ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกลุ่มนี้มีทั้งสิ้นห้าคน
นอกจากเด็กหนุ่มหิ้วกาเหล้าที่ถือว่ายังสุขุมอยู่มากแล้ว คนที่เหลืออีกสามคนล้วนก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย เตรียมพร้อมที่จะเรียกกระบี่บินออกมาทุกเมื่อ คนหนึ่งในนั้นอายุยี่สิบต้นๆ มีสีหน้าเฉยเมย ไม่ว่าจะเป็นการถอยหนีหรือชักนำปราณวิญาณในการเตรียมออกกระบี่ก็ล้วนช้ากว่าสหายไปครึ่งก้าว และยังมีเด็กสาวคนหนึ่งที่เรือนกายสูงโปร่งสะโอดสะอง สวมเสื้อสาบคู่คอปกสีสันสดใส ด้านนอกสวมกระโปรงผ้าโปร่งคลุมทับ บนเนื้อผ้าประดับด้วยลายปักร้อยบุปผา คือการแต่งกายที่ผู้ฝึกตนหญิงของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางค่อนข้างชื่นชอบ นางคือคนแรกสุดที่ยื่นมือไปจับกระบี่ยาวที่ห้อยไว้ตรงเอว
ส่วนคนสุดท้าย แน่นอนว่าต้องเป็นเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่ถูกเฉินผิงอันยกจนตัวลอยอยู่กลางอากาศ พอถูกเฉินผิงอันกักตัว พายุปณิธานหมัดข่มทับเอาไว้ ปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณสำคัญหลายแห่งของฝ่ายหลังจึงออกมาไม่ได้ พยายามจะฝ่าด่านทะลุประตูออกไป แต่กลับถูกโจมตีให้ล่าถอยกลับครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงขั้นไม่อาจกระดุกกระดิก ไปๆ มาๆ หน้าจึงแดงก่ำ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว แล้วกลายเป็นสีม่วง ราวกับปลาตายที่ถูกแขวนตากแดดไว้บนผนัง คาดว่าความอับอายในใจตอนนี้คงไม่น้อยกว่าจิตสังหารเลย
เฉินผิงอันถาม “เขาไม่เต็มใจพูด เจ้าพูดแทนเขาไหม?”
เด็กหนุ่มที่หิ้วกาเหล้าคนนั้นยิ้มกว้างสดใส “เมื่อครู่นี้เขาพูดอะไร ข้าได้ยินไม่ชัดเลย”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “สายของหย่าเซิ่งหูไม่ดีขนาดนี้เชียวหรือ?”
เด็กสาวคนนั้นเอ่ยอย่างเดือดดาล “เฉินผิงอัน เจ้าปล่อยตัวเจี่ยงกวนเฉิงเดี๋ยวนี้นะ! อย่านึกว่าพอจะมีชื่อเสียงเล็กๆ น้อยๆ อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วจะทำตัวกำเริบเสิบสานอย่างไรก็ได้! แค่พูดจาไม่เข้าหูคำเดียว เจ้าก็คิดจะฆ่าคนเชียวหรือ?! ลูกศิษย์สายเหวินเซิ่งแต่ละคนนิสัยดีๆ กันทั้งนั้นเลยสินะ! ทีแรกก็เป็นชุยฉานที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน ภายหลังก็มีจั่วโย่วที่ทำลายตัวอ่อนเซียนกระบี่ก่อนกำเนิดของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไปมากมาย! อาจารย์ลุงของข้าคนนั้น…แล้วยังมีเจ้า เฉินผิงอัน! เป็นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ ลูกศิษย์คนสำคัญของเหวินเซิ่ง แต่กลับมาทำการค้าชั้นต่ำ ขายเหล้าด้วยตัวเองอยู่ที่นี่! อารยธรรมหายสิ้นหมดแล้ว!”
พอพูดถึงอาจารย์ลุง เด็กสาวก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในดวงตาถึงกับมีน้ำตามาเอ่อคลอ กระทั่งกลับมาพูดถึงเฉินผิงอันอีกครั้ง สีหน้าของนางจึงกลับมาเป็นปกติในทันที แล้วยังเดือดดาลคลั่งแค้นมากเป็นพิเศษ
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
การถูกชี้หน้าด่าประณามต่อหน้าแบบนี้ เขากลับไม่ค่อยถือสาเท่าไรจริงๆ อีกอย่างก็ไม่ได้ด่าอาจารย์เสียหน่อย แค่ด่าลูกศิษย์ของอาจารย์ ด่าพวกศิษย์พี่ของตนเท่านั้น เขาคือลูกศิษย์คนเล็กของสายอาจารย์ ยังจำเป็นต้องให้ศิษย์น้องเล็กอย่างเขาพูดจาทวงความเป็นธรรมให้แก่พวกศิษย์พี่ด้วยหรือ?
ช่วยพูดทวงความเป็นธรรมแทนชุยฉาน? หรือเป็นเดือดเป็นร้อนแทนศิษย์พี่จั่วโย่ว? จำเป็นหรือ? เฉินผิงอันรู้สึกว่าไม่จำเป็น คนหนึ่งต้องการใช้หนึ่งแคว้นหนึ่งทวีปมาขัดขวางการเดินทางขึ้นเหนือของเผ่าปีศาจ ขัดขวางไม่ให้เผ่าปีศาจฮุบกลืนอาณาเขตของสามทวีปอย่างใบถง แจกันสมบัติและอุตรกรุทวีปได้ในรวดเดียว อีกคนหนึ่งต้องการกลายเป็นผู้ที่มีเวทกระบี่สูงที่สุดในทุกใต้หล้านอกเหนือจากใต้หล้าไพศาล อันที่จริงต่างก็ยุ่งกันมาก ส่วนเขาเฉินผิงอันก็ยุ่งมากเหมือนกัน
ฝึกวรยุทธ ฝึกกระบี่ หลอมลมปราณ อ่านหนังสือ และกำลังจะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สี่ นอกจากนี้ยังต้องหาเงิน เป็นเจ้ามือ แกะสลักตราประทับ จะไม่ยุ่งได้หรือ?
แต่ที่สำคัญที่สุดยังเป็นเพราะคำพูดของแม่นางน้อยคนนี้ ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไร้เหตุผล เหตุผลใหญ่พอหรือไม่ แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วนางก็ยังไม่ได้มีจิตใจคิดร้ายเป็นอันตรายกับผู้อื่น
ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็สามารถเข้าใจ และรับได้
“จูเหมย พูดกับท่านเฉินแบบนั้นได้อย่างไร”
เด็กหนุ่มดุเด็กสาวไปหนึ่งคำ จากนั้นก็ยิ้มตาหยีเอ่ยกับเฉินผิงอันต่อว่า “ท่านเฉินเป็นผู้มีวัยวุฒิสูง ผู้น้อยควรรับฟังคำสั่งสอน ไม่ว่าท่านเฉินพูดอะไร หากผู้น้อยมีความผิดก็ควรแก้ไข หากไม่มีก็ควรนำมาใช้เตือนตัวเองว่าอย่าทำผิดทำนองเดียวกันนี้ อีกอย่างนะ เจี่ยงกวนเฉิงในมือของท่านเฉินผู้นี้ก็คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเซียนกระบี่ขู่เซี่ยของพวกเรา แล้วเซียนกระบี่ขู่เซี่ยยังเป็นศิษย์หลานของหนึ่งในสิบท่านที่บ้านเกิดพวกเรา นี่ยุ่งยากอย่างมาก แน่นอนว่าศิษย์พี่ของท่านเฉินอย่างเซียนกระบี่ใหญ่จั่ว ผู้น้อยก็เลื่อมใสมานานมากแล้ว ตอนนี้เซียนกระบี่ใหญ่จั่วก็ฝึกกระบี่อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ คิดดูแล้วคงไม่ต้องเป็นกังวลมากนัก แต่เซียนกระบี่ในใต้หล้านี้ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน หากทำลายความปรองดองคงไม่ดีนัก”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทร? คนแรกที่จะต่อสู้?”
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้ แต่ยิ้มบางๆ ย้อนถามว่า “ท่านเฉินคือคนของแจกันสมบัติทวีป คงจะไม่มาช่วยเฝ้าด่านให้ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่หรอกกระมัง?”
ผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มกับเฉินผิงอัน คนหนึ่งใช้ภาษากลางที่ใช้กันทั้งใต้หล้าไพศาล อีกคนหนึ่งใช้ภาษาถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่
เด็กหนุ่มก้มหน้าลงมองแวบหนึ่ง
เฉินผิงอันผลักออกไปเบาๆ เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่คนนั้นก็ลอยไปไกลสิบกว่าจั้ง แล้วจึงได้ยินเขาพูดบ่นว่า “ตัวสูงอะไรขนาดนี้ ทำเอาข้าต้องเขย่งเท้าอยู่ตั้งนาน”
จากนั้นเฉินผิงอันก็มองเด็กหนุ่มน่าสนใจที่หิ้วกาเหล้าผู้นี้ “อายุน้อยๆ ก็มีขอบเขตสูงขนาดนี้แล้ว มาเดินเล่นอยู่ที่นี่แล้วพูดจาส่งเดชไปทั่วแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะทำให้พวกขี้ขลาด พวกขอบเขตต่ำอย่างพวกเราตกใจตายจริงๆ หรือ?”
เฉินซานชิวใช้ภาษาถิ่นอธิบายบทสนทนาของคนทั้งสองให้พวกนักดื่มที่อยู่รอบๆ ฟัง
เสียงผิวปากดังระงมมาจากทางร้านเหล้า โดยเฉพาะพวกผีขี้เหล้าและเหล่าชายโสดที่นั่งพื้นดื่มเหล้าที่ให้ความร่วมมือกับเถ้าแก่รองดีมาก มารดามันเถอะ เมื่อก่อนแค่รู้สึกถึงความขี้เหนียวของเถ้าแก่รอง คิดไม่ถึงว่าเมื่อเทียบกับเจ้าลูกกระต่ายของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเหล่านี้แล้ว เถ้าแก่รองของพวกเขากลับหล่อเหลาสง่างามยิ่งนัก เมื่อก่อนนี้เข้าใจเถ้าแก่รองผิดไปจริงๆ วันหน้ามาดื่มเหล้าที่นี่ ควรจะหยิบผักดองมากินแกล้มให้น้อยลงหน่อยดีไหม? แล้วนับประสาอะไรกับที่อาศัยการเอาเปรียบเถ้าแก่รองเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งได้มาอย่างยากลำบากในเรื่องของการกินผักดองนี้ หลังกินไปแล้วก็มักจะรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะกินมากเข้าก็ง่ายที่จะดื่มเหล้ามากตามไปด้วย
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางร้าน ยิ้มถามว่า “ไม่สู้ข้าใช้สถานะของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่มาเฝ้าด่านแรกดีไหม? หากพวกเจ้าลงเดิมพันว่าข้าต้องแพ้ ข้าก็จะเป็นเจ้ามือการเดิมพันครั้งนี้”
พวกนักดื่มพากันยกนิ้วกลาง สบถด่าขำๆ กันไม่หยุด ไม่เกรงใจกันเลยแม้แต่น้อย และยังมีคนที่ถึงกับให้กำลังใจผู้ฝึกกระบี่จากต่างถิ่นกลุ่มนั้นโดยตรง บอกว่าเถ้าแก่รองของพวกเรานอกจากขายเหล้าและเขียนคำโคลงคู่แล้ว อันที่จริงก็ไม่มีความสามารถอะไรอีก หากตีกันขึ้นมาจริงๆ สองสามหมัดก็ล้มคว่ำแล้ว จะกลัวอะไร ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ควรจะเอาความกล้าหาญออกมาเสียหน่อย เฉินผิงอันผู้นี้มาจากสถานที่เล็กๆ อย่างแจกันสมบัติทวีปเองนะ เริ่นอี้ ผู่อวี๋ ฉีโซ่วและผังหยวนจี้ เจ้าสี่คนนี้จับมือกันมาเป็นเจ้ามือ จงใจแพ้ให้เจ้าตะพาบอย่างเฉินผิงอัน ขอแค่พวกเจ้าไม่ใช่คนโง่ก็อย่าไปเชื่อเขาเด็ดขาด
เด็กสาวที่ชื่อจูเหมยผู้นั้นหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ที่แท้ก็ไม่ได้เป็นแค่ผีขี้เหล้าที่ขายเหล้า ยังเป็นนักพนันด้วย อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งตาบอดจริงๆ ถึงได้รับคนอย่างเจ้ามาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย!”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดื่มเหล้า พนันขันต่อ สังหารปีศาจ ไม่มีค่าพอให้พูดถึงจริงๆ ล้วนเป็นเรื่องชั้นต่ำในสายตาของผู้ฝึกตนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างพวกเจ้า”
ประโยคนี้หลุดปากออกไป ทางฝั่งของเฉินซานชิวก็มีเสียงไชโยโห่ร้อง ตบโต๊ะเคาะตะเกียบดังเกรียวกราว
จูเหมยสะอึกอึ้งพูดไม่ออก
อีกทั้งส่วนลึกในใจยังเริ่มหวาดกลัว ราวกับว่าอยู่ดีๆ ตัวเองก็ตกไปอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กที่ไม่คุ้นเคยแห่งหนึ่ง
เพราะถึงแม้เฉินผิงอันจะอยู่ห่างจากผู้ฝึกกระบี่น้อยใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เหล่านั้นมาไกล แต่ดูเหมือนว่าลูกศิษย์คนเล็กของเหวินเซิ่งที่ไม่สมตำแหน่งผู้นี้จะมีการขานรับกับพวกผู้ฝึกกระบี่ด้านหลังเขาอยู่ไกลๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รู้หรือไม่ว่าคำพูดประโยคนี้ของข้าไร้เหตุผลที่ตรงไหน? ก็ตรงที่ว่าสองเรื่องอย่างการดื่มเหล้าและเล่นพนันนี้ เมื่ออยู่ในใต้หล้าไพศาลก็ไม่ควรเป็นการกระทำของบัณฑิตจริงๆ แต่ก็เพราะข้าจงใจดึงเอาเรื่องการสังหารปีศาจมาพูด เจ้าถึงเถียงไม่ออก เพราะเจ้าคือผู้ฝึกกระบี่ของแผ่นดินกลางที่ยังพอมีมโนธรรมในใจอยู่บ้าง รู้สึกจากใจจริงว่าการสังหารปีศาจคือวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ นี่จึงเป็นเหตุให้เจ้ารู้สึกร้อนตัวว่าตัวเองไร้เหตุผล อันที่จริงไม่ต้องรู้สึกเช่นนั้นเลย การใช้เหตุผลบนโลกใบนี้จำเป็นต้องมีลำดับก่อนหลัง มีหนึ่งก็พูดหนึ่ง ผิดถูกน้อยใหญ่ ไม่สามารถเอามากลบทับลดทอนกันได้ ยกตัวอย่างเช่นหากเจ้าคิดว่าเรื่องการสังหารปีศาจเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างมาก ถูกต้องยาวนานไปหมื่นปี จากนั้นค่อยมาพูดกับข้าว่าการเป็นผีขี้เหล้าและนักพนันล้วนไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เจ้าก็ลองมาดูว่าข้าจะยอมรับหรือไม่? เป็นอย่างไร? สายเหวินเซิ่งของข้านิสัยไม่เลว แถมยังยินดีจะใช้เหตุผลด้วย ว่าไหม?”
เด็กสาวเบิกตากว้าง ในสมองเหลวเป็นแป้งเปียก เหตุใดเจ้าผีขี้เหล้าชุดเขียวตรงหน้าผู้นี้พูดจาเหลวไหล แต่กลับดูคล้ายว่าพอจะมีเหตุผลอยู่จริงๆ นะ?
แต่นางข่มกลั้นไฟโทสะพลุ่งพล่านไม่ไหวนี่นา
สุดท้ายเฉินผิงอันพูดกับเด็กหนุ่มหิ้วกาเหล้าที่ไม่เหลือรอยยิ้มผู้นั้นว่า “วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางใช้สถานะผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่มาเฝ้าด่านหนึ่งจริงๆ หรอก เพราะอะไร? ไม่ใช่เพราะข้าไม่อยากสอนเจ้าว่าเป็นคนควรทำตัวอย่างไร หรือควรจะพูดจาให้ดีอย่างไร แต่เป็นเพราะข้าเคารพที่พวกเจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่จากแผ่นดินกลาง แต่กลับยินดีจะมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ จะดีจะชั่วก็ยินดีที่จะมามองใต้หล้าเปลี่ยวร้างให้เห็นกับตาตัวเองสักครั้ง ผู้ฝึกตนต่างถิ่นผ่านสามด่าน เป็นเรื่องส่วนรวม ทว่าระหว่างเจ้ากับข้าเป็นบุญคุณความแค้นส่วนตัว วันหน้าค่อยว่ากัน”
เฉินผิงอันเดินกลับมาที่ร้านเหล้า
มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่จ้วงตะเกียบเร็วราวกับบินตะโกนขึ้นมาว่า “เถ้าแก่รอง ช่างมีบารมียิ่งนัก เลี้ยงเหล้าฉลองกันสักหน่อยดีไหม?”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ “ข้าขอร้องเซียนกระบี่ทุกท่านว่าให้รักษาหน้าตาตัวเองสักหน่อยเถอะ รีบเก็บเอาปราณกระบี่ของพวกเจ้าไปซะ โดยเฉพาะเจ้า เย่ชุนเจิ้น ทุกครั้งที่ดื่มเหล้าหนึ่งกาก็จะต้องกินผักดองข้าสามจาน เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จริงๆ รึ? ข้าผู้อาวุโสอดทนกับเจ้ามานานแล้วนะ”
ชายฉกรรจ์ใช้สองนิ้วคีบจานผักดองบนพื้นที่เหลือผักดองอยู่ครึ่งหนึ่งขึ้นมา “คืนให้เจ้าไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันบื้อใบ้ไร้คำพูดตอบโต้
ชายฉกรรจ์คนนั้นทำท่าลำพองใจ มารดามันเถอะ ยามใดที่ข้าผู้อาวุโสทำตัวหน้าไม่อายขึ้นมา ขนาดตัวเองยังกลัวตัวเอง ยังจะกลัวเถ้าแก่รองอย่างเจ้าอีกหรือ? อีกอย่างก็ไม่ใช่ว่าข้าเรียนรู้มาจากเถ้าแก่รองอย่างเจ้าหรือไร?
เฉินผิงอันกระแอมหนึ่งที ไม่ได้นั่งลง แต่ปรบมือ พูดเสียงดังว่า “ร้านของพวกเรามีขนาดเล็ก เดิมทีคิดว่าช่วงนี้นอกจากจะมีผักดองแล้ว เหล้าทุกกายังจะแถมบะหมี่หยางชุนให้อีกหนึ่งชาม นี่ข้าก็ตบหน้าตัวเองให้เป็นคนอ้วนแล้ว ตอนนี้มาลองคิดดูก็รู้สึกว่าอย่าดีกว่า ถึงอย่างไรบะหมี่หยางชุนก็ไม่ถือว่าเป็นอาหารเลิศรสอะไร น้ำใสรสจืด ก็มีแค่เส้นที่เหนียวหนึบอยู่บ้าง ใส่ต้นหอมสองสามชิ้น หากเทผักดองจานเล็กใส่ลงไป เอาตะเกียบคนๆ ให้เข้ากัน อันที่จริงรสชาติก็แค่พอถูไถเท่านั้น”
เย่ชุนเจิ้นสัมผัสได้ทันทีว่าสายตาของผีขี้เหล้ารอบด้านเหมือนกระบี่บินที่พุ่งตรงมาหาตน
เพราะไม่ว่าใครก็รู้ว่าหากเถียงเถ้าแก่รองโดยใช้เหตุผล ย่อมเถียงไม่ชนะแน่นอน
เย่ชุนเจิ้นจึงกัดฟัน “เถ้าแก่รอง เอาเหล้าดีๆ มากาหนึ่ง แบบราคาห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะนะ! วันนี้ไม่ทันระวังกินผักดองเยอะไปหน่อย ค่อนข้างเค็ม ต้องดื่มเหล้าดีๆ ระงับความตกใจเสียหน่อย”
“ได้เลย พี่ใหญ่เย่รอสักครู่”
เจ้าหมอนั่นวิ่งตุปัดตุเป๋ไปหยิบสุราดีในร้าน ไม่ลืมหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “อีกสองวันก็จะมีบะหมี่หยางชุน”
เจี่ยงกวนเฉิงเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ถูกคนประคองให้ลุกขึ้นมาแล้ว เขาใช้ปราณกระบี่สะเทือนพายุลมกรดปณิธานหมัดเหล่านั้นทิ้งไป สีหน้าจึงดีขึ้นมาก
จูเหมยถามเสียงเบา “เหยียนลวี่ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เด็กหนุ่มหิ้วเหล้าที่ชื่อว่าเหยียนลวี่ส่ายหน้าเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ข้าจะเป็นอะไรได้ หากอีกฝ่ายฉวยโอกาสนี้เฝ้าด่าน นั่นต่างหากที่จะเป็นปัญหา ข้าต้องถูกจวินปี้ด่าตายแน่”
จูเหมยบ่นเบาๆ “เจ้าเองก็จริงๆ เลย ปล่อยให้เจี่ยงกวนเฉิงมาก่อกวนที่นี่ได้ จวินปี้เคยกำชับพวกเราแล้วว่าพอไปถึงจวนของเซียนกระบี่ซุนแล้วก็ห้ามออกมาข้างนอกง่ายๆ”
เด็กหนุ่มที่สวมชุดตัวยาวสุภาพเรียบร้อยหันหน้าไปมองทางร้านเหล้าแวบหนึ่ง แต่แปบเดียวก็ดึงสายตากลับ
บรรยากาศวุ่นวายรุงรังแบบนั้น เขาไม่ชอบเลยสักนิด ถึงขั้นรังเกียจด้วยซ้ำ
เป็นผู้ฝึกตน แต่กลับไม่รู้จักวางตัวสุภาพสำรวม ไม่มีกลิ่นอายของเซียนบนภูเขาแม้แต่น้อย