ยามพบกันครั้งนั้น การแสดงออกของถานหลิงพูดได้แค่ว่ามีมารยาท แต่ท่าทีกลับห่างเหินไปสักเล็กน้อย เพราะสำหรับถานหลิงและสวนน้ำค้างวสันต์แล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำการค้านอกเหนือจากที่มีอยู่ เพราะไม่ว่าเรื่องอะไรพวกเขาก็ล้วนแสวงหาคำว่ามั่นคงเป็นหลัก
แต่หลังจากเซียนกระบี่ชุดเขียวอายุน้อยผู้นี้ออกไปจากสวนน้ำค้างวสันต์ได้ไม่นานเท่าไร ทางแถบของแคว้นฝูฉวีทางทิศเหนือที่ไม่ถือว่าห่างไปไกลมากนักก็มีวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่หลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยกับเซียนกระบี่ท่านหนึ่งพร้อมใจกันเซ่นกระบี่ นั่นคือแสงกระบี่สีทองที่พุ่งทะยานแหวกชั้นเมฆผ่าม่านฟ้า เมื่อหวนนึกไปถึงเรื่องที่มีแสงสีทองผ่าบ่อสายฟ้าของตำหนักจินอู ถานหลิงจึงเริ่มเกิดการคาดเดาบางอย่าง
ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่รู้จักกับหลิ่วจื้อชิงอาจารย์อาน้อยของตำหนักจินอู ถานหลิงสามารถมาพบหน้าและพูดคุยด้วยสักสองสามประโยคได้
ทว่าหากเป็นคนที่สนิทสนมกับหลิ่วจื้อชิงผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง แล้วยังมีคุณสมบัติที่จะร่วมเดินทางอีกทั้งยังเซ่นกระบี่ร่วมกับหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยซึ่งกลายเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งแล้ว ถ้าอย่างนั้นหากถานหลิงยังไม่ยอมเห็นแก่หน้าของอีกฝ่าย ก็ควรจะระเห็จตัวเองออกไปเฝ้าอยู่นอกร้านผีฝูบนถนนเหล่าไหวเส้นนั้นแล้ว
ไม่ใช่ว่าถานหลิงวางหน้าตาน้อยนิดนี่ไม่ลง แต่เป็นเพราะกังวลว่าการปรากฏตัวทั้งสองครั้งของตน ท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปจะดูชัดเจนเกินไปหน่อย กลับกลายเป็นว่าจะทำให้เซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้เกิดใจดูแคลน เหยียดหยามคนทั้งสวนน้ำค้างวสันต์
ในศาลา ทั้งสองฝ่ายยังคงพูดคุยกันอย่างมีมารยาท
แต่คำพูดของเซียนกระบี่หนุ่มก่อนหน้านี้ก็ทำให้ถานหลิงรู้สึกว่าการมาเยือนครั้งนี้ของตนไม่เสียเที่ยวแล้ว
ถานหลิงทักทายปราศรัยกับเฉินผิงอันอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นขอตัวลาจากไป เฉินผิงอันเดินมาส่งถึงด้านล่างบันได แล้วมองผู้ฝึกตนหญิงก่อกำเนิดท่านนี้ทะยานลมจากไป
เฉินผิงอันเขียนจดหมายลับขึ้นสามฉบับ แล้วก็ไปเยือนเรือนกระบี่ของสวนน้ำค้างวสันต์มารอบหนึ่ง จดหมายทั้งสามฉบับนั้นแยกกันส่งไปที่สำนักกระบี่ไท่ฮุย นครเหนือเมฆและตำหนักจินอู
นอกจากจะส่งจดหมายไปให้ฉีจิ่งหลงแล้ว แน่นอนว่ายังมีกำแพงดำน้อยส่วนนั้นด้วย
ในจดหมายพูดถึงเรื่องของการซื้อกระบี่จำลองจากภูเขาชังกระบี่และสมบัติจากศาลซานหลาง เงินฝนธัญพืชหนึ่งร้อยเหรียญ หลังจากการถามกระบี่สามครั้งต่อจากนี้ ฉีจิ่งหลงจะทำอย่างไรก็ให้จัดการเอาเองได้เลย แต่อย่างน้อยต้องซื้อกระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่หนึ่งเล่มและเสื้อเกราะของศาลซานหลางหนึ่งชิ้น หากเงินไม่พอก็คงได้แต่ให้เขาฉีจิ่งหลงช่วยสำรองจ่ายไปให้ก่อน หากยังมีเหลือก็สามารถซื้อกระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่มาเพิ่มได้หนึ่งเล่ม นอกจากนี้ก็พยายามเลือกหาสมบัติที่ราคาไม่สูงมากจากศาลซานหลางมาเพิ่มอีกหน่อย เป็นวัตถุแบบใดก็ได้ ในจดหมายเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าต้องการให้ฉีจิ่งหลงเอามาดของเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนออกมาใช้ ตอนที่ช่วยตนต่อรองราคา หากอีกฝ่ายไม่หลงกล ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สู้ทำหน้าให้หนา พูดประโยคว่า ‘สำนักกระบี่ไท่ฮุยของข้า’ ‘ข้าหลิวจิ่งหลง’ เป็นอย่างไรอย่างไร ให้มากสักหน่อย
ช่วงท้ายของจดหมายอวยพรให้ฉีจิ่งหลงรับการถามกระบี่ทั้งสามครั้งจากลี่ไฉ่ ต่งจู้และป๋ายฉางได้อย่างราบรื่น
จดหมายที่ส่งไปให้สวีซิ่งจิ่วแห่งนครเหนือเมฆบอกว่าตนได้พบกับ ‘ท่านหลิว’ ผู้นั้นแล้ว อันที่จริงคราวก่อนที่ดื่มเหล้ากันนับว่ายังไม่สาแก่ใจนัก แต่หลักๆ เป็นเพราะสามศึกใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นจึงจำต้องสงบจิตใจ แต่ท่านหลิวยอมรับในมาดการดื่มเหล้าของเจ้าสวีซิ่งจิ่วอยู่มาก ดังนั้นรอให้ท่านหลิวประลองกระบี่ทั้งสามครั้งสำเร็จก็อย่าได้รู้สึกลำบากใจเด็ดขาด เจ้าสวีซิ่งจิ่วสามารถมาเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุยได้อีกรอบ คราวนี้ไม่แน่ว่าท่านหลิวอาจจะยอมดื่มเหล้าอย่างเต็มที่แล้วก็ได้ แล้วก็ถือโอกาสช่วยตนนำความไปบอกแก่เด็กหนุ่มที่ชื่อป๋ายโส่วทีว่า ในอนาคตรอให้ป๋ายโส่วลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์เมื่อไหร่ สามารถไปเยือนภูเขาลั่วพั่วของแจกันสมบัติทวีปได้ ช่วงท้ายของจดหมายบอกกับสวีซิ่งจิ่วว่า หากอยากจะเขียนจดหมายตอบกลับสามารถส่งไปที่สำนักพีหมาชายหาดโครงกระดูกได้ ชื่อผู้รับให้เขียนเป็นชื่อของผังหลันซีผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของภูเขามู่อี แล้วค่อยให้เขาส่งต่อไปให้แก่เฉินคนดี
จดหมายฉบับสุดท้ายส่งไปยังยอดเขาหรงจู้ของตำหนักจินอู ผู้ที่รับจดหมายแน่นอนว่าต้องเป็นอดีตเจ้าของหน้าผาอวี้อิ๋งอย่างหลิ่วจื้อชิง
ตัวอักษรบนจดหมายมีอยู่แค่สองประโยคเท่านั้น “ฝึกฝนจิตใจไม่ง่าย เจ้าและข้ามาพยายามไปด้วยกัน”
“รอให้ข้ากลับไปถึงชายหาดโครงกระดูกจะต้องช่วยเจ้าขอผลงานภาพเทพหญิงอันเป็นที่ภาคภูมิใจชุดหนึ่งมาจากอาจารย์ผู้เฒ่าผังอย่างแน่นอน”
กลับไปถึงที่หน้าผาอวี้อิ๋ง เฉินผิงอันนั่งอยู่ในศาลาเพียงลำพัง ครุ่นคิดบางอย่างอยู่นาน
เรือข้ามฟากลำที่เดินทางไปกลับระหว่างสวนน้ำค้างวสันต์กับชายหาดโครงกระดูก ยังต้องรออีกสองวันกว่าจะมาถึงท่าเรือฝูสุ่ย
ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องมากมายรอให้ไปจัดการ แต่ก็เหมือนว่าจะไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ
เฉินผิงอันจึงเดินออกจากศาลา ม้วนชายแขนเสื้อและขากางเกง ไปเดินเก็บหินอยู่ในลำธารด้านล่างบ่อลึก
……
ซ่งหลันเฉียวผู้ฝึกตนเฒ่าโอสถทองของสวนน้ำค้างวสันต์รู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย
เพราะเรือข้ามฟากของบ้านตัวเองที่เดินทางจากชายหาดโครงกระดูกมีผู้โดยสารที่น่ากลัวมากคนหนึ่งมาเยือน
คือเด็กหนุ่มชุดขาวท่าทางสง่างาม เขาต้องการจะไปสวนน้ำค้างวสันต์
ก่อนหน้านี้จุดที่เชื่อมต่อระหว่างฟ้าดินเล็กใหญ่อย่างชายหาดโครงกระดูกและหุบเขาผีร้าย เกิดความเคลื่อนไหวอึกทึกครึกโครมที่ทำให้ผีร่ำไห้เทพตะลึง แต่เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป แล้วก็ยุติลงเร็วเกินไป ซ่งหลันเฉียวจึงไม่ได้เห็นเองกับตา แต่ผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาที่พอจะมีสถานะสักหน่อย เรื่องที่เชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือการเก็บรวบรวมข่าวสารจากฝ่ายต่างๆ แล้วไล่สืบไปตามเบาะแส หลังจากที่เด็กหนุ่มหน้าตางดงามถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวมรกตคนนั้นเดินขึ้นมาบนเรือ เรื่องแรกที่ซ่งหลันเฉียวทำก็คือรีบส่งกระบี่บินไปแจ้งข่าวยังศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์ บอกว่าต้องรับมือเขาอย่างระมัดระวัง คนผู้นี้นิสัยประหลาด เรื่องแรกที่ทำหลังจากมาถึงชายหาดโครงกระดูกก็คือแหวกม่านฟ้าของหุบเขาผีร้าย แล้วทุ่มสมบัติอาคมใส่หัวเกาเฉิงวิญญาณวีรบุรุษขอบเขตหยกดิบที่อยู่ในนครจิงกวาน!
เกาเฉิงที่เฝ้าพิทักษ์นครจิงกวานมีขอบเขตเท่าเทียมกับเซียนเหริน แต่เขากลับไม่ได้ตามมาไล่ฆ่า ‘เด็กหนุ่ม’ ที่มาหาเรื่องถึงถิ่นคนนี้
หากสวนน้ำค้างวสันต์ต้องเจอกับหายนะที่มาเยือนอย่างไม่คาดฝัน จะทำอย่างไร?
ระหว่างที่เรือข้ามฟากมุ่งหน้าไปยังสวนน้ำค้างวสันต์ เด็กหนุ่มชุดขาวแอบลงจากเรือไปรอบหนึ่ง เขาไปที่ตีนเขาของแถบทะเลสาบชางอวิ๋น เพียงแต่ว่าไม่นานก็ทะยานลมไล่ตามเรือข้ามฟากมาด้วยท่าสุนัขตะกายน้ำ หวนกลับขึ้นมาบนเรือกลางดึกอย่างเงียบเชียบ หากไม่เป็นเพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ซ่งหลันเฉียวที่กระวนกระวายไม่เป็นสุขคอยเบิกตากว้างจับตามองเรือข้ามฟากของตัวเองอยู่ตลอดเวลา เขาก็ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าคนผู้นี้จะมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ถึงขนาดเข้าออกเรือข้ามฟากที่ถูกสวนน้ำค้างวสันต์ร่ายตราผนึกเวทลับไว้ทั้งลำได้เหมือนกับสถานที่ไร้ผู้คนได้ขนาดนี้
นี่ยิ่งทำให้ซ่งหลันเฉียวอกสั่นขวัญแขวนมากกว่าเดิม
และดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะว่างงานมาก เพราะเขามักจะออกจากห้องเป็นประจำ ทุกวันจะต้องเดินเตร่ไปเตร่มาอยู่บนดาดฟ้าเรือ
หลังจากขยับเข้าใกล้อาณาเขตของสวนน้ำค้างวสันต์ เด็กหนุ่มหล่อเหลาที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วก็เริ่มจะอดทนไม่ไหว ดูเหมือนว่าจะรังเกียจที่ความเร็วของเรือช้าเกินไป เพียงแต่ว่าไม่รู้ทำไมถึงยังฝืนใจอดทนรออยู่บนเรือต่อ ไม่ได้ทะยานลมแหวกอากาศจากไป
วันนี้เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายมาหาซ่งหลันเฉียวด้วยตัวเอง เขาเคาะประตู พอเจอหน้ากันก็พูดเข้าประเด็นทันทีว่า “ตอนนี้กิจการของร้านผีฝูบนถนนเหล่าไหวของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซ่งหลันเฉียวที่ก่อนหน้านี้สัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายจะมาเยือนถามอย่างระมัดระวังว่า “ผู้อาวุโสกับเซียนกระบี่เฉินเป็น…สหายกัน?”
เด็กหนุ่มถลึงตากว้าง พูดอย่างขุ่นเคือง “ผายลมน่ะสิเจ้า พวกเราจะเป็นสหายกันได้อย่างไร?!”
ซ่งหลันเฉียวหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ทว่าในใจกลับเหมือนแม่น้ำพลิกมหาสมุทรคว่ำ หรือว่าคนผู้นี้เป็นศัตรูของเซียนกระบี่หนุ่มคนนั้น? สวนน้ำค้างวสันต์จะต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย? ถ้าอย่างนั้นตนควรจะทำอย่างไรดี?
เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงเย็น “ทำไม เจ้ารู้จักรึ?”
ความคิดในหัวของซ่งหลันเฉียวตีกันอยู่พักใหญ่ สุดท้ายกัดฟันพูดหน้าเคร่งว่า “ผู้น้อยรู้จักกับเซียนกระบี่เฉินจริง และยังถือว่าสนิทสนมกันด้วย ครั้งแรกที่เซียนกระบี่เฉินไปเยือนสวนน้ำค้างวสันต์ก็นั่งโดยสารเรือข้ามฟากลำนี้ของผู้น้อย”
คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะยกมือตบลงบนไหล่ของโอสถทองผู้เฒ่าหนักๆ ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “เด็กดี มหามรรคามีทางให้เจ้าเดินกว้างนัก!”
ซ่งหลันเฉียวถูกตบจนร่างเซ พละกำลังนั้นหนักอึ้งมากจริงๆ จนโอสถทองผู้เฒ่ารู้สึกเลื่อนลอยไปเล็กน้อย
รอยยิ้มของเด็กหนุ่มยังคงไม่จางหาย เขาเรียกให้ซ่งหลันเฉียวนั่งลงดื่มชาด้วยกัน ซ่งหลันเฉียวกระวนกระวายไม่เป็นสุข หลังจากนั่งลงแล้วรับถ้วยน้ำชามาก็ยังหวาดผวาอยู่เนืองๆ
โดยไม่ทันรู้ตัว ซ่งหลันเฉียวก็ลืมไปแล้วว่าอันที่จริงที่นี่ก็คือถิ่นของเขาเอง
ตัวเด็กหนุ่มเองไม่ได้ดื่มชา เพียงแค่เอาไม้เท้าเดินป่าวางไว้ข้างมือบนโต๊ะ มือทั้งสองข้างวางทับกันอยู่บนโต๊ะ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นคนคุ้นเคยของอาจารย์ข้า ถ้าอย่างนั้นก็เป็นสหายของข้าชุยตงซานด้วยเหมือนกัน”
ซ่งหลันเฉียวยิ่งสงสัย ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนในแจกันสมบัติทวีปสามารถนับนิ้วได้เลยนี่นา
ในบรรดาผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน ไม่มีคนชื่อชุยตงซานนี้อยู่เลย แต่คนที่แซ่ชุยกลับมีอยู่คนหนึ่ง ก็คือชุยฉานราชครูต้าหลี คือชื่อที่ต่อให้อยู่ท่ามกลางผู้ฝึกตนบนยอดเขาของอุตรกุรุทวีปก็ยังโด่งดังเลื่องลือเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนข้อที่ว่า ‘เด็กหนุ่ม’ ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้กลายเป็นลูกศิษย์ของเซียนกระบี่หนุ่มได้อย่างไร?
ไม่ใช่ว่าซ่งหลันเฉียวดูแคลนคนหนุ่มที่ออกเดินทางไกลผู้นั้น แต่เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลเลยจริงๆ
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “อาจารย์ของข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่เป็นที่สุด ก่อนจะกลับมาถึงภูเขามู่อี จะต้องแวะมาที่สวนน้ำค้างวสันต์ของพวกเจ้าก่อนรอบหนึ่งแน่นอน”
หลักๆ แล้วเป็นเพราะที่นั่นมีต้นไหวโบราณอยู่ต้นหนึ่ง
ชุยตงซานถึงได้มั่นใจขนาดนี้
ซ่งหลันเฉียวอดไม่ไหวถามว่า “เซียนกระบี่เฉินคืออาจารย์ของผู้อาวุโสงั้นหรือ?”
ชุยตงซานเหล่ตามอง “อิจฉารึ? เจ้าอิจฉาแล้วจะได้อะไร? การรับลูกศิษย์ของอาจารย์ข้าจะต้องเลือกแล้วเลือกอีก หมื่นคนก็ยังหาไม่เจอสักคน”
ซ่งหลันเฉียวใกล้บ้าเต็มทีแล้ว
นี่มันอะไรกับอะไรกันเนี่ย
เซียนกระบี่หนุ่มที่ถือว่าพอจะมีความสัมพันธ์ควันธูปกับสวนน้ำค้างวสันต์คนนั้น ตลอดทางที่เดินทางมาร่วมกัน ไม่ว่าจะยามที่รับรองผู้คนวางตัวในสังคม หรือยามพูดจาก็ล้วนรัดกุมรอบคอบ มีทั้งมารยาททั้งพิธีการ หลังจบเรื่องมาย้อนนึกดูก็ทำให้คนรู้สึกเหมือนอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ แล้วเหตุใดถึงได้มีลูกศิษย์นิสัยประหลาดแบบนี้ได้?
ชุยตงซานพลันยิ้มตาหยี “หลันเฉียวเอ๋ย เจ้าไม่เชื่อว่าข้าเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ หรือไม่เชื่อว่าอาจารย์จะมีลูกศิษย์อย่างข้ากันล่ะ?”
ซ่งหลันเฉียวรู้สึกขนลุกขนชันไปหมด การพูดสองอย่างนี้มองดูเหมือนว่าความหมายพอๆ กัน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีความลี้ลับยิ่งใหญ่ ควรจะตอบอย่างไรก็ต้องระวังแล้วระวังอีก อันที่จริงทางเลือกที่มอบให้เขาก็มีไม่มาก แค่สองทางเท่านั้น พูดจาดีๆ เกี่ยวกับคนตรงหน้าผู้นี้ หรือพูดจาดีๆ เกี่ยวกับเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้นราวกับคนเสียสติ และนั่นก็อาจจะเป็นการดูแคลนคนประหลาดที่ใจกล้า มีสมบัติอาคมมากมายและตบะสูงส่งผู้นี้เกินไปหน่อย
ซ่งหลันเฉียวชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอย่างว่องไว แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าควรจะปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจจึงจะมั่นคงมากกว่า เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ไม่กล้าเชื่อจริงๆ ว่าเซียนกระบี่เฉินที่อายุยังน้อยจะมีลูกศิษย์อย่างผู้อาวุโสได้”
ชุยตงซานส่ายหน้า จุ๊ปากเอ่ยว่า “น่าเสียดายๆ ทำให้ทางเดินแคบอีกแล้ว”
ซ่งหลันเฉียวนินทาในใจไม่หยุด ข้าผู้อาวุโสมาเจอกับคนประหลาดที่จิตใจยากคาดเดาอย่างเจ้าแล้วทางที่เดินไม่ถึงทางตัน ก็ควรจะไปจุดธูปกราบไหว้เหล่าบรรพบุรุษของสวนน้ำค้างวสันต์แล้ว
ชุยตงซานหัวเราะร่า “กลับไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์ก็ควรจะจุดธูปกราบไหว้เหล่าบรรพบุรุษของเจ้าจริงๆ นั่นแหละ”
เส้นเอ็นหัวใจของซ่งหลันเฉียวหดเกร็งขึ้นมาทันใด
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ไม่ทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจ ไม่กลัวผีมาเคาะประตู ข้าไม่ใช่ผี เจ้าเองก็ไม่ได้ทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจ แล้วยังจะต้องกลัวอะไร”
ซ่งหลันเฉียวพูดอย่างขมขื่น “ผู้อาวุโสล้อเล่นแล้ว”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ข้าพูดล้อเล่นกับเจ้าจริงๆ นั่นแหละ ดังนั้นประโยคนี้ของเจ้าหลันเฉียว หนึ่งประโยคสองความหมาย มีความรู้อย่างมาก เคยเรียนหนังสือมาก่อนสินะ?”
ซ่งหลันเฉียวไร้คำพูดตอบโต้
ชุยตงซานหยิบไม้เท้าเดินป่าขึ้นมาแล้วลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อนล่ะ จะไปลองเสี่ยงดวงดูสิว่าตอนนี้อาจารย์อยู่ที่สวนน้ำค้างวสันต์หรือไม่ หลันเฉียวเจ้าเองก็จะได้มีเรื่องให้กังวลน้อยลง”
ซ่งหลันเฉียวรู้สึกว่าไม่ว่าตนจะพูดอะไรก็ผิดไปหมด เลยเลือกจะหุบปากไม่เอ่ยอะไรเสียเลย ทำเพียงแค่น้อมส่งผู้อาวุโสท่านนี้ออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ
เด็กหนุ่มหล่อเหลาสวมชุดขาวถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวเดินข้ามธรณีประตูออกไป ระหว่างที่เดินอาดๆ อยู่กลางระเบียงก็ชูมือขึ้นมาโบก “ไม่ต้องส่ง”
ซ่งหลันเฉียวยืนอึ้งอยู่ที่เดิม เหงื่อแตกท่วมเต็มร่างแต่กลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
ชุยตงซานเดินไปถึงหัวเรือแล้วทะยานร่างขึ้น เรือข้ามฟากทั้งลำลดระดับต่ำฮวบไปหลายสิบจั้ง คนผู้นั้นจำแลงร่างเป็นรุ้งยาวจากไป เรือนกายเป็นเส้นสีขาวหิมะ พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามดุจฟ้าคำราม
……
เฉินผิงอันกำลังก้มตัวเก็บหินในลำธาร เขาเลือกเฟ้นหาไปทีละก้อน จากนั้นจึงหยิบใส่ไว้ในชายผ้าชุดเขียวที่ม้วนขึ้น มือข้างหนึ่งกุมป้องเอาไว้ แต่แล้วจู่ๆ ก็ยืดตัวขึ้นหันหน้าไปมอง
มองเห็นชุยตงซาน
เฉินผิงอันอึ้งอยู่นาน ถามว่า “ผู้อาวุโสชุยไปแล้วหรือ?”
ชุยตงซานอืมรับหนึ่งที ก้มหน้าไม่มองสบตา
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าไม่เป็นไร เจ้ายังสบายดีไหม?”
ชุยตงซานเงยหน้าขึ้น “อาจารย์ ข้าไม่ค่อยดีเท่าไร”
เฉินผิงอันปล่อยให้หินไข่ห่านเหล่านั้นร่วงลงสู่ลำธาร เดินขึ้นมาที่ชายฝั่ง โดยไม่ทันรู้ตัวอาจารย์ก็ตัวสูงกว่าลูกศิษย์ไปครึ่งศีรษะแล้ว
เฉินผิงอันยื่นมือไปโอบไหล่ชุยตงซาน เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านด้วยกัน”