เฉินผิงอันออกจากศาลามาเงียบๆ เดินลงแท่นสังหารมังกรมาหยุดอยู่ข้างกายหญิงชราท่านนั้น
หญิงชรายิ้มบางๆ กล่าวว่า “คารวะคุณชายเฉิน ข้าหญิงชราแซ่ป๋าย นามเลี่ยนซวง คุณชายเฉินสามารถเรียกข้าว่าป๋ายหมัวมัวตามคุณหนูได้”
เฉินผิงอันเรียกป๋ายหมัวมัวหนึ่งคำ แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
หญิงชราขยับเท้าก้าวเดินนำไปก่อนอย่างเงียบเชียบ ลมปราณทั่วร่างถูกเก็บซ่อนไว้ด้านในจนมองดูเหมือนบ่อน้ำโบราณที่นิ่งสนิท เฉินผิงอันเดินตามหญิงชราไป
หญิงชราเงียบงันไปชั่วขณะ หลังจากเดินออกมาได้ร้อยกว่าก้าวแล้วถึงได้ยิ้มกล่าวว่า “ดูท่าหลายปีมานี้ที่คุณชายเฉินท่องไปสี่ทิศในใต้หล้าไพศาล คงไม่ได้ผ่อนคลายนัก”
ตอนนี้นางมีตบะแค่ขอบเขตยอดเขา เพียงแต่ว่าสายตากลับยังคงเป็นสายตาของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางอยู่ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งที่เป็นเด็กรุ่นหลัง ต่อให้จะพยายามปกปิดอย่างสุดกำลังแค่ไหน แต่เมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของหญิงชราก็ไม่ต่างจากเด็กเล็กที่แบกของหนักเดินข้ามแม่น้ำ อีกฝ่ายมีพละกำลังมากเท่าไร นางย่อมรู้ชัดเจนดี ทว่าขอบเขตหกผู้ฝึกยุทธของคนหนุ่มที่อยู่ข้างกายนี้กลับปกปิดได้อย่างแนบเนียน นี่หมายความว่าคนหนุ่มไม่ใช่แค่เกิดความคิดชั่วคราว จึงจงใจกดขอบเขตให้ต่ำเฉพาะแค่ตอนที่มาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น แต่ทำมานานมากแล้วจนกลายเป็นธรรมชาติ ถึงได้สามารถทำได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่เช่นนี้
เฉินผิงอันพยักหน้ากล่าว “ไม่ได้ราบรื่นมากนัก แต่ก็เดินผ่านมาได้แล้ว”
หญิงชราหยุดเดิน ยิ้มถามว่า “ในบรรดาศัตรูทั้งหลาย ขอบเขตสูงสุดของผู้ฝึกลมปราณคือเท่าไร แล้วขอบเขตของผู้ฝึกยุทธคือเท่าไร?”
เฉินผิงอันตอบไปตามตรง “ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยาน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ แต่ฝ่ายแรกเป็นศัตรูคู่อาฆาต แน่นอนว่าข้าไม่ได้ผ่านมาได้โดยอาศัยตัวเองทั้งหมด จุดจบอเนจอนาถอย่างมาก แต่ฝ่ายหลังกลับเป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่จงใจชี้แนะวิชาหมัดให้แก่ข้าด้วยการกดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตเก้า แล้วออกหมัดใส่ข้าสามหมัด”
ต่อให้เป็นหญิงชราที่เกิดและเติบโตมาในสถานที่อย่างกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังอดตกตะลึงไม่ได้ นางพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ขนาดนี้แล้วคุณชายเฉินยังไม่ตายอีกหรือ?”
แล้วหญิงชราก็หัวเราะกับตัวเองพลางเอ่ยว่า “เสียมารยาทแล้ว หวังว่าคุณชายเฉินจะให้อภัย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “โชคไม่เลว”
หญิงชราส่ายหน้า “พูดแบบนี้ไม่ถูก กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรากลัวคำกล่าวว่าโชคดีมากที่สุด มองดูเหมือนโชคดี แต่ส่วนใหญ่มักจะต้องตายเร็ว เรื่องของโชคชะตานั้นจะให้ดีเกินไปไม่ได้ จะต้องสะสมไปทีละนิดถึงจะมีชีวิตได้ยาวนานหน่อย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “จำไว้แล้ว วันหน้าเวลาพูดจะระวังให้มาก”
หญิงชราโบกมือ “คุณชายเฉินไม่จำเป็นต้องระมัดระวังตัวขนาดนี้ อยู่ที่นี่ พูดง่ายเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็พูดง่ายแค่ในนี้เท่านั้นแหละ ออกไปข้างนอก ข้าอาจจะไม่พูดอะไรเลยก็ได้”
หญิงชราหัวเราะปากกว้าง “พูดจาถูกหูนัก แต่ว่าตอนนี้มีปัญหาเล็กๆ อยู่ข้อหนึ่ง หญิงแก่อย่างข้าหูตาฟ้าฟาง ชีวิตนี้ได้แต่เตร่ไปเตร่มาอยู่ในตระกูลเหยากับจวนหนิงเท่านั้น สถานที่อื่นๆ ไปเยือนไม่บ่อย ขนาดภูเขาห้อยหัวยังไม่เคยไปสักครั้ง บนหัวกำแพงเมืองและทางทิศใต้ก็ยิ่งไปน้อยครั้ง ตอนนี้คุณชายเฉินเข้ามาในจวน นอกจวนมีคนที่จับตามองพวกเราอยู่มากมาย หญิงแก่อย่างข้าไม่เคยพูดจาอ้อมค้อม ไม่ใช่ว่าข้าดูแคลนคุณชายเฉิน ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ อายุน้อยขนาดนี้ก็มีพรสวรรค์ด้านการเรียนวรยุทธขนาดนี้แล้ว ร้ายกาจอย่างมาก ข้ากับเจ้าคนแซ่น่าหลันผู้นั้นต่างก็ชื่นชมปลาบปลื้ม หญิงชราอย่างข้ายังดีหน่อย เพราะใจดำมากกว่า ทว่าตาแก่หนังเหนียวนั่นกลับแอบวิ่งไปจุดธูปแล้ว คาดว่าคงหลั่งน้ำตาไปไม่น้อย อายุปูนนี้แล้วไม่รู้จักอายเสียบ้าง”
เฉินผิงอันกล่าว “ป๋ายหมัวมัวเชิญออกหมัดได้ตามสบาย หากรับไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะยอมอยู่ในจวนแห่งนี้แต่โดยดี”
หญิงชราซอยเท้าขยับตรงไปเบื้องหน้า มองไม่เห็นคลื่นลมปราณใดๆ ไหลวนเวียน แต่หมัดหนึ่งกลับพุ่งออกมา เฉินผิงอันใช้มือซ้ายและศอกซ้ายกดหมัดนั้นไว้ ขณะเดียวกันก็ปล่อยหมัดขวาใส่หน้าหญิงชรา เพียงแต่ว่าเก็บปณิธานหมัดกลับคืนในชั่วพริบตา ยั้งหมัดนี้เอาไว้
แต่หญิงชรากลับไม่มีท่าทีว่าจะเก็บหมัด ต่อให้จะถูกข้อศอกของเฉินผิงอันกดหมัดลงมาได้ชุ่นกว่าๆ แต่หมัดนั้นก็ยังต่อยเปรี้ยงลงบนร่างของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันไถลถอยกรูดออกไปบนระเบียงหลายจั้ง ใช้กระบวนท่าหมัดชั้นสูงประคองรากฐานของปณิธานหมัดเอาไว้ เรือนกายที่โก่งงอเหมือนวานรพลันขยายปณิธานหมัด สันหลังเหมือนกระดูกมังกรใหญ่ พริบตานั้นร่างก็พลันหยุดชะงัก ยืนนิ่งได้อย่างมั่นคง หากไม่เป็นเพราะนี่เป็นแค่การประลองที่ต่างฝ่ายต่างหยุดเมื่อพอสมควร บวกกับที่หญิงชราแค่ปล่อยหมัดของขอบเขตเดินทางไกล ไม่อย่างนั้นอันที่จริงเฉินผิงอันก็สามารถสวนทวนกระแส หรือถึงขั้นต้านรับหมัดนี้ไว้ได้โดยที่ไม่ถอยร่นแม้แต่ครึ่งก้าว
หญิงชรายิ้มพลางพยักหน้ารับ “ถือเสียว่ารับของขวัญพบหน้าจากคุณชายเฉินแล้ว ถ้าอย่างนั้นหญิงแก่เช่นข้าก็คงไม่ถ่วงเวลาการชมจันทร์ของคุณชายเฉินแล้ว”
ผู้ดูแลเฒ่าคนนั้นมาหยุดอยู่ข้างกายหญิงชรา เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “นินทาข้าทำไม?”
หญิงชรายิ้มกล่าว “ทำไม รู้สึกว่าขายหน้าว่าที่ท่านเขยหรือ? เจ้าน่าหลันเย่สิงยังจะมีหน้าตากะผายลมอะไรอีก”
ผู้ดูแลเฒ่าถอนหายใจหนึ่งที
เฉินผิงอันกลับมาที่ศาลา หนิงเหยาลุกขึ้นมานั่งแล้ว
เฉินผิงอันกล่าว “ทำไมไม่นอนหลับให้นานอีกหน่อย”
หนิงเหยาหัวเราะเสียงเย็น “มิกล้า”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างน้อยใจ “ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าไม่ใช่คนประเภทนั้น”
เผยเฉียนเรียนรู้มาจากใครมากที่สุด หากเฉินผิงอันไม่ได้เป็นเงามืดใต้โคมไฟ ก็คงแกล้งโง่
หนิงเหยาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน มือหนึ่งถือหนังสือเล่มนั้น สองนิ้วคีบเปิดหน้าหนังสือ เปิดไปที่หน้านักพรตหญิงของพื้นที่มงคลดอกบัว แล้วก็คีบอีกหน้า คือสุยโย่วเปียนสตรีในม้วนภาพ ผ่านไปอีกไม่กี่หน้าก็มาเจอกับเหยาจิ้นจือแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียนคนนั้น
เฉินผิงอันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยื่นคอยืดยาว มองหนิงเหยาที่เปิดตำราหน้าแล้วหน้าเล่า หนังสือเล่มนี้เขาเป็นคนเขียนเอง ประมาณหน้าไหนเขียนประสบการณ์แห่งภูเขาสายน้ำเรื่องใด ในใจเขาย่อมรู้ดี เวลานี้จึงพลันรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม แม่นางหนิงเจ้าจะอ่านหนังสือแบบนี้ไม่ได้นะ มีเรื่องราวแปลกประหลาด มีสถานที่ท่องเที่ยวงดงามที่เขียนไว้ยาวเหยียดอยู่หลายบทขนาดนั้น ตนบันทึกแต่ละคำแต่ละประโยคไว้ด้วยความตั้งใจ จะพลาดไปได้อย่างไร เจ้าเอาแต่ไปอ่านเรื่องปลีกย่อยเล็กน้อย ตัดเอาเฉพาะส่วน ผิดต่อหลักการอ่านตำราแบบนี้ได้อย่างไร
หนิงเหยาปรายตามองเฉินผิงอัน “ข้าได้ยินมาว่าเวลาที่บัณฑิตเขียนบทความ มักจะชอบทิ้งส่วนให้ขบคิดเอาไว้เสมอ ยิ่งเป็นถ้อยคำที่กระชับเรียบง่ายก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ ซ่อนความคิดเอาไว้ มีความหมายลึกล้ำ”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่รู้เลย ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่บัณฑิตที่มีนิสัยอ้อมค้อมวกวนไปมา มีหนึ่งก็พูดหนึ่ง มีสองเขียนสอง มีสามคิดสาม ล้วนเขียนไว้บนตำราอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว”
หนิงเหยาก้มหน้าอ่านตำราต่อ ถามว่า “มีสตรีที่ไม่ได้ปรากฏในตำราบ้างหรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบอย่างหนักแน่น “ไม่มี!”
หนิงเหยาเงยหน้า ยิ้มถามว่า “ถ้าอย่างนั้นรู้สึกว่าข้ากำลังทำตัวงี่เง่า คิดบัญชีย้อนหลัง ระแวงส่งเดชหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มส่ายหน้า
หนิงเหยาพยักหน้ารับ ในที่สุดก็ยอมปิดตำราลง พูดอย่างให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงว่า “ตอนที่จัดการกับเทพธิดากู้ชิงของดินแดนเซียนเป่าต้งในศาลเทพวารีของอุตรกุรุทวีป ทำได้ว่องไวหมดจดดีมาก วันหน้าก็พยายามให้มากขึ้นอีก”
เฉินผิงอันกล่าว “โอกาสแบบนี้คงไม่มีอีกแล้ว”
หนิงเหยาเลิกคิ้ว “เฉินผิงอัน เดี๋ยวนี้เจ้าพูดเก่ง เข้าใจพูดขนาดนี้ สรุปแล้วไปเรียนมาจากใครกันแน่?”
เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเลว่า “หากเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดี ก็ต้องเป็นเพราะเรียนรู้มาจากจูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิงแห่งภูเขาลั่วพั่วแน่”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ “จูเหลี่ยนนั้นบอกได้ยาก เพราะถึงอย่างไรข้าก็ไม่เคยเจอมาก่อน แต่เจิ้งต้าเฟิงผู้นั้น ดูท่าแล้วก็ไม่ใช่คนมีแก่นสารอะไรจริงๆ”
แต่หนิงเหยาก็เอ่ยอีกว่า “แต่ศึกในนครมังกรเฒ่า เจิ้งต้าเฟิงทำให้คนต้องมองเขาเสียใหม่ ก็แค่มองดูเหมือนไม่จริงจัง แต่กลับเป็นคนที่เอาจริงเอาจังมากที่สุด เส้นทางการเป็นผู้ฝึกยุทธของเจิ้งต้าเฟิงขาดสะบั้น เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากจริงๆ เชาช่วยเจ้าเฝ้าประตูใหญ่ให้กับภูเขาลั่วพั่ว เจ้าก็ห้ามละเลยเขาเด็ดขาด ส่วนบุรุษบางคน มองภายนอกดูเหมือนเป็นคนจริงจัง แต่แท้จริงแล้วในท้องมีแต่ความคิดบิดเบี้ยว จิตใจโลเล”
เฉินผิงอันมองหนิงเหยา หนิงเหยามองเขา
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “คงไม่ได้หมายถึงข้าใช่ไหม?”
หนิงเหยาถาม “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไม่ใช่แน่นอน”
หนิงเหยาหัวเราะ
เฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองถูกใส่ร้ายจริงๆ
เขาออกท่องยุทธภพด้วยปราณเที่ยงตรงทั่วร่าง ไม่เคยข้องเกี่ยวกับสตรีเลยแม้แต่น้อย
หนิงเหยาไม่มีท่าทีว่าจะคืนตำรามาให้ นางเก็บมันไว้ในวัตถุจื่อชื่อของตนแล้วลุกขึ้นยืน “จะพาเจ้าไปยังที่พัก จวนกว้างใหญ่ หลายปีมานี้ก็มีแค่ข้า ป๋ายหมัวมัวและท่านปู่น่าหลันสามคนที่อยู่อาศัย เจ้าเลือกเอาเรือนที่ถูกใจได้เลย”
เฉินผิงอันลุกขึ้นตามไปด้วย “เจ้าพักอยู่ที่ไหน?”
หนิงเหยาหยุดเดิน หันหน้ามามองเฉินผิงอัน นางยิ้มตาหยี กำมือเป็นหมัด “ไหนเจ้าลองพูดให้ดังๆ หน่อยสิ ข้าไม่ได้ยิน”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ข้าแค่อยากเลือกเรือนที่อยู่ใกล้กับเจ้าหน่อย”
หนิงเหยาเขินอายเล็กน้อย ถลึงตาใส่เขาพลางเอ่ยว่า “อยู่ที่นี่เจ้าทำตัวให้ดีๆ หน่อย ป๋ายหมัวมัวก็คือสาวใช้ประจำกายของท่านแม่ข้า หากเจ้ากล้ามือไม้ยุกยิก ไม่รักษากฎ หมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาจะป้อนให้เจ้าอิ่มจนเรอออกมาเลยเชียว”
เพียงแต่ว่าพอกล่าวมาถึงตรงนี้ หนิงเหยาก็นึกถึงบันทึกบางช่วงในตำราขึ้นมาได้ รู้สึกว่าดูเหมือนหมัดของป๋ายหมัวมัวจะยังขู่เขาไม่ได้ จึงเปลี่ยนวิธีพูดใหม่ “ท่านปู่น่าหลันเคยเป็นหนึ่งในเซียนกระบี่ที่เชี่ยวชาญการอำพรางตัวและลอบฆ่าที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อกำเนิดแห่งชะตาชีวิตถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง ทำให้จิตวิญญาณของเขาทุกวันนี้โรยรา แต่พลังการต่อสู้ก็ยังเทียบเคียงได้กับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ หากถูกเขาจับตามองอย่างลับๆ ถ้าอย่างนั้นก็สามารถมองท่านปู่น่าหลันเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินได้เลย”
เฉินผิงอันวางใจได้มากขึ้น เขาถามว่า “ท่านปู่น่าหลันขอบเขตถดถอยก็เพราะปกป้องเจ้าเหมือนกันหรือ?”
หากเป็นคนอื่น เฉินผิงอันไม่มีทางเปิดปากถามอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้แน่นอน แต่หนิงเหยานั้นไม่เหมือนกัน
ปีนั้นตอนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู วิธีการจัดการกับเรื่องราวของหนิงเหยาเคยทำให้เฉินผิงอันได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง