหมือนกับจะบอกว่า เจ้าไม่กลัวว่ามันจะยุ่งยากเกินไปหรือ?
กู้เสี่ยวหวานเห็นพวกนางทำหน้าไม่เข้าใจ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าหากทำเช่นนี้ก็จะยิ่งสะอาดมากขึ้นไม่ใช่หรือ”
หวงหรูซื่อและซูเฉี่ยนเยว่ร้องอ๋อ แล้วก็หยิบตะเกียบเพิ่มขึ้นมาอีกคู่โดยไม่รู้ตัว เลียนแบบท่าทางของกู้เสี่ยวหวานที่กำลังลวกเนื้อในหม้อไฟขึ้นมา
ระหว่างนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยปากอีก นอกจากเสียงปะทุของเตาถ่านที่ดังเป็นบางครั้ง เสียงเดือดของน้ำแกงในหม้อ และเสียงเคี้ยวอาหารของทั้งสามคน
รอจนกินหม้อไฟเสร็จแล้ว ในห้องก็เต็มไปด้วยกลิ่นอบอวลของหม้อไฟ หลังจากกินอาหารเสร็จก็กินผลไม้ต่อ กู้เสี่ยวหวานกินเพียงแค่สองชิ้น หลังจากนั้นก็ไม่ได้กินอีก
การกินผลไม้ทันทีหลังอาหารนั้นไม่ดีต่อการย่อยอาหาร นางไม่มีนิสัยความเคยชินเช่นนี้มาหลายปีแล้ว
เมื่อซูเฉี่ยนเยว่เห็นกู้เสี่ยวหวานกินผลไม้แค่สองชิ้นก็ไม่กินอีกก็แปลกใจเล็กน้อย “เสี้ยนจู่อันผิง ผลไม้นี้เย็นและหวาน หลังจากกินหม้อไฟแล้ว เมื่อกินสิ่งนี้จะทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น เจ้าไม่กินเพิ่มอีกสักหน่อยหรือ”
กู้เสี่ยวหวานส่ายหัวพูดว่า “ขอบคุณคุณหนูซูแล้ว หลังกินอาหาร ปกติแล้วข้าไม่มีนิสัยที่ชอบกินผลไม้”
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว คุณหนูซู เสี้ยนจู่อันผิงมาจากทุ่งนาในชนบท กลัวว่าเดิมทีแม้แต่ข้าวนางก็คงกินไม่อิ่ม จะมามีผลไม้ให้กินหลังกินข้าวได้อย่างไรกัน” หวงหรูซื่อพูดจาถากถาง นางมองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างยั่วยุพลางคีบผลไม้เอามาใส่ในปากด้วยสีหน้าที่ลำพองใจ
กู้เสี่ยวหวานไม่สนใจนาง ทุกครั้งที่หวงหรูซื่อเอ่ยคำพูดก็มักจะคอยถากถางตัวเองตลอด ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะยังมีอคติต่อตัวเองอยู่มาก
ในเวลานี้จู่ ๆ ก็มีเสียงดังมาจากด้านนอก ซึ่งเป็นจังหวะที่ลูกน้องเข้ามาทำความสะอาดและเปิดประตูพอดี เสียงที่คุ้นเคยนั้นก็ดังทะลุผ่านเข้ามา