กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 568.4 เยือกเย็นคืออย่างไร

บทที่ 568.4 เยือกเย็นคืออย่างไร

เฉินผิงอันเอ่ย “ก่อนจะเดินทางไปอุตรกุรุทวีป อันที่จริงสามารถไปที่แม่น้ำอวี้เจียงก่อนได้ ไปเพื่อบอกลา อะไรที่ควรดื่มก็ดื่ม อะไรที่ควรกินก็กิน แต่อย่าบอกว่าตัวเองจะเดินลงน้ำ แค่บอกไปว่าตัวเองต้องออกจากบ้านเดินทางไกลเท่านั้น การปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ ไม่ใช่ว่าจะต้องบอกความจริงไม่มีปิดบังไปเสียทุกเรื่อง แต่เป็นการที่ไม่สร้างปัญหาให้กับผู้อื่น และยังช่วยคนอื่นแก้ไขปัญหาบางอย่างเท่าที่ตัวเองมีความสามารถ โดยที่ไม่ต้องการให้คนอื่นคอยเอ่ยคำขอบคุณต่อเจ้า”

เฉินหลิงจวินเก็บกระดาษพู่กันลงไป ฟุบตัวลงบนผิวโต๊ะ พูดด้วยสีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย “เมื่อก่อนข้าไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้ สนแต่เรื่องดื่มเหล้ากินเนื้อ คุยโวเสียงดังอย่างเดียวเท่านั้น”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วิถีทางโลกไม่เคยทำให้พวกเราประหยัดแรงกายแรงใจได้หรอก คิดให้มากก็ไม่ใช่เรื่องร้ายอะไร”

เฉินหลิงจวินลังเลอยู่นาน เขาถึงขั้นไม่กล้ามองสบตาเฉินผิงอัน ได้แต่เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “หากข้าบอกว่าอันที่จริงตัวข้าเองไม่ได้อยากเดินลงน้ำ ไม่ได้อยากไปอุตรกุรุทวีปอะไรนั่น แค่อยากจะนั่งกินนอนกินรอความตายอยู่บนภูเขาลั่วพั่วเท่านั้น ท่านจะโกรธมากหรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มไม่เอ่ยอะไร ราวกับว่าเขารู้คำตอบนี้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

เฉินหลิงจวินจึงเงียบเสียงลงไป ไม่กล้าเงยหน้ามองสบตาเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันเปิดปากพูดว่า “ไม่โกรธ”

เฉินหลิงจวินพลันขยับนั่งตัวตรง พูดด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “จริงหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตั้งแต่แรกข้าก็ไม่ได้รู้สึกว่าเพราะเรื่องการเดินลงน้ำเป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า แล้วเจ้าเฉินหลิงจวินจะต้องรีบเร่งออกเดินทาง ไม่กล้ามีปากมีเสียง เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไปเดินลงน้ำทันที ข้าถึงขั้นคิดว่าหากเจ้ายังไม่รู้สึกว่าตัวเองอยากเดินลงน้ำจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเลย ลำน้ำจี้ตู๋สายนั้นก็หนีไปไหนไม่ได้เสียหน่อย ในความเป็นจริงแล้ว มีเพียงวันใดที่เจ้าคิดจนเข้าใจกระจ่างอย่างแท้จริงแล้วค่อยเดินลงลำน้ำจี้ตู๋ เทียบกับความมึนๆ งงๆ แค่ทำงานที่ได้รับมอบหมายให้จบๆ ไปในตอนนี้ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จกลับมีมากกว่า แต่จะว่าไปแล้วการเดินลงน้ำคือเส้นทางที่เจ้าเฉินหลิงจวินจำเป็นต้องเดิน ยากที่จะอ้อมผ่านไปได้ ตอนนี้เตรียมพร้อมไว้ให้มาก ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”

เฉินผิงอันชะงักไปครู่ก็เอ่ยอีกว่า “บางทีพูดอย่างนี้เจ้าอาจจะรู้สึกบาดหู แต่ข้าก็ควรจะบอกความคิดที่แท้จริงของตัวเองแก่เจ้า ก็เหมือนอย่างที่ชุยตงซานพูด เผ่าพันธุ์เจียวหลงบนโลกมีอยู่ในหนองบึงทะเลสาบมากมาย แต่กลับไม่ใช่ทุกตัวที่จะมีโอกาสเดินจากลำน้ำใหญ่สู่มหานที ดังนั้นหากเจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้จะถ่วงเวลาให้ล่าช้าไม่ได้ แต่แค่เพราะเกียจคร้านตามความเคยชิน เลยไม่ยินดีจะขยับย้ายถิ่นไปเจอกับความลำบาก ข้าจะโกรธมาก แต่หากเจ้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่นับเป็นอะไรได้เลย ไม่เดินลงลำน้ำใหญ่แล้วอย่างไร ข้าเฉินหลิงจวินก็ยังคงมีมหามรรคาของตัวเองให้ก้าวเดิน หรือไม่ก็รู้สึกว่าข้าเฉินหลิงจวินชอบที่จะอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ต่อให้อยู่ไปทั้งชีวิตก็ยินดี ถ้าอย่างนั้นนายท่านของเจ้าก็ดี เจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วก็ช่าง จะไม่รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย”

เฉินหลิงจวินยิ้มกล่าว “เข้าใจแล้ว”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “ทุกครั้งที่เฉินหรูชูเข้ามาซื้อของในเมืองแล้วเจ้าคอยช่วยคุ้มครองนางอย่างลับๆ ข้าดีใจมาก เพราะนี่ก็คือความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง”

เฉินหลิงจวินอับอายเล็กน้อย “ข้าก็แค่มาเดินเล่นเท่านั้นเอง! ใครเป็นคนปากมากมาบอกนายท่าน คอยดูเถอะข้าจะตบปากเขาให้…”

ชุยตงซานที่อยู่นอกประตูพูดด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “ข้าเอง”

เฉินหลิงจวินอึ้งงันเป็นไก่ไม้

แล้วเขาก็วิ่งเหยาะๆ ไปเปิดประตู เดินเบามือเบาเท้าไปอยู่ด้านหลังชุยตงซาน บีบนวดไหล่ให้เขาพลางถามเสียงเบา “พี่ชุย ทนนั่งอย่างยากลำบากมาทั้งคืนแล้ว ปวดเมื่อยตรงไหนจะต้องบอกน้องชายนะ พวกเราเป็นคนกันเองที่รักใคร่สนิทสนมกันดี เกรงใจกันเกินไปก็ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย! น้ำหนักมือของน้องชายตอนนี้เบาหรือว่าหนักไปไหม?”

เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูออกมาถีบเข้าที่ก้นของเฉินหลิงจวิน ด่าขำๆ ว่า “ลมและน้ำของภูเขาลั่วพั่ว เจ้าก็มีส่วนด้วย!”

……

ร้านฉ่าวโถวที่อยู่ข้างกันในตรอกฉีหลงก็เปิดทำการแล้วเหมือนกัน

คนที่มาเปิดร้านคือเด็กสาวที่มีชื่อเล่นว่าจิ่วเอ๋อร์คนนั้น

เฉินผิงอันยิ้มพลางเอ่ยทักทาย “จิ่วเอ๋อร์ อาจารย์และศิษย์พี่ของเจ้าล่ะ?”

เด็กสาวรีบยอบตัวคารวะ กล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึงระคนยินดี “เจ้าขุนเขาเฉิน”

จากนั้นนางก็พูดอย่างเขินอายเล็กน้อย “อาจารย์คอยดูแลร้านมาโดยตลอด อายุก็มากแล้ว ก็เลยตื่นสายไปสักหน่อย วันนี้ข้าเลยเป็นคนมาเปิดร้าน เมื่อก่อนไม่ได้เป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่ไปเก็บสมุนไพรบนภูเขามาหลายวันแล้ว คาดว่าคงช้าหน่อยกว่าจะกลับมาถึงตรอกฉีหลง”

จิ่วเอ๋อร์เตรียมจะไปเรียกอาจารย์ เพราะถึงอย่างไรเจ้าขุนเขาก็มาเยือนด้วยตัวเอง ต่อให้จะถูกอาจารย์ดุด่าก็ควรจะต้องไปรายงานสักคำ

เฉินผิงอันห้ามจิ่วเอ๋อร์เอาไว้ ยิ้มกล่าวว่า “อย่าไปรบกวนการพักผ่อนของท่านนักพรตเลย ข้าก็แค่ผ่านทางมาเลยแวะมาดูพวกเจ้าเท่านั้น”

จิ่วเอ๋อร์รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “เจ้าขุนเขาเฉิน กิจการของร้านไม่ถือว่าดีสักเท่าไร”

เฉินผิงอันกล่าว “ไม่เป็นไร อันที่จริงกิจการของร้านฉ่าวโถวแห่งนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว พวกเจ้าก็พยายามกันต่อไป หากมีเรื่องก็ไปที่ภูเขาลั่วพั่ว อย่าได้รู้สึกเกรงใจเป็นอันขาด ประโยคนี้ เดี๋ยวจิ่วเอ๋อร์เจ้าจะต้องช่วยข้านำไปบอกแก่ท่านผู้เฒ่าด้วย ท่านนักพรตเป็นคนมีคุณธรรม ต่อให้มีเรื่องจริงๆ ก็ชอบจะแบกรับไว้คนเดียว อันที่จริงแบบนี้ไม่ดีเลย คนครอบครัวเดียวกันไม่พูดจาห่างเหิน ใช่แล้ว ข้าคงไม่เข้าไปนั่งในร้านแล้ว ยังมีธุระให้ต้องไปทำอีก”

จิ่วเอ๋อร์ที่เพิ่งจะเปิดประตูร้านเอามือสองข้างเอื้อมไปด้านหลัง แล้วถูมือเข้าด้วยกัน พูดเสียงเบาว่า “เจ้าขุนเขาเฉินจะไม่เข้าไปดื่มชาสักถ้วยจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันโบกมือยิ้ม “ไม่ดื่มแล้วจริงๆ เหลือค้างไว้ก่อนก็แล้วกัน”

จิ่วเอ๋อร์คลี่ยิ้ม

เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ยว่า “สีหน้าของจิ่วเอ๋อร์ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย นี่หมายความว่าดินและน้ำของบ้านเกิดข้าหล่อเลี้ยงคนได้ดี เมื่อก่อนยังกังวลว่าพวกเจ้าจะอยู่กันไม่ชิน ตอนนี้ก็วางใจลงได้แล้ว”

จิ่วเอ๋อร์หน้าแดงเล็กน้อย

เฉินผิงอันโบกมือเป็นการบอกลา

เขาพาชุยตงซานเดินขึ้นบันไดของตรอกฉีหลงมุ่งหน้าไปยังบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง

เส้นทางนี้ต้องผ่านบ้านบรรพบุรุษของตระกูลกู้ เฉินผิงอันจึงหยุดเดิน ถามว่า “ทางฝั่งของท่านอากู้?”

ชุยตงซานตอบ “ขุนนางสุจริตก็ยากจะตัดสินเรื่องราวในบ้านได้ แต่ตอนนี้กู้เทาก็ได้กลายเป็นเทพขุนเขาของขุนเขาเก่าต้าหลีแล้ว ถือว่ามีคุณความชอบอย่างสมบูรณ์ สตรีแต่งงานแล้วที่อยู่ในเขตการปกครองขอลมก็ได้ลม ขอฝนก็ได้ฝน ส่วนกู้ช่านที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนก็ถือว่ามีชีวิตที่ไม่เลว ลูกชายได้ดิบได้ดี สามีก็ยิ่งเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว สตรีออกเรือนคนหนึ่ง เมื่อมีชีวิตที่ดีแล้ว นิสัยเสียๆ มากมาย แน่นอนว่าย่อมต้องถูกเก็บซ่อนเอาไว้”

เฉินผิงอันเดินหน้าต่อไปอีกครั้ง “เรือนที่แขวนกรอบป้ายคำว่าน้ำใสลมเย็นนั่นล่ะ?”

ชุยตงซานเอ่ยเนิบช้า “ผีหญิงสวมชุดแต่งงานผู้นั้น? เป็นผีน่าสงสารที่ไปชอบคนน่าสงสาร ฝ่ายแรกมีชีวิตอยู่ด้วยความอาฆาตแค้น แต่อันที่จริงฝ่ายหลังกลับน่าเวทนาอย่างแท้จริง ปีนั้นถูกปัญญาชนในสำนักศึกษาของราชวงศ์สกุลหลูและต้าสุยหลอกลวงจนมีสภาพอเนจอนาถ สุดท้ายก็เลือกกระโดดทะเลสาบฆ่าตัวตาย คนลุ่มหลงในรักคนหนึ่งที่เดิมทีคิดแค่อยากจะอาศัยความรู้ช่วงชิงตำแหน่งนักปราชญ์มา หวังว่าจะสามารถใช้สิ่งนี้มาแลกเปลี่ยนการยอมรับและตำแหน่งแต่งตั้งจากทางราชสำนัก ให้เขาได้แต่งงานกับผีสาวตนหนึ่งอย่างเปิดเผย น่าเสียดายที่เกิดมาเร็วไปหน่อย ดันเกิดมาในต้าหลีปีนั้น ไม่ใช่ต้าหลีในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นจุดจบสองอย่างที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถึงอย่างไรผีสาวตนนั้นก็เป็นภูตผีสกปรกตนหนึ่ง เมื่อไปเยือนสำนักศึกษา แน่นอนว่าแม้แต่ประตูก็เดินผ่านเข้าไปไม่ได้ แต่นางกลับยืนกรานจะบุกเข้าไปจนเกือบจะจิตวิญญาณแหลกสลาย สุดท้ายนางก็ไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญาเกินไปนัก เลือกใช้ความสัมพันธ์ควันธูปที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดกับราชสำนักต้าหลี ถึงได้นำโครงกระดูกของบัณฑิตกลับมาด้วยกันได้ และยังได้รู้ความจริงที่ถูกเก็บซ่อนมานานนั้น ที่แท้บัณฑิตก็ไม่เคยทรยศต่อความรักอันลึกซึ้งของนาง แล้วยังต้องมาตายเพราะสาเหตุนี้ นางจึงเสียสติไปอย่างสิ้นเชิง หลังจากที่กู้เทาออกไปจากเรือนหลังนั้นของนาง นางก็นำโลงศพโลงหนึ่งเดินโซซัดโซเซกลับมาที่นั่น ถอดชุดแต่งงานออก เปลี่ยนมาสวมชุดไว้ทุกข์ วันๆ เอาแต่เหม่อลอย บอกแค่ว่ากำลังรอคน”

เฉินผิงอันถาม “ความผิดความถูกของเรื่องนี้ ควรจะคิดกันอย่างไร?”

ชุยตงซานยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาทำมือต่างมีดแล้วสับลงกลางอากาศว่างเปล่าอยู่สองสามที พลางยิ้มเอ่ยว่า “ต้องดูว่าจากตรงไหนไปถึงตรงไหน เอามาตั้งเป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบ หากใช้เหตุการณ์ที่ผีสาวและบัณฑิตได้พบเจอกันแล้วตกหลุมรักกันเป็นจุดเริ่มต้น ใช้เหตุการณ์ที่ผีสาวทำร้ายบัณฑิตมากมายให้ตายเป็นจุดจบ ถ้าอย่างนั้นก็ง่ายมาก ตบนางให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว เพราะถึงอย่างไรตอนนี้นางก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ก็ทำให้มันสิ้นเรื่องกันไป แต่หากขยับไปข้างหน้าอีกนิด ดูจากคุณความดีที่ผีสาวทำแก่ขุนเขาสายน้ำ คิดคำนวณจากนิสัยที่ดีงามของนาง ถ้าอย่างนั้นก็จะยุ่งยากมาก หากยังหวังให้นางสำนึกผิดและแก้ไข เวลาหลังจากนี้ร้อยปีหลายร้อยปีก็คอยชดเชยให้กับโลกใบนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่ หรือหากจะให้ไปยืนอยู่ในมุมของพวกบัณฑิตที่ตายไปอย่างอยุติธรรมเหล่านั้น แล้วใคร่ครวญถึงปัญหา ก็ยิ่ง…เป็นความยุ่งยากที่ใหญ่เทียมฟ้า”

ชุยตงซานเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็ถามว่า “ขอถามอาจารย์ อยากจะตัดช่วงไหนเป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบ?”

เฉินผิงอันไม่ได้ให้คำตอบ

ตอนที่เฉินผิงอันควักกุญแจออกมาไขเปิดประตูบ้านบรรพบุรุษ ชุยตงซานก็ยิ้มถามว่า “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์เคยคิดถึงปัญหาข้อหนึ่งหรือไม่ เรื่องบางอย่างที่ยุ่งเหยิงดุจเชือกที่พันกัน เกี่ยวอะไรกับอาจารย์ด้วย?”

เฉินผิงอันเปิดประตูแล้วก็ยิ้มตอบว่า “ขอคิดดูอีกหน่อยแล้วกัน”

เปิดประตูห้องออกแล้ว เฉินผิงอันก็หยิบม้านั่งตัวเล็กออกมาสองตัว

ชุยตงซานนั่งลงแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “บนภูเขามีคำพูดประโยคหนึ่งที่ง่ายจะทำให้เกิดความคลุมเครือ ‘ฝึกตนบนภูเขามีสาเหตุ ที่แท้ล้วนเป็นเมล็ดพันธ์เทพเซียน’”

เฉินผิงอันเอ่ย “เคยได้ยินมาก่อน”

ชุยตงซานกล่าว “คนปกติได้ยินแล้วก็แค่จะรู้สึกว่าฟ้าดินไม่ยุติธรรม ปฏิบัติต่อตนอย่างเฉยชา คนที่คิดแบบนี้ อันที่จริงไม่ใช่เมล็ดพันธ์ที่เทพเซียนปลูก นอกเหนือจากความเจ็บแค้นแล้ว เอาเข้าจริงยังรู้สึกเศร้าเสียใจกับตัวเองด้วย นี่ต่างหากจึงจะเป็นสิ่งที่สมควรที่สุด”

เฉินผิงอันเงียบงันไม่ตอบ เขาใช้ปลายเท้าวาดวงกลมวงหนึ่งที่มีช่องโหว่เล็กมากจุดหนึ่งไว้บนพื้นดินของลานบ้าน จากนั้นก็วาดวงกลมที่ใหญ่กว่าไว้ด้านนอก “จำเป็นต้องมีทางให้เดิน ทุกคนจึงจะมีโอกาสให้เลือก”

คราวนี้กลายเป็นชุยตงซานที่ต้องเงียบบ้าง เขาเงียบไปพักใหญ่ แล้วถึงได้เปิดปากเอ่ยเนิบช้าว่า “นอกจากครั้งแรก ชีวิตของอาจารย์หลังจากนั้นมา อันที่จริงก็ไม่เคยได้เจอกับความสิ้นหวังที่แท้จริงมาก่อน”

เฉินผิงอันไม่ตอบ เขาสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ค้อมเอวน้อยๆ มองไปยังตรอกหนีผิงนอกประตูที่เปิดอ้าไว้

ชุยตงซานเอ่ยต่อว่า “ยกตัวอย่างเช่นปีนั้น สุดท้ายแล้วหลิวเสี้ยนหยางก็ต้องตายอยู่ดี”

ชุยตงซานเอ่ยอีกว่า “ยกตัวอย่างเช่นแท้จริงแล้วฉีจิ้งชุนต่างหากที่เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง เป็นคนที่วางแผนเล่นงานอาจารย์ได้อย่างลึกล้ำที่สุด”

แล้วก็พูดต่ออีกว่า “หรือยกตัวอย่างเช่นกู้ช่านทำให้อาจารย์รู้สึกว่าเขาสำนึกผิดแล้ว อีกทั้งยังพยายามปรับตัวแก้ไข ทว่าภายหลังถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้ไม่ใช่เช่นนี้ หรือยกตัวอย่างเช่นครั้งแรกที่เผยเฉียนกลับไปยังพื้นที่มงคลรากบัวก็ฆ่าเฉาฉิงหล่างตาย จากนั้นก็เลือกที่จะรอความตาย เดิมพันว่าอาจารย์จะไม่มีทางฆ่านาง”

ในที่สุดเฉินผิงอันก็เปิดปากเอ่ยว่า “สร้างฟ้าดินขนาดเล็กขึ้นมา ข้ามีคำพูดในใจบางอย่าง หากไม่เอ่ยออกมาคงอึดอัดแย่”

ชุยตงซานจึงใช้กระบี่บินวาดบ่อสายฟ้าสีทองบ่อหนึ่ง

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เดินวนเป็นวงกลมอยู่ในลานบ้านพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “หลังจากที่อาจารย์ฉีตายไปแล้ว แต่กลับยังคงคอยปกป้องมรรคาให้ข้า เพราะบนร่างของข้ามีศึกสามลัทธิที่อาจารย์ฉีจงใจให้เกิดขึ้นอยู่ ข้อนี้ข้ารู้ดี”

ชุยตงซานลุกพรวดขึ้นยืน “อาจารย์ไม่ควรรู้ความจริงเร็วขนาดนี้!”

เฉินผิงอันหันหน้ามามองชุยตงซาน พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “วางใจเถอะ ข้าฉลาดมาก แล้วก็เยือกเย็นมาก ดังนั้นอาจารย์ฉีไม่มีทางแพ้ ข้าเฉินผิงอันเองก็เหมือนกัน”

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท