กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 576.5 ออกหมัดในสถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ

บทที่ 576.5 ออกหมัดในสถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ

ชั่วพริบตานั้น

ม่านตาดำของเยี่ยนจั๋วพลันหดตัว

คนชุดเขียวมาโผล่พรวดอยู่ข้างกายเขา ยังคงสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ พูดด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “ทำไมข้าต้องแสร้งทำเป็นว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บด้วย? เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้อย่างนั้นหรือ? ตลอดทางที่ข้าเดินทางมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ผ่านการต่อสู้มาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง กับอีกแค่สามครั้งจะเป็นไรไป”

เยี่ยนจั๋วถามเสียงเบา “เฉินผิงอัน ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงมาโผล่อยู่ข้างกายข้าได้? ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมีความเร็วมากขนาดนี้เชียวหรือ? ไม่อย่างนั้นพวกเรามาทิ้งระยะห่างจากกันแล้วค่อยประมือกันใหม่อีกครั้งดีไหม? เมื่อครู่นี้ข้าก็แค่กำลังโมโห ก็เลยไม่ได้สนใจ ไม่นับๆ พวกเรามาเริ่มกันใหม่”

เฉินผิงอันยิ้มพลางคีบยันต์แผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “คือยันต์ฟางชุ่น สามารถช่วยให้ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวย่อพื้นที่ได้”

เยี่ยนจั๋วพลันกระจ่างแจ้ง

เฉินผิงอันเก็บยันต์ลงไป

เยี่ยนจั๋วที่เพิ่งจะมารู้สึกตัวภายหลังพลันยิ้มพูดอย่างฉุนๆ ว่า “เจ้ายังไม่ได้ใช้ยันต์แผ่นนี้สักหน่อย?! เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่ากำลังหลอกคนโง่หรือไร?”

เฉินผิงอันซ่อนสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เขายกแขนขึ้น ยิ้มกล่าวว่า “มีสองมือนะ”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หุบยิ้ม มองไปยังสตรีแขนเดียวที่อยู่ห่างไปไกล เอ่ยขออภัยว่า “ไม่ได้คิดจะล่วงเกินแม่นางเตี๋ยจ้างนะ”

เตี๋ยจ้างยิ้มส่ายหน้า “ข้าไม่ใช่เจ้าอ้วนเยี่ยนที่พุงใหญ่ แต่ใจแคบสักหน่อย คำพูดของคุณชายเฉินต่อจากนี้ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องที่ข้าแขนขาด เพราะมันคือเรื่องเล็ก ต่อให้เอามาล้อเล่นก็ไม่เป็นไรเลย พี่หญิงหนิงก็เคยล้อข้า บอกว่าหากวันหน้าได้ครองคู่กับบุรุษที่รัก แล้วเกิดความรู้สึกที่ยากจะควบคุม อยากจะกอดกันและกัน แบบนั้นจะไม่กระอักกระอ่วนแย่หรือ ข้ายังเคยตั้งใจใคร่ครวญถึงปัญหายากข้อนี้เป็นพิเศษ คิดว่าควรจะยื่นแขนข้างเดียวออกไปอย่างไร ควรจะใช้ท่าทางแบบไหน”

หนิงเหยายื่นมืดมาบิดแก้มเตี๋ยจ้าง “พูดเหลวไหลอะไรน่ะ!”

ต่งฮว่าฝูที่ยืนอยู่ด้านข้างถอนหายใจดังเฮ้อ ที่แท้พี่หญิงหนิงก็พูดคุยเรื่องพวกนี้ด้วย ถือว่าได้เปิดโลกเลยนะเนี่ย

หนิงเหยามองมาทางเฉินผิงอัน ฝ่ายหลังพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม หนิงเหยาถึงได้เอ่ยว่า “ไป ไปหาเหล้าดื่มใกล้ๆ กับร้านของเตี๋ยจ้างกัน”

ตอนที่ทุกคนเดินออกจากบ้าน หนิงเหยายังสั่งสอนเตี๋ยจ้างที่ปากไม่มีหูรูดด้วยสายตา

เตี๋ยจ้างยิ้มเอ่ยขอโทษไปตลอดทาง ก็แค่ดูไม่มีความจริงใจสักเท่าไร

ต่งฮว่าฝูเดินอยู่รั้งท้าย เขาเคยชินเสียแล้ว

เฉินผิงอันถูกเฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋วขนาบข้างซ้ายขวาราวกับเทพทวารบาลสององค์ เยี่ยนจั๋วพูดเสียงเบาว่า “เฉินผิงอัน ด้วยวิชาที่โผล่เข้าโผล่ออกอย่างลึกลับนี้ของเจ้า บวกกับที่เจ้าคือปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธที่ชื่อเสียงโด่งดังและมีน้อยจนนับนิ้วได้ของใต้หล้าไพศาล การต่อสู้สองครั้งแรก หากโชคดี ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถประคองตัวต่อไปได้ หากแพ้ในครั้งที่สาม ข้าผู้นี้เป็นคนมีคุณธรรมน้ำใจเป็นที่สุด จะยอมแบกเจ้ากลับมาที่นี่เอง!”

เฉินซานชิวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อย่าไปเชื่อคำพูดพล่อยๆ ของเจ้าอ้วนเยี่ยน ออกจากบ้านมาแล้ว การช่วงชิงกันในด้านปณิธานความฮึกเหิมของคนรุ่นเยาว์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนต่างถิ่นที่เดินทางมาไกลอย่างเจ้า การจับคู่ประลองฝีมือระหว่างผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเรา หนึ่งเพราะต้องทำตามกฎเกณฑ์ จึงไม่มีทางที่จะทำร้ายรากฐานการฝึกตนของเจ้า สองก็เพราะแค่ตัดสินแพ้ชนะกันเท่านั้น ผู้ฝึกกระบี่ออกกระบี่ล้วนรู้จักหนักเบาเสมอ ไม่มีทางที่จะทำให้เลือดท่วมร่างเจ้าแน่นอน”

ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันเอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้คนทั้งสองมึนงงไม่เข้าใจ “หากเป็นอย่างนั้น กลับกลายเป็นว่าจะเป็นเรื่องยุ่งยาก”

หลังเดินออกมาจากประตูใหญ่ของจวนหนิง แม้ว่าข้างนอกจะมีผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยมารวมกลุ่มกันกลุ่มละสองสามคน แต่กลับไม่มีใครออกหน้ามาพูด

จนกระทั่งคนทั้งกลุ่มเดินไปใกล้จะถึงร้านของเตี๋ยจ้าง บนถนนสายยาวแทบจะไม่มีคนเดินเท้า สองข้างทางล้วนมีแต่ร้านเหล้าตั้งเรียงราย

มีหลายคนที่รีบรุดมาดื่มเหล้าก่อนเพื่อรอชมเรื่องสนุก แต่ละคนดื่มเหล้ากันไป แต่กลับไม่มีใครพูดคุยกัน มีเพียงแค่รอยยิ้มที่คลุมเครือมีเลศนัย

มีคนหนุ่มคนหนึ่งมายืนอยู่บนถนนใหญ่ ภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน คนหนุ่มที่ตรงเอวพกกระบี่เล่มยาวก้าวเดินมาข้างหน้าช้าๆ

หนิงเหยาชำเลืองตามองแวบหนึ่งแล้วก็ไม่มองอีก แต่หันไปคุยกับเตี๋ยจ้างต่อ

เยี่ยนจั๋วเอ่ยเตือนเสียงเบา “คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกร มีนามว่าเริ่นอี้ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของคนผู้นี้มีชื่อว่า…”

เฉินผิงอันกลับยิ้มกล่าวว่า “แค่รู้ว่าอีกฝ่ายมีขอบเขตอะไรและชื่ออะไรก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นก็จะชนะได้อย่างไม่สมเกียรติ”

เฉินซานชิวหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าเริ่นอี้คนนี้ ไม่เสียแรงที่เป็นสุนัขรับใช้อันดับหนึ่งข้างกายฉีโซ่ว ไม่ว่าทำอะไรก็ล้วนชอบเป็นแนวหน้าอยู่เสมอ”

เริ่นอี้หยุดอยู่ห่างไปห้าสิบก้าว “เฉินผิงอัน ยินดีมาประลองกับข้าหรือไม่?”

เฉินผิงอันเดินนำไปข้างหน้าสองสามก้าวเพียงลำพัง แต่ปากกลับเอ่ยว่า “หากข้าบอกว่าไม่ยินดี เจ้าจะรับคำอย่างไร?”

เริ่นอี้เอามือข้างหนึ่งกดด้ามกระบี่ ยิ้มกล่าวว่า “หากไม่ยินดี ก็แสดงว่าไม่กล้า ข้าไม่ต้องรับคำ แล้วก็ไม่ต้องออกกระบี่”

พริบตานั้นทุกคนที่ชมศึกอยู่ก็เห็นเพียงว่าชุดสีเขียวพุ่งทะยานราวกับสายฟ้า กระโจนวูบไปถึง และจนกระทั่งบัดนี้ บนถนนถึงเพิ่งจะมีแรงสะเทือนอื้ออึงดังขึ้นมาระลอกหนึ่ง

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มห้าขอบเขตล่างที่ขอบเขตต่ำหน่อยพากันสบถด่ามารดาอีกฝ่าย เพราะจอกเหล้าถ้วยเหล้าบนโต๊ะล้วนเด้งกระดอนทำให้สุรากระฉอกออกมาไม่น้อย

ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางส่วนใหญ่จะใช้ปราณกระบี่ของตัวเองสลายความเคลื่อนไหวนั้น แล้วก็รวบรวมสมาธิจ้องมองการต่อสู้ตรงจุดนั้นต่อ

ส่วนพวกเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนที่แอบปะปนมาอยู่ในกลุ่มคนกลับไม่สนใจการกระทบกระแทกกันของถ้วยชามบนโต๊ะเลยแม้แต่น้อย

เริ่นอี้ผู้นั้นค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าข้างกายมีคนหนุ่มชุดเขียวมายืนอยู่ อีกฝ่ายเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งจับแขนข้างที่ชักกระบี่ของเขาเอาไว้ แค่นั้นเขาก็ไม่อาจชักกระบี่ออกมาได้แล้ว ไม่เพียงเท่านี้ คนผู้นั้นยังยิ้มกล่าวว่า “ไม่ต้องออกกระบี่กลับออกกระบี่ไม่ได้เลย คือคนละเรื่องเลยทีเดียว”

ร่างของเฉินผิงอันพุ่งวูบไปมาไม่อยู่นิ่ง คอยหลบกระบี่บินเล่มหนึ่งที่เร็วราวสายฟ้าแลบ เพียงแต่ว่าเมื่อเริ่นอี้จะออกกระบี่อีกครั้ง มือข้างที่จับกระบี่กลับถูกคนที่อยู่ด้านหลังผู้นั้นกุมเอาไว้อีก และยังคงชักกระบี่ออกจากฝักไม่ได้อยู่เหมือนเดิม

หลังจากผ่านไปสองสามครั้ง เริ่นอี้ก็คิดจะเปลี่ยนกลยุทธใหม่ เขาจะทะยานลมลอยขึ้นกลางอากาศ หมายทิ้งระยะห่างออกจากผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่อยู่บนพื้นคนนั้น จะได้ออกกระบี่ได้ตามใจชอบ

เพียงแต่ว่าไม่ว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่มีชื่อเสียงด้านความรวดเร็วฉับไวเล่มนั้นจะมีวิถีการโคจรที่ยากจะคาดเดาแค่ไหน มุมการทิ่มแทงลึกลับเท่าไรก็ยังไม่อาจแตะโดนแม้แต่ชายเสื้อของคนผู้นั้น

และเมื่อเท้าทั้งสองของเริ่นอี้เพิ่งจะลอยพ้นจากพื้นก็ถูกคนผู้นั้นใช้ฝ่ามือกดบ่าเบาๆ เท้าทั้งสองของเขาจึงถูกตบกลับมาบนพื้นอีกรอบ “ยามที่ผู้ฝึกกระบี่สังหารศัตรู เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ประชิดตัวเป็นที่สุดไม่ใช่หรือ?”

สภาพจิตใจของเริ่นอี้ยังคงเป็นปกติ เตรียมจะ ‘แบ่งสมาธิ’ ไปบังคับตะเกียบที่อยู่ในร้านเหล้าสองด้านมาเป็นกระบี่บินของตัวเองชั่วคราว ใช้จำนวนที่มากกว่าคว้าเอาชัยชนะ ถึงเวลานั้นอยากจะรู้นักว่าไอ้หมอนี่จะหลบอย่างไร

เริ่นอี้ล้มเลิกความตั้งใจเดิมที่จะใช้กระบี่บินทำร้ายศัตรู เพียงแค่ใช้กระบี่บินบินวนรอบด้าน ส่วนตัวเองเริ่มถอยหลังหนีห่างออกไป

แต่เริ่นอี้ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ตนก็แค่ถ่วงเวลาสถานการณ์การรบไปได้แค่ชั่วครู่ชั่วยาม พยายามไม่ให้ตนแพ้อย่างไม่เหลือหน้าตาศักดิ์ศรีเกินไปก็เท่านั้น ไม่อย่างนั้นความทรงจำที่มอบให้ทุกคนก็จะกลายเป็นว่าเขาไม่มีเรี่ยวแรงเหลือให้เอาคืนเลย ส่วนอีกฝ่ายที่หากคิดจะออกหมัดทำร้ายเขา กลับเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง แต่ว่าหากคิดใคร่ครวญอย่างละเอียดจริงๆ ทำอย่างนี้ยิ่งน่าอายกว่าเดิมเสียอีก! คาดว่าคนต่างถิ่นชุดเขียวผู้นั้นก็คงคิดเช่นนี้ ถึงได้มาปรากฎตัวอยู่ข้างกายเริ่นอี้ แล้วใช้สองนิ้วคีบกระบี่บินเล่มนั้นเอาไว้ ยื่นมืออีกข้างหนึ่งมาผลักหัวของอีกฝ่ายให้เข้าไปในร้านเหล้าข้างทางร้านหนึ่ง

พละกำลังพอเหมาะพอดี เริ่นอี้ไม่ได้ชนโต๊ะเหล้าที่อยู่ติดกับถนน ฝีเท้าโซเซอยู่สองสามก้าวก็หยุดร่างยืนนิ่งได้อย่างรวดเร็ว เฉินผิงอันโยนกระบี่บินเล่มนั้นกลับคืนไปเบาๆ เริ่นอี้ทั้งอับอายทั้งขุ่นเคือง ทะยานลมออกไปจากถนนใหญ่โดยตรง

และเวลานี้เอง คุณชายชุดขาวเรือนกายสูงโปร่งคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างร้านเหล้า ไม่ได้พกกระบี่ก็เดินมาบนถนน “เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธก็กล้าหยามเกียรติผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเรางั้นหรือ? ทำไม ชนะไปรอบหนึ่งแล้วก็เลยคิดจะดูแคลนกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรางั้นรึ?”

ระหว่างที่พูด บริเวณรอบกายของคุณชายชุดขาวก็มีกระบี่บินมาลอยอยู่แน่นขนัด ไม่เพียงแค่นี้ ถนนทั้งเส้นด้านหลังของเขาล้วนประหนึ่งดั่งมีพลทหารที่จัดขบวนอยู่บนสนามรบ

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตต้องมีแค่เล่มเดียวแน่นอน แต่หากคิดจะหากระบี่บินที่แท้จริงเล่มนั้นกลับไม่ง่ายเลย

จุดที่ยุ่งยากที่สุดก็คือกระบี่บินของคนผู้นี้สามารถผลัดเปลี่ยนกันได้ตลอดเวลา จริงเท็จไม่แน่นอน หรือถึงขั้นพูดได้ว่ากระบี่บินทุกเล่มล้วนเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต

เยี่ยนจั๋วยังอยากจะจงใจ ‘คุยเล่น’ กับเฉินซานชิว พูดถึงปัญหายุ่งยากของกระบี่บินของคนผู้นี้ แต่หนิงเหยากลับหันหน้ามามอง เป็นการบอกเป็นนัยแก่เจ้าอ้วนเยี่ยนว่าไม่ต้องพูด

เยี่ยนจั๋วจึงได้แต่ล้มเลิกความคิด

สายตาของเฉินผิงอันมองตรงไปเบื้องหน้า กระบี่บินเหมือนน้ำหลากที่ทะลักทลายกรูเข้าหาเขา

เฉินผิงอันขยับตัวในแนวขวางเข้าไปในร้านเหล้าพร้อมยิ้มบางๆ เอ่ยว่าหลีกทางหน่อยๆ อีกฝ่ายจึงแบ่งค่ายกลกระบี่ที่เหมือนทหารในสนามรบออกมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า กระบี่บินสิบกว่าเล่มบินอ้อมกลับเสียงดังสวบๆ พากันพุ่งเข้าไปในร้านเหล้าน้อยใหญ่ขัดขวางทางไปของคนผู้นั้น เห็นเพียงว่าคนผู้นั้นคอยผงกหัวขอทาง เดี๋ยวๆ ก็เดินเบี่ยงตัวหันข้างอยู่บนถนน เดี๋ยวๆ ก็เดินเข้าไปในร้านเหล้าอีกครั้ง กระบี่บินทั้งหลายขยับเข้าใกล้คนผู้นั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อให้เกิดเสียงหัวเราะเคล้าไปด้วยเสียงก่นด่า ยังเจือปนมาด้วยเสียงโห่ร้องให้กำลังใจที่ไม่ค่อยเหมาะกับกาลเทศะเท่าไรอีกเล็กน้อย แต่กลับบาดหูมากเป็นพิเศษ

หากอยู่บนสนามรบทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เดิมควรเป็นเช่นนี้ แล้วก็ควรเป็นเช่นนี้

เซียนกระบี่กี่มากน้อยที่ก่อนจะตายได้จงใจพาตัวเองไปตกอยู่ในวงล้อมของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจ?

มีเซียนกระบี่กี่มากน้อยที่เมื่ออยู่ท่ามกลางการเข่นฆ่าในสนามรบ จงใจเลือกที่จะใช้เผ่าปีศาจร่างกำยำที่มีหนังหนาแต่ไม่ฉลาดมากพอมาเป็นโล่คุ้มกัน ต้านทานการฟันผ่าที่พุ่งเข้ามามืดฟ้ามัวดิน หาโอกาสให้ตัวเองได้พักหายใจหายคอสักพัก?

หลังจากที่เฉินผิงอันเดินกลับขึ้นมาบนถนนใหญ่อีกครั้ง เขาก็ไม่ ‘เดินทอดน่องสบายอารมณ์’ อีก แต่เริ่มชักเท้าวิ่งตะบึง

คุณชายชุดขาวที่เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนนั้นขมวดคิ้ว ไม่ได้เลือกจะเข้าใกล้อีกฝ่าย แต่ยกสองนิ้วทำมุทราพร้อมยิ้มบางๆ

หลังจากที่คนชุดเขียวผู้นั้นออกหมัดก็แค่ต่อยให้เสี้ยวเงาร่างที่ยังยืนอยู่ที่เดิมแตกสลายไปได้เท่านั้น ร่างจริงของผู้ฝึกกระบี่กลับไปรวมตัวกันอยู่ในค่ายกลกระบี่ด้านหลัง เรือนกายพลิ้วไสว มองดูแล้วสง่างามมากเป็นพิเศษ

ทำให้แม่นางน้อยและสตรีทั้งหลายที่มาชมศึกมีสีหน้าสดใสแช่มชื่น แน่นอนว่าพวกนางต้องหวังให้คนผู้นี้กุมชัยชนะได้อย่างสมบูรณ์

เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นดูเหมือนว่าคนชุดเขียวจะเอาจริงแล้ว เรือนกายของเขาล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ทำให้ผู้ฝึกกระบี่ที่ต่ำกว่าโอสถทองทุกคนมองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นไม่ชัดอีกแล้ว

คนหนุ่มที่สวมชุดผ้าป่านคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบาว่า “กระบี่บินยังคงไม่เร็วมากพอ แพ้แล้ว”

นักดื่มที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับเขาคือชายฉกรรจ์เคราดกที่ตาบอดข้างหนึ่ง เขาพยักหน้ารับแล้วยกถ้วยเหล้าขึ้นมาดื่ม

ครู่หนึ่งต่อมา

คุณชายชุดขาวสลายเรือนกายและกลับมารวมร่างใหม่หลายครั้งแล้ว แต่ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายกลับขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ทันรู้ตัว

สุดท้ายเขาก็ถูกคนชุดเขียวใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งกดหน้า แต่กลับไม่ได้ผลักห่างออกไปไกล แต่กดลงเบื้องล่างโดยตรง ทำให้หลังของเขานอนแนบติดถนน กระแทกจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่

เฉินผิงอันไม่ได้มองผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ลมปราณหยุดชะงักผู้นั้น เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “ที่ร้ายกาจ คือตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ไม่ใช่เจ้าหรือว่าใคร ขอเจ้าโปรดจำเรื่องนี้เสียใหม่”

เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน “จำไม่ได้? ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนคนมา”

เฉินผิงอันสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นก็ม้วนขึ้นเบาๆ เดินพลางยิ้มไปด้วยว่า “จะต้องเป็นคนที่กระบี่บินเร็วมากพอ เพราะจำนวนมากนั้นไม่มีประโยชน์เลยจริงๆ”

บนถนนใหญ่เงียบสงัด

เฉินผิงอันหยุดเดิน หรี่ตาลงเอ่ยว่า “ได้ยินว่ามีคนชื่อฉีโซ่วอยากได้แท่นสังหารมังกรของบ้านหนิงเหยาข้ามานานมากแล้ว ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากระบี่บินของเจ้าจะเร็วมากพอ”

หนิงเหยากำลังจะเปิดปากพูด

เหมือนจิตของเฉินผิงอันจะสัมผัสได้ เขาไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงแค่โบกมือเบาๆ

หนิงเหยาจึงไม่เอ่ยอะไรอีก

หลังจากภาพเหตุการณ์นี้ผ่านไป คนหนุ่มที่สวมชุดผ้าป่านผู้นั้นก็อดไม่ไหวยิ้มกล่าวว่า “อย่าว่าแต่ฉีโซ่วเลย แม้แต่ข้าก็ยังจะอดไม่ไหวอยากลงมือเต็มทีแล้ว”

คิดไม่ถึงว่าคนต่างถิ่นชุดเขียวบนถนนผู้นั้นจะหันมายิ้มมองเขา เอ่ยว่า “ผังหยวนจี้ ข้ารู้สึกว่าเจ้าสามารถลงมือได้”

คนหนุ่มที่อยู่ในร้านเหล้าพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้ากลัวว่าจะฆ่าเจ้าตาย”

เฉินผิงอันตอบ “ข้าขอร้องเจ้าว่าอย่าตาย”

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท