เฉินผิงอันมาดื่มเหล้าที่ร้านอีกครั้งก็ห่างจากมรสุมครั้งก่อนไปสิบวันแล้ว เป็นช่วงปลายปี แต่กำแพงเมืองปราณกระบี่กลับไม่มีกลิ่นอายของวันสิ้นปีเข้มข้นเหมือนที่ใต้หล้าไพศาล
เถ้าแก่ใหญ่อย่างเตี๋ยจ้างยิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้นจากฝีมือของเถ้าแก่รอง และเตี๋ยจ้างเองก็ได้เรียนรู้คัมภีร์การทำการค้าจากเฉินผิงอันไปไม่น้อย ยิ่งนานก็ยิ่งคุ้นเคยกับการต้อนรับขับสู้ลูกค้า พูดง่ายๆ ก็คือนางได้ทุ่มศักดิ์ศรีหน้าตาทั้งหมดที่มีแล้ว
หากมีคนถามว่า ‘เถ้าแก่ใหญ่ วันนี้เลี้ยงเหล้าหรือไม่? ได้เงินเทพเซียนไปจากพวกเรามากมายขนาดนี้ก็น่าจะเลี้ยงสักครั้งสิ?’
เตี๋ยจ้างก็จะตอบว่า ‘เซียนกระบี่อย่างเจ้า จ่ายเงินซื้อเหล้าดื่มกับออกกระบี่สังหารปีศาจ ไหนเลยจะต้องให้คนอื่นทำแทนด้วย?’
ต่อให้ลูกค้าทุกคนจะพากันผิวปากแซว ทุกวันนี้เตี๋ยจ้างก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว
หลังจากทักทายเตี๋ยจ้างกับลูกค้าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีเรียบร้อย เฉินผิงอันก็หิ้วม้านั่งตัวเล็กไปนั่งตรงมุมตรอก เพียงแต่ว่าวันนี้ไม่มีใครมาฟังเรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำจากนักเล่านิทาน เด็กหนุ่มเด็กสาวหลายคนที่พอเห็นเงาร่างของคนชุดเขียวก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังเลือกที่จะเดินอ้อมผ่านไป
นอกจากเด็กตัวเท่าก้นที่กอดไหเงินคนนั้นซึ่งถูกพ่อแม่กักตัวไว้ที่บ้านแล้ว จางเจียเจินต้องไปทำงานหาเงินที่อื่น ส่วนคนอื่นๆ นั้นไม่กล้ามา
อาจไม่ได้รู้สึกว่าเฉินผิงอันเป็นคนเลวเสมอไป แต่ถึงอย่างไรคนผู้นั้นก็ฆ่าคนตายที่ร้านเหล้า มีเด็กๆ หรือไม่ก็ผู้ปกครองของพวกเขาเห็นเองกับตา
นี่คืออารมณ์ทั่วไปของมนุษย์ เฉินผิงอันไม่ประหลาดใจ ยิ่งไม่ถึงขั้นผิดหวัง นั่งอยู่พักหนึ่ง อาบแสงแดดอันอบอุ่นของช่วงปลายฤดูหนาวพลางแทะเมล็ดแตงไปด้วย จากนั้นก็หิ้วม้านั่งกลับไปที่ร้าน แล้วก็ไม่ได้ช่วยงาน แต่ไปดีดลูกคิดตรวจสอบบัญชีอยู่ที่หลังโต๊ะคิดเงิน เตี๋ยจ้างฉวยโอกาสที่ว่างจากการยกกับแกล้มยกเหล้าไปให้ลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน หลังจากลังเลเล็กน้อยก็เอ่ยว่า “กิจการไม่ได้แย่”
เฉินผิงอันปิดสมุดบัญชีลง แบฝ่ามือลูบลงไปบนลูกคิดเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้น ยิ้มถามว่า “อยากถามข้ามาตลอดใช่ไหมว่า คนผู้นั้นใช่สายของเผ่าปีศาจหรือไม่? ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร เจ้าเตี๋ยจ้างที่เป็นสหายของหนิงเหยาและของข้าเฉินผิงอันก็หวังว่าข้าจะบอกคำตอบที่แน่ชัดให้แก่เจ้า?”
เตี๋ยจ้างส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล “ไม่ได้อยากถามเรื่องนี้ ในใจข้ามีคำตอบอยู่นานแล้ว”
เฉินผิงอันดีดลูกคิดอย่างคล่องแคล่วพลางเอ่ยเนิบช้าว่า “ฝีมือของทั้งสองฝ่ายต่างกัน หรือไม่อีกฝ่ายก็ใช้แผนการที่ลึกล้ำยาวไกล แพ้แล้ว แต่กลับไม่ยอมแพ้ ปากไม่ยอมแพ้ ในใจก็ยิ่งรู้ดีว่าควรทำอย่างไร สถานการณ์เช่นนี้ข้าเคยแพ้มาก่อน และยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียว อีกทั้งยังมีสภาพอนาถมากอีกด้วย แต่พอข้ามาทบทวนดูหลังจบเรื่อง กลับได้ประโยชน์มาไม่น้อย กลัวก็แต่ว่าวิธีการที่เจ้ามองออกได้ในปราดเดียว แต่กระนั้นมันก็ยังสร้างความสะอิดสะเอียนให้เจ้าได้อยู่ดีพวกนั้น อีกฝ่ายไม่ได้คิดเลยว่าได้กำไรกี่มากน้อย แค่คิดอยากจะปั่นหัวเจ้าเล่นก็เท่านั้น”
มีอีกประโยคหนึ่งที่เฉินผิงอันไม่ได้พูดออกมา เพราะอีกไม่นานใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะลงมือโจมตีกำแพงเมืองอย่างสุดกำลัง ต่อให้ไม่ใช่สงครามครั้งถัดไป ก็คงไม่ห่างไปไกลมากนัก ดังนั้นหมากตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่มีความสำคัญในนครแห่งนี้จึงสามารถนำมาใช้อย่างสิ้นเปลืองได้แล้ว
และนี่ก็เป็นการเตือนพวกหมากในมุมมืดที่ซ่อนอยู่ในจุดลึกยิ่งกว่าอีกทางหนึ่ง
เฉินผิงอันชำเลืองตามองไปนอกประตู “นี่คือการเตรียมลงมือของคนที่อยู่เบื้องหลัง หากข้าประมาทเลินเล่อ คิดว่าแผนการลับในกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่อยู่ในระดับเดียวกันกับที่ใต้หล้าไพศาล ถ้าอย่างนั้นข้าก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าหากไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บ แล้วยังจะพาให้คนข้างกายเดือดร้อนไปด้วย คนวางแผนที่หลบอยู่เบื้องหลังคนนั้นกำลังจ่ายยาให้ถูกกับอาการของโรค มองออกว่าข้าไม่ชอบความผิดพลาด จึงจงใจให้ข้าคว้าชัยชนะเล็กๆ ไปทีละก้าว”
เตี๋ยจ้างยิ้มกล่าว “ชัยชนะเล็กๆ? ผังหยวนจี้และฉีโซ่วได้ยินแล้วต้องเต้นผางสถบด่าหยาบคายแน่นอน ไม่พูดถึงฉีโซ่ว ผังหยวนจี้ต้องไม่มีทางมาดื่มเหล้าอีกแน่ ต่อให้เป็นเหล้าที่ราคาถูกที่สุดก็ไม่ยินดีจะซื้อ”
เฉินผิงอันหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นก็คือชัยชนะเล็กๆ ครั้งหนึ่ง ผังหยวนจี้และฉีโซ่วรู้ชัดเจนดี เซียนกระบี่ที่ชมศึกก็รู้ คนที่ควรรู้ล้วนรู้หมด เพราะข้าไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริง อีกทั้งข้าไม่ใช่คนในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่แต่กำเนิด คำพูดของคนผู้นั้นก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะจงใจทำให้คนโมโห แต่หลายๆ คำของเขาล้วนพูดตรงประเด็นจริงๆ น่าเสียดายก็แต่ถ้อยคำทั้งหมดไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน จึงยากที่จะเอาชนะข้าได้ ก่อนหน้านี้ที่ข้าต่อสู้กับฉีโซ่ว ผังหยวนจี้ ก็ชนะเพราะข้ามี ‘เรื่องไม่คาดฝัน’ เยอะ”
เตี๋ยจ้างถอนหายใจ “เฉินผิงอัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าน่ากลัวมาก”
ก็เหมือนกับคนสองคนที่เล่นหมากล้อมด้วยกัน แล้วอีกฝ่ายเดาออกทุกก้าวว่าอีกคนจะหมากวางตรงไหน แล้วจะให้อีกคนรู้สึกเช่นไร?
เรื่องบางเรื่องเกิดขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องบางเรื่องที่แม้แต่พวกเฉินซานชิว เจ้าอ้วนเยี่ยนก็ยังไม่รู้ ยกตัวอย่างเช่นตอนที่เฉินผิงอันเขียนตัวอักษรแล้วให้เตี๋ยจ้างช่วยถือกระดาษให้นั้น ตอนนั้นเฉินผิงอันก็ยิ้มกล่าวว่าการเฝ้าตอรอกระต่ายของตนในครั้งนี้ อีกฝ่ายต้องเป็นคนหนุ่ม ขอบเขตไม่สูง แต่ต้องเคยไปเยือนสนามรบทางทิศใต้มาแล้วอย่างแน่นอน นี่จึงเป็นเหตุให้ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปหลายคนในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ‘มีความรู้สึกร่วม’ เกิดความเห็นใจ รวมถึงรู้สึกเคียดแค้นราวกับมีศัตรูร่วมกัน ไม่แน่ว่าคนผู้นี้ที่อยู่ในหมู่ชาวบ้านของกำแพงเมืองปราณกระบี่อาจจะเป็น ‘คนธรรมดา’ ที่มีชื่อเสียงดีมากคนหนึ่ง มักจะคอยช่วยเหลือพวกเด็กสตรีและคนชราที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง หลังจากที่คนผู้นั้นตายไป ผู้บงการเบื้องหลังไม่จำเป็นต้องผลักดันอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่อยู่เฉยๆ ก็พอ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เห็นเซียนกระบี่ที่ลาดตระเวนตรวจตรากำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นเซียนกระบี่เกินไปหน่อยแล้ว คำวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ชาวบ้านก็จะเกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ จากตรอกซอกซอยในหมู่ชาวบ้าน ไปถึงร้านเหล้าเล็กใหญ่ ร้านค้าต่างๆ ค่อยๆ ลามไปถึงจวนตระกูลใหญ่ทีละนิด ดังเข้าหูเซียนกระบี่ใหญ่มากมาย บางคนคงไม่สนใจ บางคนก็จดจำไว้ในใจเงียบๆ แต่ตอนนั้นเฉินผิงอันก็บอกแล้วว่า นี่เป็นเพียงแค่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่านั้น ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่สถานการณ์ก็คงไม่เลวร้ายไปยังไง ถึงอย่างไรก็เป็นแค่กระดานหมากเล็กๆ ที่ผู้บงการเบื้องหลังแสดงฝีมือเล็กๆ น้อยๆ กระดานเดียวเท่านั้น
เวลานี้เดิมทีเตี๋ยจ้างยังกังวลว่าเฉินผิงอันจะโกรธ คิดไม่ถึงว่ารอยยิ้มของเฉินผิงอันจะยังคงเดิม อีกทั้งยังไม่ใช่รอยยิ้มที่ฝืนใจ ราวกับว่าประโยคนี้ได้อยู่ในการคาดการณ์ของเขาอยู่แล้ว
นี่เป็นครั้งที่สองที่เฉินผิงอันได้ยินคำพูดทำนองนี้
“สามารถพูดประโยคนี้ต่อหน้าข้าได้ ก็แสดงว่าเห็นข้าเป็นเพื่อนจริงๆ แล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้า “คนที่เป็นศัตรูกับข้า ตามหลักแล้วก็ควรจะรู้สึกเช่นนี้”
เตี๋ยจ้างเอ่ย “เจ้าอยู่ข้างกายหนิงเหยา ข้าสบายใจขึ้นมาก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หลังจากศึกใหญ่ทางทิศใต้ครั้งหน้าผ่านไป หากเจ้ายังยินดีเอ่ยประโยคนี้ ข้าก็จะสบายใจไม่น้อย”
เตี๋ยจ้างพลันมีสีหน้าเคร่งเครียด
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ พูดเสียงเบาว่า “ใช่ นี่ก็คือความตั้งใจของคนที่บงการอยู่เบื้องหลัง ข้อแรก ต้องการแน่ใจก่อนว่าเฉินผิงอันที่เพิ่งมาถึง ลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง ลูกเขยจวนหนิง จะขึ้นไปบนหัวกำแพงเพื่อรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ฝึกกระบี่จริงๆ หรือไม่ ข้อสองกล้าออกจากเมืองไปยังสนามรบทางทิศใต้เพื่อสังหารปีศาจหรือไม่ ข้อสาม หลังออกไปจากหัวกำแพงแล้ว ท่ามกลางการรักษาชีวิตของตัวเองและการทุ่มเทสุดฝีมือเพื่อเข่นฆ่าศัตรู จะตัดสินใจเลือกและสละสิ่งใดทิ้ง จะเอาตัวเองให้รอดก่อนแล้วค่อยพูดถึงเรื่องอื่น หรือว่าเพื่อรักษาหน้าตา เพื่อตัวเองและเพื่อจวนหนิงแล้ว แม้ต้องตายก็ยังต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็คือเฉินผิงอันผู้นั้นรบตายอยู่บนสนามรบทางทิศใต้อย่างผึ่งผาย หากคนบงการเบื้องหลังอารมณ์ดี คาดว่าหลังจบเรื่องอาจจะให้คนช่วยพูดถึงข้าในทางที่ดีอยู่หลายคำด้วย”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “อาจารย์ของข้าเคยนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ถูกเจ้าเก็บไว้เป็นสมบัติสืบทอดของตระกูล ถูกเจ้าเอาไปเก็บรักษาอยู่ในห้องของเรือนหลังเล็กแห่งนั้น ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าม้านั่งตัวเล็กสองตัวที่ขนาบอยู่ฝั่งซ้ายขวาของท่านอาจารย์เหวินเซิ่ง ไม่ว่าใครก็สามารถมานั่งได้อย่างนั้นหรือ?”
อารมณ์ของเตี๋ยจ้างหนักอึ้ง หยิบเหล้าไหหนึ่งมาเปิดผนึกดินออก รินเหล้าสองถ้วย ตัวเองดื่มไปก่อนอึกใหญ่ แล้วเงียบไปด้วยความอัดอั้น
เฉินผิงอันยกถ้วยเหล้าขึ้นจิบหนึ่งคำ แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ดื่มน้อยๆ หน่อย แม้ว่าพวกเราสองคนจะเป็นเถ้าแก่ แต่ดื่มเหล้าก็ต้องจ่ายเงินเหมือนกัน”
เตี๋ยจ้างที่ถือถ้วยเหล้าไว้ในมือทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันจึงถามว่า “ยังมีคำถามหรือ? ถามได้ตามสบายเลย”
เตี๋ยจ้างถามเสียงเบา “ตอนนั้นคนที่ถือถ้วยลุกขึ้นยืนก่อนคนแรกเป็นหน้าม้าที่เจ้าจ้างมาหรือ?”
เฉินผิงอันหัวเราะปากกว้าง โบกมือเอ่ยว่า “ไม่ใช่”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ชี้เตี๋ยจ้าง “เถ้าแก่ใหญ่ เจ้าจงเป็นคนทำการค้าอย่างสบายใจเถอะ เจ้าไม่เหมาะจะทำเรื่องที่ต้องวางแผนรับมือกับใจคนเลยจริงๆ หากข้าทำแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าเห็นผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเซียนกระบี่ที่นั่งดูไฟชายฝั่งเป็นคนโง่ที่รู้จักแต่ฝึกกระบี่ แต่ไม่รู้จักใจคนหรอกหรือ? เรื่องบางเรื่องมองดูเหมือนงดงามสมบูรณ์แบบ ได้ผลประโยชน์เยอะที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วจะทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด จงใจเกินไป กลับกลายเป็นว่าจะไม่ดี ยกตัวอย่างเช่นข้า ความคิดแรกเริ่มก็คือขอแค่ให้ไม่แพ้ก็พอ ฆ่าคนผู้นั้นได้ก็ถือว่าไม่ขาดทุนแล้ว หากยังไม่รู้จักพอ ยังจะวาดงูเติมขา กลับจะทำให้คนอื่นดูแคลนเสียเปล่าๆ”
เตี๋ยจ้างถอนหายใจหนักๆ สีหน้าซับซ้อน ชูถ้วยเหล้าในมือขึ้น พูดเลียนแบบประโยคของเฉินผิงอันว่า “ดื่มเรื่องโสมมในโลกมนุษย์ให้หมดสิ้น!”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยียกถ้วยเหล้าขึ้นชนกับนาง “ขอบคุณเถ้าแก่ใหญ่ที่เลี้ยงเหล้าข้า”
……
ทางทิศตะวันตกของนครมีคฤหาสน์หลบหนาวของใต้เท้าอิ่นกวานอยู่หลังหนึ่ง และทางฝั่งทิศตะวันออกก็ยังมีคฤหาสน์หลบร้อนอยู่อีกหลังหนึ่ง อันที่จริงล้วนไม่ใหญ่ แต่สิ้นเปลืองทรัพยากรไปมหาศาล
วันนี้ในคฤหาสน์หลบหนาว ในห้องโถงใหญ่ ใต้เท้าอิ่นกวานยืนอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือตัวหนึ่งที่สร้างอย่างประณีติงดงาม คือวัตถุตระกูลเซียนของหลิวเสียทวีปแห่งใต้หล้าไพศาล เนื้อไม้เป็นสีแดง ลวดลายราวกับสายน้ำ ดุจดั่งเมฆหมอกเคลื่อนคล้อย
ในห้องโถงใหญ่ยังมีเซียนกระบี่ในท้องถิ่นอีกสองคนที่คอยช่วยเหลือสายของอิ่นกวาน บุรุษมีนามว่าจู๋อาน สตรีมีนามว่าลั่วซาน ล้วนเป็นขอบเขตหยกดิบที่อายุมากแล้ว
นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนก่อกำเนิดอีกคนหนึ่งที่รับผิดชอบรวบรวมรายงานข่าว กำลังรายงานเหตุการณ์มรสุมในร้านเหล้าตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียด แม้แต่บรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของหวงโจวผู้ฝึกกระบี่หนุ่มขอบเขตชมมหาสมุทรคนนั้นก็ยังถูกสืบเสาะมา รวมไปถึงอาจารย์ ญาติมิตร ผู้อาวุโสเซียนดินที่สนิทสนมคุ้นเคยกัน ฯลฯ ล้วนถูกรายงานให้เซียนกระบี่จู๋อานฟังอย่างละเอียด ส่วนใต้เท้าอิ่นกวานนั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
นอกจากนี้ยังมีผังหยวนจี้และวิญญูชนลัทธิขงจื๊ออีกคนหนึ่งอยู่รับฟังด้วย วิญญูชนมีนามว่าหวังไจ่ มีความสัมพันธ์กับอริยะลัทธิขงจื๊อคนก่อนที่มาเฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่
ใต้เท้าอิ่นกวานหลับตา เดินไปเดินมาอยู่บนเก้าอี้ เรือนกายโยกส่าย มือทั้งคู่จับผมแกละทั้งสองข้างคล้ายกำลังเดินละเมอ
เซียนกระบี่จู๋อานรับฟังรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาพลางเปิดอ่านรายงานในมือไปด้วย เพราะต้องการความละเอียด ตัวอักษรที่เขียนย่อมมีมาก ดังนั้นใต้เท้าอิ่นกวานจึงไม่เคยเตะต้องของพวกนี้
ลั่วซานเซียนกระบี่หญิงสวมชุดผ้าฝ้ายคอกลม บนศีรษะประดับดอกไม้สีแดงสดจึงสะดุดตามากเป็นพิเศษ
เรื่องของการรายงาน วิญญูชนหวังไจ่ที่มีหน้าที่คล้ายขุนนางทัดทานในราชสำนักของใต้หล้าไพศาลไม่มีสิทธิ์ข้องเกี่ยวกับกิจธุระที่เป็นรูปธรรม แต่ก็ยังพอจะมีอำนาจในการเสนอความเห็นอยู่บ้าง
หากพูดโดยใช้คำพูดของใต้เท้าอิ่นกวานก็คือ ต้องให้คนต่างถิ่นที่ในมือกุมอำนาจพวกนี้ได้มีโอกาสพูดบ้าง ส่วนอีกฝ่ายพูดแล้ว เราจะฟังหรือไม่ก็ต้องดูที่อารมณ์แล้ว
หวังไจ่ฟังรายงานจบแล้วก็ถามว่า “เรื่องจริงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าหวงโจวผู้นี้คือสายลับของเผ่าปีศาจ เฉินผิงอันจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อหรือไม่? ถอยไปพูดหนึ่งก้าว หากเป็นสายของเผ่าปีศาจจริงๆ ก็ควรจะมอบให้พวกเราจัดการ หากไม่ใช่ แล้วเป็นแค่การทะเลาะกันด้วยอารมณ์ของคนหนุ่ม ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาหรือไม่?”
ผังหยวนจี้ขมวดคิ้ว ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่ก้มหน้าดื่มสุรา
ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของใต้เท้าอิ่นกวาน หลายครั้งคำพูดของผังหยวนจี้ได้ผลกว่าเซียนกระบี่ผู้อาวุโสสองคนอย่างจู๋อาน ลั่วซานเสียอีก เพียงแต่ว่าผังหยวนจี้ไม่ชอบมีส่วนร่วมกับเรื่องสกปรกพวกนี้ เอาแต่ตั้งใจฝึกตนอย่างเดียวเท่านั้น