ยามที่ดวงจันทร์ทอแสงกระจ่างดวงดาวบางตา คนทั้งสองก็มาถึงตีนเขาของภูเขามีชื่อเสียงทางทิศตะวันตกลูกหนึ่งของแคว้นหนันเยวี่ยน
เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ พูดอย่างกระเหี้ยนกระหือรือว่า “โยนข้าขึ้นไป?”
ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “ควรจะเดินได้แล้ว เป็นบัณฑิต ตามหลักก็ควรจะเคารพขุนเขา”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “ก็จริงนะ”
พื้นที่ที่เป็นขุนเขาของแคว้นหนันเยวี่ยน แน่นอนว่าในประวัติศาสตร์ย่อมไม่มีเรื่องราวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และวิญญาณที่แท้จริงอะไร แต่เรื่องเล่าลือในประวัติเกร็ดพงศาวดารอาจมีอยู่ไม่น้อย
แต่ตอนนี้กลับบอกได้ยากแล้ว
ชุยเฉิงพาเผยเฉียนขึ้นมาบนภูเขา เดินขึ้นไปบนบันได หีบไม้ไผ่ใบเล็กของเผยเฉียนกระเด้งไปตามการเดิน นางใช้ไม้เท้าเดินป่าเคาะขั้นบันไดเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ค่อนข้างเหมือนขั้นบันไดของภูเขาลั่วพั่วเรานะ”
ชุยเฉิงกล่าว “ทัศนียภาพใต้หล้านี้ หากไม่มองอย่างละเอียดก็มักจะเหมือนกัน”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ ตัดสินใจแล้วว่าจะจดจำคำพูดประโยคนี้เอาไว้ ในอนาคตสามารถเอาออกมาโอ้อวดได้ จะได้เอาไว้หลอกเจ้าโง่น้อยโจวหมี่ลี่นั่น
ชุยเฉิงเดินขึ้นเขาเนิบช้า กวาดตามองไปรอบด้าน ท่องกลอนบทหนึ่งขึ้นมาว่า “ต้นหญ้าพันขุนเขาไหวเพยิบดุจเกล็ดเกราะ ต้นสนหมื่นหุบเขาทอดยาวเป็นสาย เรื่องประหลาดชวนให้ผู้เฒ่าร้อยปีตกใจ”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “เป็นกลอนที่ดี!”
ชุยเฉิงคลี่ยิ้ม “เจ้าเข้าใจรึ?”
เผยเฉียนยิ้มกว้าง “ข้าพูดแทนอาจารย์”
ชุยเฉิงหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ
มาถึงยอดเขา มีอารามเต๋าแห่งหนึ่งที่ประตูใหญ่ปิดสนิท ชุยเฉิงไม่ได้เคาะประตู เพียงแค่พาเผยเฉียนเดินวนไปรอบด้าน ไล่ดูแผ่นป้ายศิลาหรือไม่ก็ตัวอักษรที่สลักไว้บนหินผา ชุยเฉิงทอดสายตามองไปยังทิศไกล พูดอย่างสะท้อนใจว่า “มหาปราชญ์เคยกล่าวว่า ชะตาคนอยู่ที่หยวนชี่ ชะตาแคว้นอยู่ที่ใจคน มีเหตุผล มีเหตุผลจริงๆ …”
เผยเฉียนหันหน้ามามองผู้เฒ่า ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่าผู้เฒ่าเคยบอกว่าตัวเองคือบัณฑิต
คนทั้งสองเดินเท้าลงจากภูเขา หากเดินลงไปอีกก็จะมีหมู่บ้านชนบท มีเมืองเล็ก มีทางหลวงจุดพักม้า
ระหว่างทางเจอคนมากมาย สามสำนักเก้าสาขา ส่วนใหญ่ล้วนเดินสวนไหล่ผ่านกันไป ไม่มีคลื่นมรสุมอะไร
วันนี้คนทั้งสองมานั่งอยู่ในร้านน้ำชาข้างทางร้านหนึ่ง เผยเฉียนจ่ายเงินซื้อน้ำชาเย็นๆ มาสองถ้วยใหญ่
เผยเฉียนถักงอบไม้ไผ่สานให้ตัวเองใบหนึ่ง
ตรงเอวห้อยเตาเจี้ยนฉว่อ สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็ก สวมงอบไม้ไผ่ ข้างโต๊ะวางไม้เท้าเดินป่า มองดูแล้วน่าขันอยู่ไม่น้อย
มีเหล่าจอมยุทธในยุทธภพกลุ่มหนึ่งพลิกตัวลงจากหลังม้าเตรียมมานั่งลงที่โต๊ะด้านข้าง เผยเฉียนจึงเริ่มตื่นตระหนก นางที่เดิมทีนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้เฒ่าจึงแอบขยับมานั่งบนม้ายาวด้านข้างผู้เฒ่า
เหลือบมองชาวยุทธที่แท้จริงกลุ่มนั้นเร็วๆ ครั้งหนึ่ง แล้วเผยเฉียนก็กดเสียงต่ำถามผู้เฒ่า “รู้หรือไม่ว่าคนที่ท่องอยู่ในยุทธภพจำเป็นต้องมีของสิ่งใดบ้าง?”
ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “ไหนลองว่ามาสิ”
เผยเฉียนพูดเสียงเบา “ทองกำใหญ่ ม้าตัวสูงใหญ่ ดาบอาคมที่ตัดเหล็กได้เหมือนตัดดินโคลน อีกอย่างก็คือฉายาในยุทธภพที่โด่งดัง อาจารย์บอกว่าเมื่อมีของพวกนี้แล้วไปท่องอยู่ในยุทธภพ ไม่ว่าเดินไปที่ไหนก็ล้วนได้รับการต้อนรับ”
จู่ๆ เผยเฉียนก็รู้สึกอารมณ์ดี “วันหน้าข้าไม่ต้องการม้าสูงใหญ่อะไรแล้ว อาจารย์เคยรับปากข้าว่า รอวันใดที่ข้าออกท่องยุทธภพ เขาจะซื้อลาตัวเล็กให้ข้า”
ชุยเฉิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
คนในยุทธภพที่พกดาบกลุ่มนั้นมานั่งอยู่ด้านข้าง คนหนึ่งในนั้นไม่ได้นั่งลงทันที แต่ยื่นมือมากดงอบบนศีรษะเล็กๆ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ถ่านดำน้อยนี่มาจากไหนกัน โอ้โห ยังเป็นจอมยุทธหญิงน้อยด้วย? พกทั้งดาบทั้งกระบี่ น่าเกรงขามนัก”
คนผู้นั้นยื่นมือมากดลงบนศีรษะของเผยเฉียนหนักๆ “ไหนบอกมาสิว่าเรียนรู้มาจากใคร?”
ชุยเฉิงทำเพียงแค่ดื่มชา
เผยเฉียนหน้าซีดขาว ไม่เอ่ยคำใด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆ พูดอย่างขลาดๆ ว่า “เรียนรู้มาจากอาจารย์”
คนในยุทธภพผู้นั้นยิ้มพลางก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ยกเท้าขึ้นเตะหีบไม้ไผ่ของนังหนูที่สวมงอบ “ท่องอยู่ในยุทธภพแล้ว เหตุใดยังสะพายหีบหนังสือผุๆ ใบนี้มาอีก?”
เผยเฉียนอยากจะเปิดปากขอร้องชุยเฉิง คิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าจะยิ้มกล่าวว่า “จัดการเอาเอง”
เผยเฉียนเช็ดเหงื่อบนใบหน้า เห็นว่าคนผู้นั้นยังจะเพิ่มน้ำหนักเตะหีบไม้ไผ่ด้านหลังตนอีกที เผยเฉียนจึงลุกขึ้นยืน ขยับเท้าหลบ ยื่นมือออกไปตามจิตใต้สำนึก ไม้เท้าเดินป่าอันนั้นก็ลอยเข้ามาอยู่ในมือ
คนผู้นั้นเตะโดนความว่างเปล่า เพิ่งจะรู้สึกว่าตัวเองเสียหน้า ความอับอายกำลังจะพานเป็นความโกรธ แต่พอเห็นเจ้าถ่านดำน้อยบังคับวัตถุให้ลอยขึ้นมากลางอากาศก็เริ่มมีเหงื่อผุดมาตรงหน้าผาก พยายามขึงดึงหน้าตาที่ไม่เป็นมิตรให้ดูมีเมตตาอ่อนโยน จากนั้นก็ก้มหัวค้อมเอว ถูมือยิ้มแห้งเอ่ยว่า “จำคนผิดแล้วๆ”
เผยเฉียนคิดแล้วก็นั่งกลับลงไปที่เดิม
ชุยฉานยิ้มถาม “ไม่กล้าเอาคืนรึ?”
เผยเฉียนส่ายหน้า พูดอย่างอัดอั้นว่า “แรกเริ่มกลัวว่าเขาจะเตะหีบไม้ไผ่พัง เมื่อครู่เห็นว่าเขายกเท้าเตะออกไป ข้าก็ยิ่งกลัวว่าหากไม่ระวัง จะต่อยทะลุหน้าอกเขาด้วยหมัดเดียว”
ชุยเฉิงถามอีก “เจ้าจะกลัวเรื่องพวกนี้ทำไม? หรือว่าไม่ควรเป็นอีกฝ่ายที่ต้องกลัวเจ้า?”
เผยเฉียนยังคงส่ายหน้า “อาจารย์เคยบอกว่า ท่องอยู่ในยุทธภพไม่ได้มีเพียงแค่บุญคุณความแค้น หรือการต่อสู้ฆ่าฟันอย่างสาแก่ใจ เวลาเจอเรื่องเล็กๆ หากสามารถเก็บหมัดไว้ได้ นั่นต่างหากจึงจะแสดงว่าความสามารถของคนฝึกวรยุทธถึงประตูแล้ว”
ชุยเฉิงหัวเราะทันใด
ไม่รู้ว่าหัวเราะเยาะคำพูดใหญ่โตของแม่นางน้อย หรือหัวเราะคำกล่าวบ้านๆ ของเมืองเล็กที่บอกว่า ‘ถึงประตู’ (เปรียบเปรยว่าถึงแก่น/ชำนาญ/เชี่ยวชาญ) นี่กันแน่
ชุยเฉิงดื่มน้ำชาในถ้วยหมดแล้วก็เอ่ยว่า “เจ้ามีทรัพย์สมบัติเป็นเงินแค่ไม่กี่แดง โยนเหรียญทองแดงออกไปเหรียญหนึ่ง แน่นอนว่าต้องกลัดกลุ้มกังวลใจ รอจนเจ้ามีเงินเทพเซียนกองใหญ่เมื่อไหร่ แล้วโยนเงินออกไปอีก…”
เผยเฉียนพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ต้องไปตามเก็บมาให้ครบ!”
พูดเป็นเรื่องตลกไปได้ ไหนเลยจะมีหลักการที่ว่าโยนเงินไปแล้วไม่เก็บกลับคืน
อาจารย์เคยบอกว่าเหรียญทองแดงทุกเหรียญที่อยู่ในกระเป๋าเงินของตัวเอง หากหายไป ก็คือแมลงน่าสงสารที่ไร้บ้านให้กลับ
เผยเฉียนเห็นว่าผู้เฒ่าไม่เอ่ยอะไรก็กล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ลองเปลี่ยนเหตุผลดูไหม แล้วข้าจะรับฟัง”
ชุยเฉิงหัวเราะฮ่าๆ “อาจารย์ผู้เฒ่าก็มีช่วงเวลาที่กล่าวคำพูดเก่าๆ จนหมด ใช้เหตุผลเก่าๆ จนสิ้นเหมือนกัน”
เผยเฉียนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ลองคิดดูอีกหน่อย?”
ชุยเฉิงส่ายหน้า “ไม่คิดแล้ว”
พวกคนที่อยู่โต๊ะข้างๆ ไม่คิดจะดื่มชาแล้ว ขึ้นหลังม้าได้ก็ควบทะยานจากไปทันที
ดูท่าจะมีธุระเร่งด่วนจริงๆ
ชุยเฉิงพาเผยเฉียนออกเดินทางต่ออีกครั้ง เขามองไปยังทิศไกล ยิ้มกล่าวว่า “ตามไป ไปพูดความรู้สึกในใจกับพวกเขา พูดอะไรก็ได้”
เผยเฉียนรู้สึกลังเลเล็กน้อย
ชุยเฉิงโบกมือ
เผยเฉียนจึงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง จับประคองงอบ แล้วเริ่มชักเท้าวิ่งตะบึง จากนั้นก็เริ่มครุ่นคิดอย่างละเอียดว่าตนควรพูดอย่างไรถึงจะดูสมเหตุสมผลและมีมารยาท ครู่หนึ่งต่อมา เผยเฉียนที่วิ่งได้เร็วกว่าฝีเท้าม้าก็ไล่ตามไปทันหนึ่งคนหนึ่งม้านั้น
นางค่อยๆ ชะลอฝีเท้า แหงนหน้าพูดกับชายฉกรรจ์บนหลังม้าที่ท่าทางเหมือนบิดาตายคนนั้น “ท่องอยู่ในยุทธภพ ต้องมีคุณธรรม!”
เห็นว่าคนผู้นั้นมีสีหน้าอึ้งงัน
เผยเฉียนก็เพิ่มน้ำหนักเสียงถามเสียงดัง “จำได้แล้วหรือยัง?”
คนผู้นั้นพูดเสียงสั่น “จำได้แล้ว!”
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แม้แต่สหายคนอื่นๆ ในยุทธภพของเขาก็ยังอดไม่ไหวพากันตอบคำถามตามไปด้วย
เผยเฉียนได้รับคำตอบแล้วก็พลันหยุดยืนนิ่ง รอให้ผู้เฒ่าที่อยู่ด้านหลังตามมาทัน
หลังจากนั้นมาเผยเฉียนกับผู้เฒ่าไปก็เยือนหัวกำแพงเมืองสูงใหญ่ของนครแห่งหนึ่งด้วยกัน
จุดธูปไหว้พระในวัดวาและอารามแห่งต่างๆ ซื้อของอร่อยหลายอย่างจากในตลาด เดินชมร้านหนังสือมากมายของบ้านเกิด เผยเฉียนยังซื้อหนังสือไปฝากพี่หญิงเป่าผิงและหลี่ไหว แน่นอนว่ายังมีพวกสหายบนภูเขาลั่วพั่วที่นางก็ควักกระเป๋าเงินตัวเองซื้อของขวัญไปฝากพวกเขาด้วย น่าเสียดายที่แคว้นหนันเยวี่ยนอันเป็นบ้านเกิดแห่งนี้ เงินเทพเซียนใช้ไม่ได้ผล เห็นเงินเหรียญทองแดงและเม็ดเงินทั้งหลายพากันไปอยู่บ้านคนอื่น เผยเฉียนก็รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
ตอนที่ชุยเฉิงพาเผยเฉียนเดินออกมาจากร้านหนังสือ เขาถามว่า “วางตัวอยู่ในสังคมเลียนแบบอาจารย์ของเจ้าไปเสียทุกเรื่อง ไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อบ้างหรือ?”
