สวี่รั่วเอ่ยเนิบช้า “ใต้หล้านี้ไม่มีจักรพรรดิองค์ใดที่สองมือสะอาด หากใช้แค่คุณธรรมความเมตตาที่บริสุทธิ์ไปช่างน้ำหนักผลได้ผลเสียของจักรพรรดิท่านหนึ่ง ก็ย่อมไม่ได้ผลลัพธ์ที่ยุติธรรมและเหมาะสม เกี่ยวกับแผ่นดินและอาณาประชาราษฎร์ ความสงบสุขปลอดภัยของชาวบ้าน เมธีร้อยสำนักอย่างพวกเรา ต่างคนต่างก็มีไม้บรรทัดอยู่เล่มหนึ่ง แน่นอนว่าต้องมีความแตกต่างน้อยใหญ่ที่ไม่เหมือนกัน เจ้าจิ้นชิงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่จิตใจดีงามกลับไม่เคยสูญสิ้นไป ในสายตาของข้า เจ้าคู่ควรแก่การเคารพอย่างยิ่ง”
สวี่รั่วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เพียงแต่ว่าเรื่องราวทางโลกซับซ้อน ย่อมต้องมีเรื่องที่ขัดต่อความรู้สึกตัวเองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ข้าจะไม่โน้มน้าวเจ้าว่าควรจะต้องทำอะไร รับปากเว่ยป้อก็ดี ปฏิเสธความหวังดีของเขาก็ช่าง เจ้าก็ยังถือว่าคู่ควรกับสถานะซานจวินของภูเขาเช่อจื่ออยู่ดี แต่หากยินดี ก็คงถึงเวลาที่ข้าควรจะออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้แล้ว แต่ถ้าเจ้าไม่อยากกล้ำกลืนความเป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าของทุกฝ่าย ข้าก็ยินดีจะปล่อยกระบี่ที่สมบูรณ์แบบทำลายร่างทองของเจ้าให้แหลกละเอียด จะไม่ยอมให้คนอื่นมาหยามเกียรติเจ้าจิ้นชิงและภูเขาเช่อจื่ออีกเด็ดขาด”
จิ้นชิงหันหน้ามายิ้มกล่าว “กระบี่ที่ออกจากฝักอย่างสมบูรณ์ของเจ้าสวี่รั่ว มีพลังพิฆาตมากนักหรือ?”
สวี่รั่วพยักหน้ารับ “หล่อเลี้ยงกระบี่มานานหลายปี พลังพิฆาตสูงยิ่ง”
จิ้นชิงถึงกับหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนให้คนอื่นมารับกระบี่นี้แทนเถอะ ภูเขาเช่อจื่อของข้าแบกรับไม่ไหว”
สวี่รั่วลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเตือนว่า “ไปเยี่ยมเยือนภูเขาพีอวิ๋น ของขวัญไม่ต้องชิ้นใหญ่มากก็ได้”
จิ้นชิงด่าขำๆ “ที่แท้ก็เป็นพวกตะเภาเดียวกัน!”
สวี่รั่วกุมหมัดยิ้มกล่าว “มารบกวนอยู่ที่นี่นานแล้ว หากไปถึงเมืองหลวงก็จำไว้ว่าไปทักทายกันสักหน่อย ข้าจะเลี้ยงเหล้าซานจวินเอง”
จิ้นชิงพยักหน้ารับ จากนั้นก็ถามว่า “แรกเริ่มสุดท่านสวี่ก็จงใจมาเยือนภูเขาเช่อจื่อของข้าอยู่แล้วงั้นหรือ?”
สวี่รั่วหยุดเดิน กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เจ้าและข้าอยู่ที่นี่ ถึงอย่างไรก็เพื่อให้มีคนตายน้อยลง แต่หากเจ้าอยากจะซักถามว่าเหตุใดสำนักโม่ของพวกเราถึงได้เลือกต้าหลี ปล่อยให้คนในแจกันสมบัติทวีปต้องตายไปมากมายขนาดนี้ ตอนนี้ข้ายังไม่มีคำตอบให้เจ้า แต่ขอซานจวินโปรดรอฟังคำตอบให้ดี”
จิ้นชิงจึงไม่เอ่ยอะไรอีก
สวี่รั่วไม่ได้ย้อนกลับไปที่ยอดเขาเฟิงหลง แต่ไปจากภูเขาเช่อจื่อด้วยการทะยานลมมุ่งตรงไปยังเมืองหลวงต้าหลีที่อยู่ทิศเหนือทันที
เขาไม่ค่อยชอบขี่กระบี่
เพราะสวี่รั่วคิดมาโดยตลอดว่า กระบี่กับผู้ฝึกกระบี่ควรจะทัดเทียมกัน
เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบของราชวงศ์จูอิ๋งที่ปิดด่านมานานหลายปีคนนั้นพยายามจะลอบสังหารเฉาผิงทูตผู้ตรวจตราคนใหม่ของต้าหลี ทว่ายังไม่ทันขยับตัวก็ต้องตายแล้ว
อันที่จริงอีกฝ่ายไม่ต้องตายก็ได้ เพราะสวี่รั่วเพียงแค่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น
ทว่าต่อให้กำลังจะตายผู้เฒ่าแก่ชราที่ปิดด่านร้อยปีแต่ก็ยังไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขตได้คนนั้นกลับไม่ยินดีตกเป็นนักโทษ ยิ่งไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อสกุลซ่งที่เป็นศัตรูคู่แค้น เป็นเหตุให้หลังจากกระบี่หักแล้วก็ไม่เหลือโอกาสชนะอีก ได้แต่ยืนรอความตายเท่านั้น แต่กระนั้นเขาก็ยังยิ้มกล่าวว่าแรกเริ่มที่วางแผนคิดทำเช่นนี้ก็รู้อยู่แล้วว่าตัวเองต้องตาย สามารถตายด้วยน้ำมือของสวี่รั่วมือกระบี่อันดับหนึ่งของสำนักโม่ก็ถือว่าไม่ขาดทุนเกินไปนัก
สวี่รั่วจึงบอกความจริงแก่เขาเรื่องหนึ่งว่า
พื้นที่ของหนึ่งทวีป จักรพรรดิเสนาบดี อ๋องโหวขุนนาง นายพรานพ่อค้าหาบเร่ล่างภูเขา ล้วนต้องตายกันอย่างสิ้นซาก แสงสนธยาล่างภูเขาไม่มีควันไฟหุงหาอาหารอีก
หลังจากได้ยินประโยคนี้ ก่อนตายผู้เฒ่าจึงมีเพียงความกลัดกลุ้มทุกข์ใจ
……
เผยเฉียนนั่งอยู่บนม้านั่ง กวาดตามองไปรอบด้าน เรือนหลังเล็กยังคงเป็นเหมือนเดิมจนเผยเฉียนเกือบจะเกิดภาพลวงตานึกว่าตนเองกับเฉาฉิงหล่างยังคงเป็นอย่างในปีนั้น ตนก็แค่ถูกอาจารย์ขอให้ออกมาตักน้ำที่บ่อน้ำ จากนั้นพอตนออกจากบ้านมาก็ได้มาเจอกับเฉาฉิงหล่าง เพียงแค่นี้เท่านั้น
กลอนคู่ที่แปะอยู่หน้าประตูบ้าน ก่อนหน้านี้ตอนที่รอเฉาฉิงหล่างอยู่ด้านนอก นางอ่านไปแล้วร้อยรอบ ตัวอักษรเขียนได้ดี แต่กลับไม่ได้ดีจนถึงขั้นทำให้นางรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้
เฉาฉิงหล่างมองเด็กหญิงตัวดำเกรียมผู้นี้ อันที่จริงเขามีคำถามมากมายอยากถามนาง เหตุใดไปอยู่ข้างนอกมานานหลายปีขนาดนั้น ตัวของนางถึงยังไม่สูงขึ้นสักที ตอนนี้หากพูดกันแค่ด้านส่วนสูงของทั้งสองฝ่าย คนทั้งสองก็ต่างกันถึงหนึ่งช่วงศีรษะ แล้วเหตุใดจู่ๆ เผยเฉียนถึงได้สะหายหีบไม้ไผ่ ห้อยดาบไม้ไผ่กระบี่ไม้ไผ่ ชีวิตที่ออกท่องทัศนาจรอยู่ด้านนอกของท่านเฉินยังสบายดีอยู่หรือไม่?
หลังจากที่เผยเฉียนปลดหีบไม้ไผ่วางไว้ด้านหลัง เอาไม้เท้าเดินป่าพาดขวางไว้บนหัวเข่า นางก็นั่งตัวตรงอย่างสำรวม สายตาจ้องมองไปเบื้องหน้า ไม่มองเฉาฉิงหล่าง แล้วก็เริ่มพูดเข้าประเด็นว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า ปีนั้นแท้จริงแล้วอาจารย์ของข้าอยากพาเจ้าออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวมากกว่า ไม่ยินดีจะพาข้าออกไปด้วยแม้แต่น้อย”
เฉาฉิงหล่างลังเลอยู่เล็กน้อย เขาไม่ได้รีบตอบคำถาม แต่ยิ้มบางๆ ย้อนถามนางว่า “ท่านเฉินรับเจ้าเป็นลูกศิษย์แล้วหรือ?”
ดวงตาของเผยเฉียนฉายประกายระยิบระยับดุจแสงตะวันจันทรา นางพยักหน้าพลางพูดเสียงหนักแน่น “ใช่! ข้ากับอาจารย์เดินทางผ่านพันภูเขาหมื่นแม่น้ำมาด้วยกัน อาจารย์ก็ยังไม่เคยทอดทิ้งข้า!”
มือสองข้างของเฉาฉิงหล่างกำเป็นหมัดเบาๆ วางไว้บนหัวเข่า รอยยิ้มของเขาอ่อนโยน “แม้จะเสียดายมากที่ท่านเฉินไม่ได้พาข้าออกไปจากที่นี่ แต่ข้ารู้สึกว่าการที่เจ้าได้ติดตามท่านเฉินเดินทางไกลหมื่นลี้ เป็นเรื่องที่งดงามมากเรื่องหนึ่ง ข้าอิจฉาเจ้ามาก”
เผยเฉียนเงียบงันไม่ต่อคำ
เฉาฉิงหล่างหันหน้ามาถาม “ตอนนี้หากท่านเฉินใช้ให้เจ้าไปตักน้ำ เจ้าจะยังหิ้วถังน้ำพลางสาดน้ำล้างถนนเหมือนเดิมไหม?”
เผยเฉียนหันขวับกลับมา กำลังจะระเบิดโทสะ แต่กลับเห็นรอยยิ้มในดวงตาของเฉาฉิงหล่างเสียก่อน นางจึงรู้สึกว่าดูเหมือนตนจะมีวรยุทธเลิศล้ำไว้เสียเปล่า สองหมัดหนักร้อยจิน แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับปุยนุ่นกลุ่มหนึ่ง ออกแรงแค่ไหนอีกฝ่ายก็ไม่รู้สึกรู้สา จึงแค่นเสียงเย็นในลำคอหนึ่งที ยกสองแขนกอดอก “คนโง่อย่างเจ้าจะเข้าใจกับผายลมอะไร ตอนนี้ข้าได้เรียนรู้วิชาความสามารถจากอาจารย์มานับพันนับหมื่นอย่าง ไม่เคยเกียจคร้านเลยสักนิด ทุกวันไม่เพียงแต่คัดตัวอักษรอ่านตำรา ยังฝึกวรยุทธฝึกวิชาหมัดด้วย อาจารย์จะอยู่หรือไม่อยู่ ข้าก็ยังทำเหมือนเดิม”
เฉาฉิงหล่างแสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง “แบบนี้เองหรือ?”
เผยเฉียนรู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย เหตุใดผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว นางก็ยังไม่ชอบขี้หน้าเฉาฉิงหล่างผู้นี้อยู่อีกนะ อีกทั้งเมื่อเทียบกับเจ้าน้ำเต้าตันที่กลัวหงออย่างในอดีตแล้ว ดูเหมือนว่าเฉาฉิงหล่างในเวลานี้จะใจกล้ามากกว่าเดิมเสียด้วย
ดวงตาเผยเฉียนพลันเป็นประกาย ถามว่า “ลวดลายหน้าผาดุจบุปผาเหล็กแกะสลัก ปราณเย็นผนึกคางคกจำศีล กลอนบทนี้ เคยได้ยินหรือไม่?”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า
ตอนนี้เขาเป็นผู้ฝึกตนครึ่งตัวแล้ว ต่อให้จะอ่านผ่านตาอย่างรวดเร็วก็ไม่มีทางลืมอย่างเด็ดขาด อีกทั้งยังชอบอ่านตำรามาตั้งแต่เด็ก ยิ่งกาลเวลาผ่านพ้น แล้วจ้งชิวผู้เป็นอาจารย์ยังยินดีเอาหนังสือมาให้ตนยืม ตอนที่ใต้หล้าแห่งนี้ยังไม่ถูกแบ่งแยก ท่านลู่ก็มักจะส่งตำราจากนอกพื้นที่มาให้เขาเป็นประจำ ไม่ใช่ว่าเฉาฉิงหล่างชมตัวเอง แต่เขาอ่านตำรามาแล้วไม่น้อยเลยจริงๆ
เผยเฉียนถามอีก “รู้หรือไม่ว่าอักษรเหมี่ยนที่แปลได้ว่าคางคกนั่นเขียนอย่างไร?”
เฉาฉิงหล่างยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาเขียนอักษรหมิ่นกลางอากาศแล้วพูดจ้อว่า “บันทึกในตำราของลัทธิขงจื๊อ เดือนกลางฤดูใบไม้ร่วง (หรือเดือนแปดตามปฏิทินจันทรคติ) ไอเย็นโชติช่วง ไอร้อนลดทอน จึงเรียกว่าปราณเย็น ปราณสังหาร คำว่าวาเหมี่ยนในบทกลอนนี้ก็หมายถึงเสียงกบเสียงคางคก อริยะปราชญ์ในสมัยโบราณมีคำกล่าวว่า ‘ปรบมือตามเสียงกบ’ และข้าเองก็เคยได้ยินอาจารย์ท่านหนึ่งยิ้มกล่าวว่าถ้อยคำที่มาจากกวีนิพนธ์นั้นมีสีสันอัดงดงาม มักจะชอบกล่าวถึงความแข็งแกร่งของเมล็ดซูจื่อ ความอ่อนนุ่มของเมล็ดหลิ่ว ตอนนั้นอาจารย์ท่านนั้นใช้พัดตีฝ่ามือ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า ‘เสียงหัวเราะอันดังของข้า ดีกว่าเสียงกบคางคก เสียงนกแก้วเลียนแบบคนพูดที่ดังหนวกหูมากนัก’”
เผยเฉียนตีหน้าเคร่งอย่างไม่ให้ดูกระโตกกระตาก “ที่แท้เจ้าเองก็รู้เหมือนกันหรือ”
ใจความสำคัญของประโยคนี้อยู่ที่คำว่า ‘เหมือนกัน’
แน่นอนว่าเฉาฉิงหล่างไม่ได้จงใจโอ้อวดความรู้ที่หลากหลายของตัวเอง เขาก็แค่อยากรู้ว่าเผยเฉียนในตอนนี้เป็นคนอย่างไรกันแน่ เขาค่อนข้างจะสงสัยใคร่รู้ เพราะดูเหมือนว่าเผยเฉียนจะเปลี่ยนไปมาก แต่หลายๆ อย่างก็เหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
เผยเฉียนพลันเอ่ยว่า “คราวก่อนที่พบกัน อันที่จริงข้าอยากจะฆ่าเจ้าให้ตาย เพราะข้ากลัวว่าเจ้าจะแย่งอาจารย์ของข้าไป อาจารย์เป็นห่วงและคิดถึงเจ้ามาโดยตลอด ไม่ใช่ความห่วงใยที่พร่ำพูดแต่ปากเท่านั้น นอกจากเวลาดื่มเหล้าที่อาจารย์จะพูดความในใจบ้างแล้ว เวลาที่มากกว่านั้น อาจารย์จะทำเพียงแค่มองไปยังทิศไกลแล้วเหม่อลอยเป็นบางครั้ง สายตาของอาจารย์ในเวลานั้นเหมือนกำลังเอ่ยถ้อยคำบางอย่างเบาๆ เพราะฉะนั้นข้าจึงรู้ว่าอาจารย์คิดถึงเจ้ามาก หวังมาโดยตลอดว่าจะพาเจ้ามาอยู่ข้างกาย เจ้าจะได้ไม่ต้องอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย กลัวว่าเจ้าจะลำบาก”
เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย ข้อนิ้วบนสองมือของนางที่จับไม้เท้าเดินป่าซีดขาว หลังมือมีเส้นเอ็นสีเขียวปูดโปน นางเอ่ยเนิบช้าว่า “ขอโทษนะ!”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับเบาๆ “ข้ายอมรับคำขอโทษจากเจ้า เพราะการที่เจ้าคิดอย่างนั้นเป็นเรื่องที่ผิดจริงๆ แต่เจ้ามีความคิดเช่นนั้น ทว่ากลับหยุดมือ หยุดความคิด สุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือ ข้ารู้สึกว่าดีมากๆ เพราะฉะนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลว่าข้าจะแย่งอาจารย์ของเจ้าไป ในเมื่อท่านเฉินยอมรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ หากวันใดที่เจ้าไม่เหลือความคิดเช่นนี้อยู่แล้ว ถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่ข้าเฉาฉิงหล่างเลย คาดว่าไม่ว่าใครในใต้หล้าใบนี้ก็ล้วนไม่อาจแย่งท่านเฉินไปจากเจ้าได้”
เผยเฉียนพูดเสียงดัง “คือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา ไม่ใช่ลูกศิษย์ธรรมดาทั่วไป!”
เฉาฉิงหล่างกล่าวอย่างระอาใจ “ก็ได้ๆๆ ร้ายกาจๆ”
เผยเฉียนเหล่ตามองเขา พูดเนิบช้าว่า “เจ้าน้ำเต้าตัน เจ้าไม่โกรธจริงๆ หรือ?”
เฉาฉิงหล่างงอข้อศอกสองข้างขึ้นกำมือเบาๆ ทำท่าทางโกรธเคืองมองมาทางเผยเฉียน ราวกับเทพทวารบาลบนประตูของเรือนเล็กที่ถลึงตามองโลกมนุษย์ “ข้าโกรธมาก!”
เผยเฉียนกระตุกมุมปาก “ปัญญาอ่อน”
เฉาฉิงหล่างถาม “ครั้งนี้เจ้ามาแคว้นหนันเยวี่ยนคนเดียวหรือ? ท่านเฉินไม่ได้มาด้วย?”
เผยเฉียนส่ายหน้า พูดอย่างอัดอั้น “มากับตาเฒ่าคนหนึ่งที่สอนวิชาหมัดให้กับข้า พวกเราเดินทางด้วยกันมาไกลมากกว่าจะมาถึงแคว้นหนันเยวี่ยนแห่งนี้”
เฉาฉิงหล่างถามอย่างประหลาดใจ “แล้วท่านผู้เฒ่าเล่า?”
เผยเฉียนหันหน้าไปมองทางวัดซินเซียงอย่างเหม่อลอย ไม่ได้พูดอะไร
ครู่หนึ่งต่อมา
เฉาฉิงหล่างกลับต้องตกใจเล็กน้อย
เพราะเห็นว่าเผยเฉียนที่ตัวสูงขึ้นมานิดหน่อย แล้วก็ไม่ได้ดำเกรียมเป็นถ่านมากเท่าเดิมเผยอปากอ้า ร้องไห้ไม่มีเสียง แต่น้ำตากลับร่วงเผลาะๆ ลงมาไม่ขาดสาย
แล้วทันใดนั้นเผยเฉียนก็ผุดลุกขึ้นยืน เพราะลุกขึ้นอย่างฉุกละหุกเกินไป ไม้เท้าเดินป่าที่วางพาดเข่าจึงกระดอนลงพื้น แต่นางก็ไม่ได้สนใจ ต่อมาพื้นดินของเรือนหลังเล็กก็เกิดเสียงปังสะเทือนไหว ร่างของเผยเฉียนพุ่งหายไปไกลในชั่วพริบตา
เฉาฉิงหล่างเป็นห่วงนางจึงพลิ้วกายทะยานร่างขึ้นราวกับนกโบยบิน ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ของชุดเขียวโบกสะบัด ยืนมองแผ่นหลังผอมบางที่ห่างไปไกลอยู่บนหลังคา
เผยเฉียนมาหยุดอยู่นอกระเบียงของวัดซินเซียง มองผู้เฒ่าที่หลับตาคนนั้นแล้วพูดอย่างเดือดดาล “ตาเฒ่า ห้ามหลับนะ!”
เท้าข้างหนึ่งของเผยเฉียนกระทืบพื้น อีกข้างหนึ่งชักถอยหลัง ตั้งกระบวนท่าหมัดที่เก่าแก่บริสุทธิ์ ร้องตะโกนว่า “ท่านปู่ชุย ลุกขึ้นมาป้อนหมัดข้าสิ!”
เฉาฉิงหล่างยืนอยู่ด้านหลังเผยเฉียน มีภิกษุวัยกลางคนรูปหนึ่งเดินมาหา เฉาฉิงหล่างพนมมือไหว้เอ่ยขออภัย
เจ้าอาวาสของวัดซินเซียงจึงพยักหน้ารับเบาๆ ก้มหน้าพนมมือ ร้องภาษาธรรมหนึ่งคำแล้วจากไปอย่างช้าๆ
เผยเฉียนตั้งท่าหมัดค้างอยู่นาน
เฉาฉิงหล่างเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเผยเฉียน ยื่นมือมากดหมัดของนางลงเบาๆ “ท่านผู้เฒ่าจากไปแล้ว”
เฉาฉิงหล่างค้นพบว่ามือของตนกลับไม่อาจกดหมัดนั้นลงได้แม้แต่น้อย เผยเฉียนพูดกับตัวเองต่อไปว่า “ท่านปู่ชุย อย่าหลับนะ พวกเรากลับบ้านด้วยกัน! ที่นี่ไม่ใช่บ้าน บ้านของพวกเราอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว!”
เฉาฉิงหล่างสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเผยเฉียน จึงได้แต่ใช้ฝ่ามือกดหมัดนั้นของเผยเฉียนลงแรงๆ ตวาดเสียงเบา “เผยเฉียน!”
ปณิธานหมัดที่หลอมรวมอย่างเป็นธรรมชาติบนกายของเผยเฉียนเหมือนถ่านติดไฟที่ร้อนลวกมือเฉาฉิงหล่าง สีหน้าของเฉาฉิงหล่างไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย เท้าทั้งสองข้างขยับเคลื่อนประหนึ่งเซียนที่ก้าวเหยียบอยู่บนลมพายุ ชายแขนเสื้อสองข้างประหนึ่งบรรจุเต็มด้วยลมเย็น มือข้างหนึ่งที่ทำมุทรากระบี่บังคับกดหมัดของเผยเฉียนลงไปได้ชุ่นกว่า เฉาฉิงหล่างพูดเสียงทุ้มหนัก “เผยเฉียน หรือเจ้าอยากจะให้ท่านผู้เฒ่าจากไปอย่างไม่สงบ จากไปอย่างไม่วางใจ?!”
ถูกเฉาฉิงหล่างสะบั้นปณิธานหมัดที่ท่วมทะลักเหมือนน้ำตกซัดสาด ก็ดูเหมือนว่าเผยเฉียนจะคืนสติได้หลายส่วน นางทรุดตัวลงนั่งยอง กุมหัวร้องไห้โฮ ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับจ้องผู้เฒ่าชุดเขียวที่นั่งอยู่บนระเบียงเขม็ง
นาทีถัดมา บนร่างของผู้เฒ่าชุดเขียวที่ความตายจะเป็นดั่งการหลับใหญ่ของชีวิตก็คล้ายถูกปณิธานหมัดกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าก่อนหน้านี้ของเผยเฉียนชักนำ ปณิธานหมัดที่เงียบสงบของคนตายกลับมีชีวิตคืนมา
เห็นเพียงว่าบนสองมือที่วางทับซ้อนกันเบาๆ ไว้ด้านหน้าของชุยเฉิงมีประกายแสงสว่างจ้าสองกลุ่มดุจดวงตะวันจันทราลอยกลางนภาปรากฎขึ้นมา ปณิธานหมัดทั้งหมดของผู้ฝึกยุทธยอดเขาขอบเขตสิบไหลออกจากเรือนกายที่แห้งเหี่ยว จากช่องโพรงลมปราณ ทะลักเข้าสู่กลุ่มแสงสองกลุ่มนั้น เฉาฉิงหล่างถูกแสงสว่างแยงตาจึงได้แต่หลับตาลง ไม่เพียงเท่านี้ ปณิธานหมัดที่เหมือนขุนเขาถล่มลงมายังบีบเฉาฉิงหล่างที่ไม่ยินดีจะถอยหลังให้จำต้องถอยกรูดออกไปหลายก้าว สุดท้ายหลังแนบชิดติดกำแพงไม่อาจขยับตัวได้ ปราณวิญญาณของทั้งร่างที่ได้มาจากการฝึกตนไม่สามารถมารวมตัวกันได้เลย
ทว่าปณิธานหมัดหนาข้นที่ดูเหมือนว่าขนาดฟ้าดินก็ยังไม่กล้าพันธนาการขุมนั้นกลับไม่ส่งผลกระทบต่อเผยเฉียนแค่คนเดียว
เผยเฉียนกำสองมือเป็นหมัด ลุกขึ้นยืน ไข่มุกเม็ดหนึ่งมาลอยอยู่เบื้องหน้านาง สุดท้ายวนรอบตัวเผยเฉียนแล้วหมุนช้าๆ
ส่วนไข่มุกอีกเม็ดหนึ่งพุ่งทะยานสู่ชั้นเมฆปะทะเข้ากับม่านฟ้าแล้วระเบิดแตกดังปัง จากนั้นก็เหมือนมีฝนเม็ดเล็กชะตาบู๊ตกลงมาในพื้นที่มงคลรากบัว
เดิมทีจูเหลี่ยนควรได้ติดตามหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กเข้ามาในพื้นที่มงคลรากบัวใหม่เอี่ยมด้วยกัน พอผู้เฒ่าตายไป จูเหลี่ยนที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล หรือบุคคลอันดับหนึ่งด้านวิถีวรยุทธของใต้หล้าแห่งนี้ แน่นอนว่าต้องได้รับส่วนแบ่งจากชะตาบู๊ครึ่งหนึ่งนี้ไปมากที่สุด ทว่าจูเหลี่ยนกลับปฏิเสธ
เผยเฉียนไม่กล้ารับไข่มุกชะตาบู๊ที่ผู้เฒ่าตั้งใจทิ้งไว้ให้นางโดยเฉพาะเม็ดนั้น
หากท่านปู่ชุยยังไม่ตายเล่า? หากรับของชิ้นนี้ไปแล้วทำให้ท่านปู่ชุยตายอย่างแท้จริงเล่า
เหตุใดตอนเด็กถึงต้องเจอกับจากเป็นจากตาย กว่าจะเติบโตขึ้นมาได้กลับยังต้องเจอเรื่องแบบนี้อยู่อีก
เฉาฉิงหล่างมองแผ่นหลังนั้นแล้วพูดเสียงเบา “ต่อให้จะรู้สึกแย่แค่ไหนก็ไม่ควรหลอกตัวเอง จากไปแล้วก็คือจากไปแล้ว สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ก็มีเพียงมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี”
เผยเฉียนที่ยืนหันหลังให้เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับเบาๆ แล้วยื่นมือที่สั่นระริกออกไปจับไข่มุกชะตาบู๊เม็ดนั้น
เผยเฉียนหันหน้าไปมองเฉาฉิงหล่าง แล้วเอ่ยว่า “อันที่จริงท่านปู่ชุยมีคำพูดมากมายที่ยังไม่ทันได้พูดกับอาจารย์”
ในวัดเล็กๆ มีเสียงกลองยามเย็นดังแว่วลอยมา