ซิ่วไฉเฒ่าทอดถอนใจเอ่ยว่า “ก็แค่เถียงแพ้เท่านั้น ไม่ใช่ว่าความรู้ของเจ้าไม่ลึกซึ้งถึงแก่น แล้วก็ไม่ใช่ว่าความรู้ด้านลัทธิพุทธของพวกเจ้าไม่ดีสักหน่อย ตอนนั้นข้าก็เกลี้ยกล่อมเจ้าแล้วว่าอย่าทำเช่นนี้ เหตุใดยังต้องบากหน้ามาขออาศัยลัทธิขงจื๊อของพวกเรา ตอนนี้กลับดีนัก ต้องลำบากแล้วเห็นไหม? คิดจริงๆ หรือว่าคนคนเดียวก็สามารถกินความรู้อันเป็นรากฐานของสองลัทธิได้หมด? หากมันเป็นเรื่องดีที่ง่ายดายขนาดนั้น ถ้าอย่างนั้นยังต้องโต้เถียงกันไปอีกทำไม สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะความสามารถในการไกล่เกลี่ยของมรรคาจารย์เต๋าศาสดาพุทธล้วนสูงไม่พอหรอกหรือ? อีกอย่าง เจ้าก็แค่เถียงไม่เก่ง แต่ต่อสู้เก่งมากนี่นา น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ”
คำพูดประโยคนี้หากดังเข้าหูลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อในสถานศึกษาศาลบุ๋น อาจฟังดูเนรคุณ เหมือนคนคิดทรยศต่อลัทธิของตัวเอง อย่างน้อยที่สุดก็เห็นคนอื่นดีกว่าคนของตัวเอง
อริยะลัทธิขงจื๊อที่หลังจากพ่ายแพ้ในการอภิปรายจึงเปลี่ยนสำนักใหม่ผู้นั้นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยามที่ไร้ขีดจำกัด ก็คืออิสระเสรี”
คำพูดง่ายๆ ประโยคเดียว กลับชักนำให้ฟ้าดินของกำแพงเมืองปราณกระบี่เปลี่ยนสี เพียงแต่ว่าไม่นานก็ถูกปราณกระบี่บนหัวกำแพงเมืองสลายภาพเหตุการณ์ประหลาดนั้นไป
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า ถอนหายใจเฮือกๆ แล้วร่างของเขาก็พุ่งวูบขยับมาอยู่ข้างกระท่อม เฉินชิงตูผายมือออกมา ยิ้มกล่าวว่า “เหวินเซิ่งเชิญนั่ง”
ซิ่วไฉเฒ่าเก็บสีหน้าทั้งหมดกลับคืนมา เอ่ยว่า “ศาลบุ๋นต้องการยืมตัวคนสามคนจากเจ้า”
เฉินชิงตูถาม “ทำไมถึงเป็นเจ้าที่มา? ไม่ใช่หลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งที่น่าจะถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรมมากกว่า แล้วก็ไม่ใช่รองเจ้าลัทธิของศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง?”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะร่า “ก็ข้าหน้าหนาไงล่ะ พวกเขามาแล้วก็มีแต่จะต้องหน้าหงายกลับไป”
เฉินชิงตูส่ายหน้า “ไม่ให้ยืม”
ซิ่วไฉเฒ่าพึมพำว่า “แบบนี้ไม่ค่อยประเสริฐแล้ว”
……
จั่วโย่วเดินมาหยุดอยู่นอกกระท่อม
ผ่านไปไม่นานเท่าไร ซิ่วไฉเฒ่าก็เดินออกมาจากกระท่อมด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “คุยยาก แต่ต่อให้คุยยากแค่ไหนก็ยังต้องคุย”
จั่วโยวถาม “อาจารย์จะไปจากที่นี่เมื่อไร?”
ซิ่วไฉเฒ่าเกาหัว “ถึงอย่างไรก็ต้องลองดูอีกหน่อย หากคุยกันไม่รู้เรื่องจริงๆ ก็จนปัญญาแล้ว หากถึงเวลาต้องไปก็ยังต้องไป ช่วยไม่ได้ ชีวิตนี้เกิดมามีชะตาเหนื่อยยาก มีชะตาที่ต้องเป็นแพะรับบาปแทนคนอื่น”
จั่วโย่วเอ่ย “ไม่ไปพบเฉินผิงอันสักหน่อยหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าพูดอย่างเดือดดาล “เจ้ามายุ่งอะไรกับข้าด้วย?”
จั่วโย่วจึงไม่เอ่ยอะไรอีก
ไม่เสียแรงที่เป็นบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาของสายเหวินเซิ่ง
ดูเหมือนซิ่วไฉเฒ่าจะรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ จึงตบไหล่จั่วโย่ว “จั่วโย่วเอ๋ย ในที่สุดอาจารย์กับบัณฑิตที่เจ้าค่อนข้างเคารพผู้นั้นก็บุกเบิกเส้นทางสายหนึ่งร่วมกันได้สำเร็จแล้ว ที่นั่นคืออาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลของใต้หล้าลำดับที่ห้าเชียวนะ ไม่ว่าอะไรก็มีมาก ก็มีแต่คนที่ไม่มาก วันหน้าในเวลาชั่วครู่ชั่วยามก็คงจะมีคนเพิ่มได้ไม่มากสักเท่าไร นี่ก็ตรงกับความต้องการของเจ้าพอดีไม่ใช่หรือ? ไม่ไปดูที่นั่นสักหน่อยหรือไร?”
จั่วโย่วส่ายหน้า “อาจารย์ ที่นี่ก็มีคนไม่มาก อีกทั้งยังดีกว่าใต้หล้าใหม่เอี่ยมแห่งนั้นด้วย เพราะว่าที่แห่งนี้ ยิ่งเป็นช่วงหลังก็ยิ่งมีคนน้อย ไม่มีทางที่จะกรูกันเข้ามายิ่งนานวันก็ยิ่งมากคนอย่างแน่นอน”
ซิ่วไฉเฒ่าบ่นอย่างเศร้าใจ “อาจารย์อย่างข้าช่างน่าน้อยใจนัก ลูกศิษย์แต่ละคนไม่มีใครเชื่อฟังข้าเลย”
จั่วโย่วเอ่ยเสียงเบา “ก็ยังมีเฉินผิงอันไม่ใช่หรือ”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังดีว่า “จั่วโย่วเอ๋ย หากเจ้ายังเอาแต่พูดแทงใจดำอาจารย์อยู่อย่างนี้คงไม่ค่อยเข้าทีแล้วนะ”
จั่วโย่วกล่าวอย่างกังขา “ทำไมการที่อาจารย์จะไปพบหน้าเฉินผิงอันถึงไม่เหมาะ?”
ซิ่วไฉเฒ่าทั้งยิ้มทั้งขมวดคิ้ว สีหน้าจึงแปลกประหลาดยิ่ง “ได้ยินว่าศิษย์น้องเล็กของเจ้าคนนั้นเพิ่งจะสร้างศาลบรรพจารย์ขึ้นที่ภูเขาบ้านเกิด แขวนภาพเหมือนของข้าเอาไว้ตรงกลาง สูงที่สุด อันที่จริงไม่ค่อยเหมาะเท่าไร แค่แอบแขวนไว้ในห้องหนังสือก็ได้แล้วนี่นา ข้าไม่ใช่คนที่พิถีพิถันในเรื่องเล็กน้อยสักหน่อย เจ้าก็เห็นว่าปีนั้นศาลบุ๋นยกรูปปั้นข้าออกไป อาจารย์อย่างข้าเคยถือสาไหม? ไม่ถือสาเลยสักนิด ชื่อเสียงเกียรติยศจอมปลอมบนโลกเป็นสิ่งฉาบฉวยไร้ต้นสายปลายเหตุ ประหนึ่งถั่วลิสงโรยเกลือที่กินแกล้มเหล้าคำแล้วคำเล่า”
จั่วโย่วเอ่ย “รบกวนอาจารย์ช่วยหุบรอยยิ้มบนหน้าหน่อย”
ซิ่วไฉเฒ่าร้องอ้อหนึ่งที สังเกตเห็นว่าตาเฒ่าเหยาผู้นั้นไม่ได้อยู่บนหัวกำแพงเมืองแล้ว เขาจึงขยี้แก้มตัวเอง กระโดดตัวสูง พลิกหลังมือตบป้าบเขาที่หัวของจั่วโย่ว “ยังจะมีหน้ามาพูดว่าคนอื่นพูดจาไร้สาระ เจ้าเองก็มีแต่คำพูดไร้สาระเป็นกระบุงโกยไม่ใช่หรือไร ในบรรดาลูกศิษย์ก็เจ้านี่แหละที่ทึ่มที่สุด”
จั่วโย่วรู้สึกจนใจเล็กน้อย “ถึงอย่างไรก็เป็นผู้อาวุโสในครอบครัวของหนิงเหยา ศิษย์ย่อมทำอะไรไม่สะดวกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวอย่างกังขา “ข้าเองก็ไม่ได้บอกว่าการที่เจ้าเก็บมือเก็บเท้าเป็นสิ่งที่ผิดนี่นา ไม่ต้องขยับมือเท้า แต่ปราณกระบี่ของเจ้ามีมากขนาดนั้น บางครั้งไม่ทันระวัง ควบคุมไม่ได้สักเสี้ยวครึ่งเสี้ยว ปล่อยให้มันวิ่งเข้าไปหาตาเฒ่าเหยา หากตาเฒ่าเหยาโวยวาย พวกเจ้าสองคนก็ถือโอกาสคล้อยตามสถานการณ์ไปประลองฝีมือกันดู ต่างคนต่างได้ผลประโยชน์ เอาชนะตาเฒ่าเหยาได้ เจ้าค่อยเอ่ยประจบคนเขาดังๆ อีกสักสองสามคำ เรื่องก็จบลงอย่างงดงามแล้ว แค่นี้เจ้าก็ไม่เข้าใจหรือ?”
จั่วโย่วพยักหน้ารับ “ศิษย์โง่เขลา อาจารย์พูดมีเหตุผล”
ซิ่วไฉเฒ่าหมุนตัวได้ก็วิ่งไปทางกระท่อม “คิดถึงเหตุผลบางอย่างขึ้นมาได้ ลองไปต่อรองราคาดูอีกสักหน่อย”
จั่วโย่วจึงเดินมาข้างหัวกำแพง
ครู่หนึ่งต่อมา ซิ่วไฉเฒ่าก็เดินถอนหายใจเฮือกๆ มาหยุดอยู่ข้างกายจั่วโย่ว
จั่วโย่วถาม “อาจารย์ ท่านว่าพวกเราที่ยืนอยู่บนฝุ่นเม็ดหนึ่งแล้วเดินไปยังฝุ่นอีกเม็ดหนึ่ง จะถือเป็นขีดจำกัดของผู้ฝึกตนแล้วหรือเปล่า”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “ต้นไม้หนึ่งต้นกับต้นไม้อีกต้นมักจะทักทายกันท่ามกลางสายลม ภูเขาหนึ่งลูกกับภูเขาอีกลูกอยู่ร่วมกันอย่างเงียบงันไร้สำเนียงมานานร้อยปีพันปี ลำคลองสายหนึ่งกับลำคลองสายหนึ่ง เมื่อเติบใหญ่แล้วก็จะมาชนกัน เมื่อมองดูสรรพสิ่งเงียบๆ ก็มักจะหาความสำราญให้กับตนได้เสมอ”
จั่วโย่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ขออาจารย์โปรดพูดให้เข้าใจง่ายสักหน่อยเถิด”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “ก็อาจารย์ไม่รู้คำตอบของปัญหาข้อนั้นของเจ้านี่นา ก็เลยได้แต่หาประโยคอื่นมาทำให้เจ้าสับสนแทน”
จั่วโย่วหมดคำพูด
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างปลงปนิจจังว่า “ตระกูลเซียนนั่งอยู่บนยอดเขา เส้นทางในโลกมนุษย์ย่อมเปื้อนเปรอะไปด้วยดินโคลน”
จั่วโย่วเอ่ย “อาจารย์กำลังตำหนิศิษย์”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ข้ากำลังเรียกร้องอริยะปราชญ์และวีรบุรุษผู้กล้าต่างหาก”
จากนั้นจั่วโย่วก็ชมทัศนียภาพร่วมกับอาจารย์ของตัวเองไปอีกตลอดทั้งคืนโดยที่ไม่เอ่ยอะไรอีก
เมื่อฟ้าสว่าง ซิ่วไฉเฒ่าก็หมุนตัวเดินไปที่กระท่อม พลางเอ่ยว่า “หากครั้งนี้ไม่อาจโน้มน้าวเฉินชิงตูได้ ข้าก็คงต้องไสหัวไปแล้วจริงๆ”
จั่วโย่วรอคอยคำตอบอยู่เงียบๆ ตลอดเวลา ยามเที่ยงวัน ซิ่วไฉเฒ่าก็เดินลูบหนวดออกมาจากกระท่อมเงียบๆ
จั่วโย่วเอ่ยเสียงเบา “เฉินผิงอันจะไปสู่ขอที่จวนหนิง ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ตอบตกลงแล้วว่าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้”
ซิ่วไฉเฒ่าอึ้งตะลึง จากนั้นก็ตีอกชกตัว “ตาแก่อย่างเฉินชิงตูนี่หน้าไม่อายเอาซะเลย! เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย เห็นว่าอาจารย์อย่างข้าตายไปแล้วหรือไร ก็ได้ ต่อให้ข้าร่อแร่ใกล้ตาย…”
เสียงปังดังขึ้นหนึ่งที
เรือนกายของซิ่วไฉเฒ่าที่เดิมทีล่องลอยไม่หยุดนิ่งก็กลายเป็นเงามายากลุ่มหนึ่งที่หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าอยู่ดีๆ ก็หายไปจากใต้หล้าแห่งนี้
จั่วโย่วหรี่ตาลง มือจับด้ามกระบี่ หันหน้ามาทางกระท่อม
ทว่าเพียงชั่วพริบตาก็มีแรงสั่นริ้วกระเพื่อมบางเบาเกิดขึ้น ซิ่วไฉเฒ่าหยุดยืนนิ่ง ท่าทางดูเหนื่อยล้าจากการเดินทางอย่างเห็นได้ชัด เขายื่นมือข้างหนึ่งออกมาตบแขนข้างที่กำกระบี่ของจั่วโย่วเบาๆ
จั่วโย่วยังคงไม่ปล่อยด้ามกระบี่
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “ช่างเถอะ เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว”
เฉินชิงตูปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าประตูกระท่อม ยิ้มถามว่า “เจ้าคิดจะเล่นแง่ไม่ยอมจากไปอยู่แบบนี้น่ะหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ “ต่อให้ข้าอยากอยู่นานๆ ก็ทำไม่ได้อยู่ดี ดื่มเหล้าแล้ว ข้าจะรีบม้วนเสื่อไสหัวกลับไปทันทีเลย”
นี่ก็คือการสยบกำราบจากฟ้าดิน
ตอนนั้นที่ลู่เฉินจากใต้หล้ามืดสลัวมายังใต้หล้าไพศาล แล้วเดินทางไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูก็ไม่ใช่เรื่องที่ผ่อนคลายเหมือนกัน ต้องเจอกับการสยบกำราบมหามรรคาจากทั่วทุกหนแห่ง
เฉินชิงตูยิ้มเอ่ยเตือนว่า “พวกเราที่นี่ไม่มีเสื่อของอาจารย์เหวินเซิ่งหรอกนะ เรื่องอย่างกลยุทธจูงแพะติดมือ แนะนำเจ้าว่าอย่าทำดีกว่า”
ซิ่วไฉเฒ่าพลันกระจ่างแจ้ง “ก็ถูก ก็ได้”
……
กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ไม่มีสงคราม อันที่จริงก็สงบสุขอย่างมาก แล้วก็มีรถม้าแล่นสวนกันขวักไขว่อยู่นอกจวนประตูสูงใหญ่ มีเสียงไก่ขันหมาเห่าในตรอกเล็กเก่าโทรม เพียงแต่ว่าที่นี่ไม่มีศาลบุ๋นบู๊ ศาลเทพอภิบาลเมือง ไม่มีความเคยชินในการติดภาพเทพทวารบาล กลอนคู่วันปีใหม่ แล้วก็ไม่มีขนบธรรมเนียมเซ่นไหว้หลุมศพบรรพบุรุษ
และถนนใหญ่ที่สภาพเละเทะไม่เหลือชิ้นดีสายนั้นก็กำลังอยู่ในช่วงของการซ่อมแซม พวกช่างพากันทำงานง่วน ส่วนตัวการร้ายที่ใหญ่ที่สุดผู้นั้น เวลานี้ก็กำลังมานั่งอาบแดดอยู่บนมานั่งหน้าประตูร้านที่ขายของเบ็ดเตล็ดร้านหนึ่ง
หนิงเหยาพูดคุยอยู่กับเตี๋ยจ้าง กิจการของร้านซบเซา เป็นเรื่องปกติอย่างมาก
เฉินผิงอันเห็นว่าเตี๋ยจ้างดูจะไม่ร้อนใจเลยสักนิด เขาถึงขั้นร้อนใจแทนนางแล้ว
เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายเพิ่งจะเคยพบหน้ากันแค่ไม่กี่ครั้ง เฉินผิงอันจึงไม่สะดวกที่จะเปิดปากพูดง่ายๆ สตรีที่อยู่ข้างกายสตรีผู้เป็นที่รัก จะต้องระวังเรื่องความเหมาะสมมากเป็นพิเศษ
เด็กตัวเท่าก้นคนหนึ่งแอบขยับเข้ามาใกล้ เขากำหมัดปัดจมูกตัวเองเพิ่มความกล้า เอ่ยถามว่า “เจ้าชื่อเฉินผิงอันใช่ไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ทำไม จะมาต่อสู้กับข้างั้นรึ?”
เด็กชายตกใจจึงถอยหลังไปหลายก้าว แต่ก็ยังไม่ยินดีจะจากไป เขาถามอีกว่า “เจ้าสอนวิชาหมัดหรือไม่ วันหน้าข้าสามารถจ่ายเงินเจ้าได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่สอน”
เด็กชายกล่าวอย่างแน่วแน่ว่า “หากเจ้ารังเกียจว่าเงินน้อยเกินไป ข้าสามารถเชื่อไว้ก่อนได้ วันหน้าเมื่อเรียนวิชาหมัด สังหารปีศาจหาเงินมาได้แล้ว ข้าค่อยทยอยใช้คืนให้ ถึงอย่างไรเจ้าก็มีความสามารถสูง หมัดใหญ่ขนาดนั้น ข้าไม่กล้าติดหนี้แล้วไม่ใช่คืนหรอก”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ทิ้งไหล่ลงอย่างผ่อนคลาย ถามด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “จะเรียนหมัดไปทำอะไร ไม่ควรฝึกกระบี่หรอกหรือ?”
เด็กชายกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้าไม่ใช่ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด ฝึกกระบี่ไปก็ไม่ได้เรื่อง แล้วก็ไม่มีใครยินดีจะสอนข้า ขนาดพี่หญิงเตี๋ยจ้างยังรังเกียจที่ข้าคุณสมบัติไม่ดี ยืนกรานจะให้ข้าไปเป็นช่างกระเบื้องให้ได้ อุตส่าห์ช่วยดูร้านให้นางมาตั้งหลายเดือน เสียเวลาเปล่าจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “การเรียนวรยุทธก็ไม่ต่างจากการฝึกกระบี่ ล้วนสิ้นเปลืองเงินทอง แล้วก็ต้องพิถีพิถันเรื่องพรสวรรค์ เจ้าไปเป็นช่างกระเบื้องนั่นแหละดีแล้ว”
เด็กชายนั่งยองอยู่ที่เดิม บางทีคงจะเดาผลลัพธ์นี้ไว้ได้นานแล้ว จึงมองประเมินคนหนุ่มชุดเขียวที่ได้ยินมาว่ามาจากใต้หล้าไพศาลด้วยสายตาประมาณว่า ในเมื่อเจ้าพูดจาไม่น่าฟังขนาดนี้ก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกันนะ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยว่า “หน้าตาเจ้าก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร ทำไมพี่หญิงหนิงต้องชอบเจ้าด้วย”
เฉินผิงอันรู้สึกตลกเล็กน้อย ถามว่า “ชอบคนคนหนึ่ง ดูแค่หน้าตาอย่างเดียวหรือไร”
เด็กชายย้อนถาม “ไม่อย่างนั้นจะดูอะไรล่ะ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าเองก็ไม่ได้หน้าตาขี้เหร่สักหน่อย”
เด็กชายที่นั่งยองอยู่ตรงนั้นส่ายหน้า ถอนหายใจ
เฉินผิงอันจึงรู้สึกใจเสียเล็กน้อย หน้าตาของตนสู้พวกเฉินซานชิว ผังหยวนจี้ไม่ได้ก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ขี้เหร่’ เลยสักนิด เขายกมือขึ้น ใช้ฝ่ามือถูปลายคางหาตอหนวด น่าจะเป็นเพราะไม่ได้โกนหนวดกระมัง
มีเด็กใจกล้าผู้นี้เป็นคนนำ รอบด้านจึงมีคนวัยเดียวกับเขาอีกกลุ่มใหญ่กรูกันเข้ามาเพิ่ม แล้วก็ยังมีเด็กหนุ่มอีกบางส่วน รวมไปถึงเด็กสาวที่อยู่ห่างไปไกลยิ่งกว่า
ในดวงตาเล็กใหญ่แต่ละคู่ที่มองมายังคนหนุ่มต่างถิ่นซึ่งต่อสู้ชนะสี่ครั้งติดผู้นี้ เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ใต้หล้าไพศาลคือฤดูใบไม้ผลิที่ต้นหลิวต้นหยางเคียงคู่ กำแพงเมืองปราณกระบี่ในเวลานี้ก็คือช่วงเวลาหนาวเหน็บที่ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดโชย
อยู่ห่างเพียงหนึ่งประตูกั้น แต่กลับเป็นใต้หล้าที่แตกต่าง ฤดูกาลที่แตกต่าง และยิ่งเป็นขนบธรรมเนียมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อยู่ที่กำแพงเมืองกระบี่ หากคิดจะมีชีวิตอยู่ต่อนั้นไม่ยาก ต่อให้เป็นเด็กที่อ่อนแอแค่ไหนก็ยังมีชีวิตอยู่ได้
แต่หากคิดจะมีชีวิตดีๆ อยู่ที่นี่ กลับยากลำบากอย่างถึงที่สุด
เพราะฉะนั้นคนที่มีความสามารถพอจะไปดื่มเหล้าบ่อยๆ ต่อให้จะเป็นการดื่มเหล้าที่ติดหนี้ไว้ก่อน ก็ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าลูกหลานแซ่ใหญ่ที่ไม่เพียงแต่ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินการอยู่ หากอยากมีชีวิตสุขสำราญที่ไม่แพ้กับอ๋องและโหว ก็ง่ายมากเช่นกัน
นี่คือบุญกุศลที่สะสมมาตั้งแต่รุ่นของบรรพบุรุษอย่างจริงแท้แน่นอน คือชีวิตร่ำรวยสุขสบายที่ล้วนเป็นอดีตเซียนกระบี่ อดีตผู้ฝึกกระบี่แต่ละคนเอาชีวิตแลกมา แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังต้องลงสนามรบเข่นฆ่าศัตรู สามารถมีชีวิตเดินลงมาจากหัวกำแพงได้ ก็สมควรจะได้เสวยสุข
อาจจะเพราะรู้สึกว่าเฉินผิงอันผู้นี้ค่อนข้างพูดคุยได้ง่าย
เพียงไม่นานข้างม้านั่งตัวเล็กของเฉินผิงอันก็มีคนกลุ่มใหญ่มารวมตัวกัน พูดคุยกันเสียงดังจอแจ มองดูแล้วครึกครื้นอย่างมาก
คนต่างถิ่นที่สามารถผ่านภูเขาห้อยหัวเข้ามาในนคร ส่วนใหญ่มักจะไปอยู่อาศัยในสถานที่ที่พวกตระกูลใหญ่แซ่ใหญ่ร่ำรวยรวมตัวกัน ไม่ชอบจะมาที่นี่
ครั้งแรกที่เฉินผิงอันมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เคยคุยเรื่องผู้คนและขนบธรรมเนียมในนครแห่งนี้กับหนิงเหยาหลายเรื่อง สำหรับใต้หล้าไพศาลที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด แต่กลับแตกต่างกันคนละฟ้าดิน เขารู้ดีว่าคนหนุ่มสาวที่เกิดและเติบโตที่นี่มีท่าทีที่แตกต่างกันไป บางคนป่าวประกาศว่าจะต้องไปกินบะหมี่หยางชุนรสชาติต้นตำรับของที่นั่นให้จงได้ มีคนได้ยินมาว่าที่ใต้หล้าไพศาลมีแม่นางที่งดงามอยู่มากมาย เป็นเพียงแค่แม่นางจริงๆ นุ่มนิ่มบอบบาง เอวที่บางดุจกิ่งหลิวยักย้ายส่ายไปส่ายมา สรุปก็คือไม่มีปราณกระบี่อยู่บนร่างแม้แต่เสี้ยวเดียว แล้วก็อยากรู้ว่าบัณฑิตของที่นั่นมีชีวิตเทพเซียนกันอย่างไร
เวลานี้ข้างกายเฉินผิงอันมีคำถามมากมายหลากหลาย บางคำถามเฉินผิงอันก็เอ่ยตอบ บางคำถามก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
มีเด็กคนหนึ่งที่ชีวิตนี้ยังไม่เคยไปที่หัวกำแพงทางทิศใต้บอกว่า บ้านเกิดของเจ้ามีภูเขาเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนที่เป็นสีเขียวมรกตอยู่จริงหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังฝนตก พอสูดลมหายใจเข้าลึกก็จะสามารถได้กลิ่นหอมของต้นไม้ใบหญ้า
มีเด็กหนุ่มที่ค่อนข้างโตคนหนึ่งถามเฉินผิงอันว่า เหล่าเทพขุนเขาสายน้ำสู่ขอภรรยา เทพอธิบาลเมืองตัดสินคดีความยามค่ำคืน ผีพรายภูตภูเขา คือภาพบรรยากาศแบบใดกันแน่
และยังมีคนรีบควักสมุดภาพวาดหลายเล่มที่ยับยู่ยี่ แต่ถูกเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติล้ำค่าออกมาหลายเล่ม บอกว่าที่เขียนไว้บนหนังสือล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งหมดหรือไม่ ถามเรื่องที่นกยวนยางหลบฝนใต้ใบบัว ถามว่าเรือนหลังใหญ่ของที่นั่นจะต้องกางตาข่ายใต้ชายคาเพื่อดักให้นกมาขี้จริงๆ หรือไม่ และยังมีหลังคาเรือนแบบสี่เหลี่ยมเปิดอ้าที่ให้น้ำสี่ทิศไหลมารวมกัน ตอนถึงช่วงหน้าหนาว หากฝนตกหรือหิมะตกจะไม่ทำให้คนหนาวมากหรอกหรือ? และยังมีสุราของที่นั่น เหมือนก้อนหินข้างทางที่ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อก็สามารถหาดื่มได้จริงไหม? อยู่ที่นี่หากดื่มเหล้าต้องควักเงินจ่าย อันที่จริงเป็นเรื่องไม่มีเหตุผลใช่ไหม? และยังมีหอโคมเขียวที่เหล่าสตรีมารวมตัวกัน สรุปแล้วคือสถานที่แบบใดกันแน่? แล้วอะไรคือดื่มเหล้าเคล้านารี? การลงต้นกล้าปลูกข้าวของที่นั่นคืออะไร? ทำไมคนที่นั่นพอตายไปแล้วจะต้องมีสถานที่ให้พักอาศัย ไม่กลัวว่าคนที่มีชีวิตจะไม่มีที่ให้อยู่อาศัยหรือ ใต้หล้าไพศาลกว้างขนาดนั้นจริงๆ หรือไร?
สุดท้ายเด็กหนุ่มคนหนึ่งบ่นว่า “รู้ไม่มากเท่าไรเลยนี่นา ถามสามข้อตอบข้อเดียว เสียแรงที่เป็นคนของใต้หล้าไพศาล”
เฉินผิงอันบิดข้อมือเบาๆ เอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก โบกมือกล่าว “แยกย้ายๆ อย่ามาถ่วงเวลาทำการค้าของพี่หญิงเตี๋ยจ้างพวกเจ้า”
เด็กตัวใหญ่เท่าก้นที่มาตีสนิทกับเฉินผิงอันก่อนใครคนนั้นนั่งอยู่ข้างม้านั่งตัวเล็ก เขาเอ่ยว่า “ร้านไม่ได้มีกิจการอะไรให้ทำสักหน่อย คุยกันต่อเถอะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คุยกับพวกเจ้าเรื่อยเปื่อยมาครึ่งวัน ข้าก็หาเงินไม่ได้สักเหรียญทองแดงเดียวนี่นา”
เสียงบ่นดังระงม แล้วทุกคนก็แยกย้ายราวนกแตกรัง
เด็กตัวเท่าก้นคนนั้นวิ่งออกไปไกลแล้วก็หันกลับมาตะโกนว่า “พี่หญิงหนิง ไอ้หมอนี่ขี้เหนียวยิ่งนัก ท่านจะชอบเขาไปทำไม!”
เฉินผิงอันแสร้งทำท่าว่าจะลุกขึ้น เด็กคนนั้นวิ่งปรู๊ดราวกับทาน้ำมันไว้ใต้รองเท้า เลี้ยวหายเข้าไปในหัวเลี้ยวของตรอกหนึ่ง แล้วโผล่หัวออกมาแผดเสียงตะโกนดังลั่นอีกครั้ง “พี่หญิงหนิง ไม่ได้โกหกท่านจริงๆ นะ เมื่อครู่นี้เฉินผิงอันแอบบอกกับข้าว่า เขารู้สึกว่าพี่หญิงเตี๋ยจ้างก็หน้าตาไม่เลวเหมือนกัน คนที่ใจโลเลแบบนี้ ท่านอย่าไปชอบเด็ดขาดเชียว”
หนิงเหยาที่อยู่ในร้านยืนพิงโต๊ะคิดเงิน นางกับเตี๋ยจ้างหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน
เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปบนม้านั่ง ชูนิ้วกลางไปทางตรอกเส้นนั้น
หลังจากเสียงเอะอะคึกคักผ่านพ้นไป แสงแดดอบอุ่น บรรยากาศเงียบสงบ เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้วก็รู้สึกยังปรับตัวไม่ค่อยได้เท่าไร
เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มีซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างกาย
ซิ่วไฉเฒ่ายื่นมือมาตบไหล่คนหนุ่ม “เติบใหญ่แล้ว ลำบากแล้ว”