เผยเฉียนเดินอาดๆ อยู่บนถนนที่ผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่ “แน่นอนว่าไม่ คนเรามีชีวิตอยู่จะยังเบื่อหน่ายอะไรอีก ทุกวันได้กินอิ่มนอนหลับ ยังจะต้องการอะไรอีก เมื่อก่อนข้าเป็นขอทานอยู่ที่เมืองหลวงหนันเยวี่ยน เสื้อผ้าบนร่างขาดวิ่น แม้แต่ประตูวัดวาอารามก็ยังเข้าไปไม่ได้ น่าสงสารจะตาย ได้แต่ยืนแนบติดกำแพง พยายามจะขอพรจากพระโพธิสัตว์ แต่พวกพระโพธิสัตว์ก็ยังไม่ได้ยิน ตอนที่ควรหิวโหยท้องก็ยังร้องโครกคราก ตอนที่ควรถูกคนซ้อมก็ยังเจ็บปวดจนต้องลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น”
ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “จะคิดแบบนี้ไม่ได้ สุดท้ายพวกพระโพธิสัตว์ก็ได้ยินแล้วไม่ใช่หรือ ให้เฉินผิงอันมายืนอยู่ตรงหน้าเจ้า แล้วยังเป็นอาจารย์ของเจ้าด้วย?”
เผยเฉียนหยุดเท้ากึก ดวงตาแดงก่ำ บอกให้ผู้เฒ่ารอนาง แล้วนางก็วิ่งไปที่วัดในเมืองเพียงลำพัง ไม่เพียงแต่จุดธูปเชิญธูป ยังปลดหีบไม้ไผ่ใบเล็กลงวางไว้ด้านข้าง นางนั่งคุกเข่าลงบนเบาะใต้ฝ่าเท้าพระโพธิสัตว์แล้วโขกหัวดังๆ อยู่หลายที
หลังจากที่คนทั้งสองออกมาจากเมือง ชุยเฉิงก็บอกว่าจะเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนแล้ว
เผยเฉียนพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยอะไร
ริมลำคลองเส้นหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไปไม่ไกล
ชุยเฉิงนั่งอยู่ริมลำธาร เผยเฉียนนั่งยองอยู่ด้านข้างวักน้ำมาล้างหน้า
ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “ยังกลัวเฉาฉิงหล่างผู้นั้นอยู่อีกไหม? หากยังกลัว พวกเราเข้าเมืองช้าหน่อยก็ได้”
เผยเฉียนเงียบงันไม่พูดจา เอาแต่มองฝั่งตรงข้ามอย่างเหม่อลอย
ผู้เฒ่าหยิบหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง แล้วโยนลงลำคลองไปเบาๆ ยิ้มบางเอ่ยว่า “กลัวคนคนหนึ่ง เรื่องเรื่องหนึ่ง อันที่จริงก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ควรกลัวจนถึงขั้นไม่กล้าเผชิญหน้า บัณฑิตศึกษาหาความรู้ หลักการเหตุผลบางอย่างของอริยะปราชญ์ที่เปิดโปงความลับสวรรค์ คนรุ่นหลังทั่วไป สามารถตามได้ทันหรือ? หรือว่าจะไม่ต้องสรรสร้างความรู้กันแล้ว? บทประพันธ์บทกวีที่คนรุ่นก่อนเขียนเอาไว้ หากคนรุ่นหลังได้แต่เบิกตามองเฉย แล้วจะเปรียบเทียบกันได้อย่างไร? หรือว่าจะไม่ต้องเขียนบทประพันธ์แล้ว? สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ในเมื่อเดินอยู่บนเส้นทางแล้ว ชีวิตนี้ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่ายากจะเดินอ้อมออกไปได้ นี่ก็เท่ากับว่าหลอกตัวเองแล้วยังหลอกคนอื่น ได้แต่ทำงานง่ายๆ สบายๆ ข้างตัวที่ยังพอจะทำได้”
ผู้เฒ่าชี้ไปยังทิศไกล “แต่เจ้าต้องรู้ว่าทางฝั่งนั้นมีทัศนียภาพอย่างไรกันแน่ เบิกตากว้างมองให้ละเอียดล่ะ ห้ามกลัวเด็ดขาด หากเจ้าหลบหนีไปซ่อนตัว ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องกลัวไปทั้งชีวิต”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ไม่ใช่ว่าข้าผู้อาวุโสที่เป็นคนนอกพูดจาบั่นทอนกำลังใจ”
ผู้เฒ่ากล่าวต่ออีกว่า “ปีนั้นที่ข้าผู้อาวุโสไปขอศึกษาเล่าเรียน กับภายหลังที่สรรสร้างความรู้อยู่ในห้องหนังสือ ใจของข้าใหญ่เทียมฟ้า ยามที่แข่งขันกับคนอื่นก็ไม่เคยแพ้มาก่อน ภายหลังฝึกวิชาหมัด อยู่ตัวคนเดียว ได้แต่อาศัยสองหมัดออกเดินทางท่องเที่ยวไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ สิ่งที่แสวงหา ก็เหมือนกับตอนที่ไปเรียนต่อและตอนที่ฝึกวิชาหมัด นั่นก็คือคำว่าแม้เผชิญหน้ากับคนนับพันนับหมื่นขัดขวาง ข้าก็ยังบุกรุดหน้าไปอย่างห้าวหาญเช่นที่กล่าวในตำรา”
ผู้เฒ่าพูดอย่างสะท้อนใจ “ยุคสมัยไร้วีรบุรุษ ผู้ไร้นามจึงกลายเป็นผู้มีชื่อเสียง ประโยคนี้น่าเศร้าที่สุด ไม่ได้เศร้าที่ผู้ไร้นามกลายเป็นผู้มีชื่อเสียง แต่เศร้าที่ยุคสมัยไร้วีรบุรุษ ดังนั้นพวกเราจึงอย่าไปกลัวว่าคนอื่นจะมีดีเท่าไร คนอื่นดีมาก ตัวเองก็สามารถดีได้มากกว่า นั่นต่างหากจึงจะเป็นการเติบโตที่แท้จริง”
“สักวันหนึ่งเจ้าเผยเฉียนจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเฉินผิงอัน เจ้าเผยเฉียนก็คือเผยเฉียน แน่นอนว่าเฉินผิงอันยินดีดูแลเจ้าไปตลอด เขาก็เป็นคนแบบนี้ ขุนเขามหานทีเปลี่ยนง่าย สันดานเปลี่ยนยาก บางทีวันหน้าอาจจะยุ่งเรื่องคนอื่นน้อยลง แต่พวกเจ้าที่เป็นญาติเป็นคนสนิทได้มารวมอยู่ข้างกายของเขาแล้ว ก็คือภาระที่เฉินผิงอันต้องแบกรับไปตลอดชีวิต เขาไม่กลัวลำบาก และยังมีความสุขกับการทำเช่นนี้ เรื่องแบบนี้ หากเจ้าคิดจะเกลี้ยกล่อมให้เขาคิดเพื่อตัวเองให้มากหน่อย นั่นก็ไม่ต่างจากเป็ดคุยกับไก่ที่คุยกันไม่รู้เรื่อง หลักการเหตุผล เขารับฟังก็จริง ก็แค่ยากที่จะเปลี่ยนนิสัยก็เท่านั้น”
จากนั้นผู้เฒ่าก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น “ไป ไปเมืองหลวงกัน ข้าจะนำทางเอง!”
หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กเดินทางไปที่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนด้วยกัน ตามกฎเดิม ไม่มีการยื่นเอกสารผ่านด่าน แต่ปีนกำแพงเข้าไปเงียบๆ
ถึงอย่างไรก็เป็นตาเฒ่าชุยที่เป็นคนนำนางทำ ต่อให้อาจารย์รู้ก็คงไม่โกรธมากกระมัง?
เข้ามาในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนที่เผยเฉียนยังคงคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด เผยเฉียนก็ชะลอฝีเท้าให้ช้าลง
ผู้เฒ่าไม่ได้เอ่ยเร่งรัดอะไร
ตอนที่เดินผ่านตรอกจ้วงหยวนเส้นนั้น ผ่านสำนักฝึกยุทธที่ยังคงเปิดทำการ แล้วก็ไปถึงวัดซินเซียง
ฝีเท้าของเผยเฉียนเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน
แต่ในขณะที่เผยเฉียนไม่ได้กลัวมากขนาดนั้นแล้ว ผู้เฒ่ากลับหยุดเท้าอยู่ที่หน้าประตูวัดเล็กที่ไม่มีคนเดินเข้าออก
เผยเฉียนอยากจะตามเข้าไป ชุยเฉิงกลับส่ายหน้าเอ่ยว่า “ระยะทางช่วงสุดท้ายนี้ เจ้าควรเดินไปด้วยตัวเอง”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง หมุนตัวกลับได้ก็เดินจากไปทันที นางเดินเลียบถนนใหญ่มุ่งหน้าไปยังตรอกเล็กเส้นนั้นเพียงลำพัง
ผู้เฒ่ามองแผ่นหลังเล็กผอมบางนั้นอยู่ตลอดเวลา เขาคลี่ยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าไปในวัด แต่ไม่ได้จุดธูป สุดท้ายไปนั่งอยู่ในระเบียงที่เงียบสงบไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง
……
มาถึงตรอกเล็ก เผยเฉียนสังเกตเห็นว่าประตูปิดสนิท นางจึงนั่งอยู่บนขั้นบันไดนอกประตู
นั่งรอจนกระทั่งถึงช่วงสายัณห์ ถึงได้มีเด็กหนุ่มสวมชุดเขียวคนหนึ่งเดินเข้ามาในตรอก
เผยเฉียนลุกขึ้นยืน มองมาทางเขา
เผยเฉียนเอ่ยเนิบช้าว่า “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เฉาฉิงหล่าง”
เฉาฉิงหล่างยิ้มกล่าว “สวัสดี เผยเฉียน”
จากนั้นเฉาฉิงหล่างก็เปิดประตูพลางหันหน้ามาถาม “ครั้งก่อนเจ้าจากไปอย่างรีบร้อน ยังไม่ทันได้ถามเจ้าว่าท่านเฉินเป็นอย่างไรบ้าง…”
เผยเฉียนมีโทสะทันใด หลุดปากพูดออกไปว่า “ทำไมเจ้าถึงได้กวนโอ้ยชวนเตะขนาดนี้?”
เฉาฉิงหล่างหลุดหัวเราะพรืด
เขารู้สึกกลัวนางอยู่นิดๆ จริงๆ
เผยเฉียนมองเขา
เฉาฉิงหล่างถามอย่างสงสัย “มีอะไรหรือ?”
เผยเฉียนก้าวยาวๆ เข้าไปในลานบ้าน หยิบม้านั่งเล็กตัวหนึ่งที่คุ้นเคยดีออกมานั่ง “เฉาฉิงหล่าง ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้าสักหน่อย!”
เฉาฉิงหล่างยิ้มพลางนั่งลง
บนม้านั่งตัวเล็กสองตัว คือคนรู้จักสองคนที่ต่างก็อายุไม่มากทั้งคู่
……
ในระเบียงของวัดซินเซียง ชุยเฉิงหลับตาลง เงียบงันอยู่นานคล้ายกำลังรอคอยคำตอบจากการพบกันอีกครั้งในตรอกเล็กแห่งนั้น แล้วเขาถึงจะวางใจได้
เพียงแต่ว่ายิ่งนานสีหน้าของชุยเฉิงก็ยิ่งแสดงความเหนื่อยล้า หลังจากที่เผยเฉียนจากไป เขาก็ไม่ได้ปกปิดความแก่ชราของตัวเองไว้อีก
ระหว่างนี้มีภิกษุคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ชุยเฉิงเพียงแค่ยิ้มพลางส่ายหน้าให้ ภิกษุจึงคลี่ยิ้มยกมือพนมสิบนิ้ว ก้มหน้าแล้วหมุนตัวเดินจากไป
ชุยเฉิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิมตลอดเวลา ดูเหมือนว่าในที่สุดก็วางเรื่องในใจลงได้แล้ว มือสองข้างของเขาทับซ้อนกันเบาๆ สายตาเลื่อนลอย เนิ่นนานต่อมาจึงปิดตาลง พึมพำว่า “มีความหมายที่แท้จริงของชีวิตอยู่ในนี้ อยากอธิบายแต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร”