กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 593.1 สำหรับข้าแล้ว ขอบเขตไม่มีความหมาย

บทที่ 593.1 สำหรับข้าแล้ว ขอบเขตไม่มีความหมาย

ผู้ฝึกตนไม่ชอบหมื่นหนึ่งมากที่สุด

หลินจวินปี้ยิ่งไม่ชอบให้เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับตัวเอง

เมื่อสามวันก่อนที่เหยียนลวี่ จูเหมยและเจี่ยงกวนเฉิงซึ่งมีเปียนจิ้งรวมกลุ่มอยู่ด้วยไปซื้อเหล้าที่ร้าน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอะไร แต่เป็นความตั้งใจของเขาเอง

บรรพบุรุษของเหยียนลวี่คุ้นเคยกับถ้ำสวรรค์จู๋ไห่เป็นอย่างดี นิสัยของตัวเหยียนลวี่เองก็เป็นประเภทหน้ายิ้มซ่อนมีด ค่อนข้างไปในทางดำมืด เชี่ยวชาญเรื่องการยุแยงกระพือไฟ อาจารย์ลุงของจูเหมย ในอดีตตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดได้แหลกสลายด้วยน้ำมือของเซียนกระบี่จั่วโย่ว อีกทั้งตัวนางเองยังได้รับการอบรมสั่งสอนมาจากสายของหย่าเซิ่งอย่างลึกล้ำ จึงชอบทวงความยุติธรรมเป็นที่สุด จิตใจซื่อตรงปากไว เจี่ยงกวนเฉิงมีนิสัยใจร้อนวู่วาม ครั้งนี้ลงใต้มาเยือนภูเขาห้อยหัวก็อดทนมาตลอดทั้งเส้นทางแล้ว มีสามคนนี้ไปที่ร้านเหล้าก็ไม่กลัวว่าเฉินผิงอันจะไม่ลงมือ แล้วก็ไม่กลัวว่าเฉินผิงอันจะลงมือรุนแรง ต่อให้เฉินผิงอันทำให้ตนผิดหวัง กลายเป็นว่าเขามีนิสัยมุทะลุบุ่มบ่าม ชอบโอ้อวดตบะ ไม่ดีไปกว่าเจี่ยงกวนเฉิงสักเท่าใด สุดท้ายแล้วก็ยังมีศิษย์พี่เปียนจิ้งของตนคอยปกป้องอยู่ข้างกาย และหากเฉินผิงอันลงมือหนักไปก็มีแต่จะสร้างศัตรูให้กับตัวเอง

ดังนั้นตอนที่อยู่นอกศาลาในจวนของเซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียน พวกจูเหมยรู้สึกละอายใจ ขนาดเหยียนลวี่ที่เย่อหยิ่งก็ยังกระวนกระวาย ทว่าหลินจวินปี้ไม่ได้โกรธพวกเขาแม้แต่น้อย เขาควรจะปฏิบัติต่อเม็ดหมากบนกระดานของตนให้ดีถึงจะถูก นี่ก็คือถ้อยคำเปิดฉากอธิบายสาระสำคัญที่ราชครูราชวงศ์เส้าหยวน อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้หลินจวินปี้ ขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดมรรคกถาให้แก่เขาสอนเขาในวันแรกที่เริ่มเรียนหมากล้อม ถึงอย่างไรคนและหมากก็ไม่เหมือนกัน คนมีชีวิตที่ต้องดำรงอยู่ต่อไป มีมหามรรคาให้ต้องเดิน มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาอันเป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ หากมองทุกอย่างเป็นของตายไร้ชีวิต คิดว่าสามารถจัดการมันได้ตามใจชอบ ตัวเองก็อยู่ห่างจากความตายไม่ไกลแล้ว

ในความเป็นจริงแล้วตลอดเส้นทางของการลงใต้ครั้งนี้ หากไม่นับรวมแผนการครั้งนี้ ก็นับว่าหลินจวินปี้ปฏิบัติต่อพวกเหยียนลวี่ด้วยความจริงใจและมีมารยาท ไม่ว่าใครที่มาขอความรู้ มาสอบถามเรื่องเวทกระบี่หรือวิชาหมากล้อมจากตน หลินจวินปี้ก็บอกทุกอย่างที่ตัวเองรู้ออกไปหมด

ระหว่างเส้นทางการเดินทางลงใต้ หลินจวินปี้ศึกษาทำความเข้าใจกับลูกรักแห่งสวรรค์ของแปดทวีปนอกเหนือจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างละเอียด โดยเฉพาะคนที่นิสัยโดดเด่นทั้งหลาย ยกตัวอย่างเช่นหลินซู่จากอุตรกุรุทวีป หลิวโยวโจวแห่งธวัลทวีป หม่าขู่เสวียนแห่งแจกันสมบัติทวีป พวกเขาล้วนมีจุดที่ควรค่าให้นำมาปรับใช้ พิศดูชีวิตของพวกเขาแล้วนำมาขัดเกลาจิตแห่งเต๋าของตัวเอง

แต่ตอนนี้หลินจวินปี้รู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง ราวกับว่าบนกระดานหมากมีตนยืนโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพัง มีหมื่นวิชาก็ไม่อาจเอามาใช้ สถานการณ์ใหญ่ไม่เข้าข้างตน มีเพียงตนและกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ตกอยู่ในอันตรายด้วยกัน

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในจวนของซุนจวี้เฉวียน หลินจวินปี้พูดกับเปียนจิ้งอย่างตรงไปตรงมาว่า ไม่อยากรีบคุมเชิงกับเฉินผิงอันเร็วเกินไปนัก เพราะไม่มีโอกาสชนะจริงๆ ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็อายุไม่ถึงสิบห้าปี

กับเฉินผิงอันยังเป็นเช่นนี้ กับหนิงเหยาก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ความมั่นใจของหลินจวินปี้มาจากการเปรียบเทียบตนเองในอีกสิบปีให้หลังกับเฉินผิงอันและหนิงเหยาในทุกวันนี้ หรือควรจะพูดว่าหลินจวินปี้วันนี้เปรียบเทียบกับเฉินผิงอันและหนิงเหยาเมื่อสิบปีก่อน

และนี่ก็เป็นคำสอนประโยคที่สองของอาจารย์ผู้เป็นราชครูของตน ช่วงชิงด้านพละกำลังกับผู้อื่น คนที่ไม่ยอมแพ้มักจะตายได้ง่าย

ความคิดของหลินจวินปี้แล่นอย่างรวดเร็ว หวังว่าจะหาแผนการรอบคอบรัดกุมที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ตนเองได้

ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดหลินจวินปี้ถึงได้เป็นปฏิปักษ์ หรือควรจะพูดว่าให้ความสนใจเฉินผิงอันเป็นพิเศษ แน่นอนว่าเป็นเพราะริ้วคลื่นของศึกตรีจตุครั้งนั้นที่แผ่ลามมาถึง ลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อเคารพฟ้าดิน กษัตริย์ พ่อแม่และอาจารย์มากที่สุด บนเส้นทางของการฝึกตน ส่วนใหญ่มักจะใกล้ชิดกับอาจารย์ผู้สืบทอดวิชามากที่สุด เป็นสิ่งที่จะอยู่เคียงข้างได้นานที่สุด ส่งอิทธิพลอย่างลึกล้ำที่สุด หลินจวินปี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หากอยู่ในสายบุ๋นสายใดสายหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็มักจะสืบทอดบุญคุณความแค้นในอดีตของสายนั้นมาด้วย อาจารย์ของตนกับซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้นสั่งสมความแค้นกันมาอย่างลึกล้ำ ในอดีตเรื่องที่ห้ามจัดพิมพ์เผยแพร่ตำราความรู้ของเหวินเซิ่งนั้น ราชวงศ์เส้าหยวนคือราชวงศ์แรกสุด แล้วก็เป็นราชวงศ์ที่ทุ่มเททำเรื่องนี้มากที่สุดในบรรดาราชวงศ์ของแผ่นดินกลาง เพียงแต่ว่าในทางส่วนตัวแล้วทุกครั้งที่พูดถึงซิ่วไฉเฒ่า ราชครูที่เดิมทีมีหวังว่าจะเดินไปบนเส้นทางของรองผู้อำนวยการของสถานศึกษา ผู้อำนวยการ และรองเจ้าลัทธิแห่งศาลบุ๋นกลับไม่ได้มีความเคียดแค้นเขามากนัก หากไม่พูดถึงนิสัยใจคอ พูดถึงแค่ความรู้ ราชครูกลับชื่นชมมากเป็นพิเศษ นี่จึงยิ่งทำให้ในใจหลินจวินปี้ไม่สบอารมณ์

หนิงเหยาเอ่ยประโยคนั้นจบก็ไม่เอ่ยอะไรอีก

สำหรับนางแล้ว ทางเลือกของหลินจวินปี้นั้นง่ายดายมาก ไม่ออกกระบี่ก็คือยอมแพ้ ออกกระบี่ก็ยังต้องแพ้อยู่ดี แค่ต้องเจอกับความยากลำบากมากหน่อยเท่านั้น

ดังนั้นหนิงเหยาจึงไม่ค่อยเข้าใจว่าเขามีอะไรให้คิดมากกัน

หนิงเหยาไม่ชอบเด็กหนุ่มคนนี้ นอกจากจะไม่ควบคุมดวงตาตัวเองให้ดี ไม่ค่อยรู้จักพูดแล้ว ยังคิดมากเกินไป อีกทั้งยังไม่บริสุทธิ์มากพอ ผู้ฝึกกระบี่ฝึกกระบี่ต้องรุดไปข้างหน้า แต่เขากลับจงใจกดขอบเขตเอาไว้ ไม่คิดจะเคารพกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเองสักนิดเลยหรือ? หากจะบอกว่าสามลัทธิและเมธีร้อยสำนักมีคำวิพากษ์วิจารณ์มากมายต่อกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ ก็สามารถเข้าใจได้ว่ามรรคาแตกต่างมิอาจร่วมทาง ถ้าอย่างนั้นแม้แต่ตัวผู้ฝึกกระบี่เองก็ยังไม่ยินดีเอาความจริงใจออกมา ดังนั้นหลังจากที่อีกฝ่ายออกกระบี่แล้วแพ้ หนิงเหยาจึงเตรียมจะพูดแค่ประโยคเดียวว่า บนโลกใบนี้มีวิชาเซียนนับพันนับหมื่น มีเพียงกระบี่บินที่ตรงไปตรงมาที่สุด

หากไม่ออกกระบี่ก็ยอมแพ้แล้ว ถ้าอย่างนั้นประโยคนี้ก็ไม่ต้องพูดให้มากความแล้ว

อันที่จริงนอกจากหลินจวินปี้ที่กระอักกระอ่วนที่สุดแล้ว เวลานี้เหยียนลวี่ที่คุมเชิงคนทั้งสองอยู่บนถนนห่างไปไม่ไกลก็กระอักกระอ่วนมากเหมือนกัน

ส่วนคนที่สองที่เฝ้าด่านของฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ คือหลิวเถี่ยฟูผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกร แน่นอนว่าย่อมไม่กระอักกระอ่วน กลับกันยังอารมณ์ดีอย่างมาก เหตุผลนั้นเรียบง่ายยิ่ง เขาแต่งตั้งตัวเองให้เป็นบุคคลอันดับหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ชื่นชอบหนิงเหยา เกิดและเติบโตมาในหมู่บ้านร้านตลาด แต่กลับมีหนังหน้าที่หนายิ่ง ช่วงแรกเริ่มสุดเขาใช้ทุกวิธีการที่มีเพราะอยากจะเข้าไปอยู่ในจวนหนิง ยกตัวอย่างเช่นเป็นเหมือนชุยเหวยที่เป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของน่าหลันเย่สิงก่อน หรือไม่ก็พยายามไปช่วยงานจุกจิกที่จวนหนิง เป็นคนเฝ้าประตูอะไรทำนองนั้น แต่ทุกครั้งที่พบเจอหนิงเหยาบนถนนโดยบังเอิญ หลิวเถี่ยฟูจะต้องหน้าแดงก่ำ ก้มหน้าค้อมเอววิ่งหลบออกไปไกลๆ แค่ได้มองหนิงเหยาอยู่ไกลๆ แวบหนึ่งก็พึงพอใจมากแล้ว เขาบอกว่าหากอยู่ใกล้หนิงเหยามากเกินไปจะหน้าซีดขาว เหงื่อผุดเต็มฝ่ามือ ง่ายที่จะทำให้หนิงเหยารำคาญตน

ดังนั้นหลิวเถี่ยฟูจึงตะโกนบอกเหยียนลวี่เสียงดังว่า รอให้ทางนั้นจบเรื่องก่อน พวกเราค่อยมาประลองกัน

ส่วนเรื่องที่ว่าเหยียนลวี่จะฟังภาษาถิ่นของตัวเองออกหรือไม่ หลิวเถี่ยฟูคร้านจะสนใจ ถึงอย่างไรเขาก็นั่งลงบนพื้นเริ่มมองแม่นางหนิงอยู่ไกลๆ แล้ว และยังโบกมืออยู่หลายครั้ง คงอยากจะโบกให้คนหนุ่มชุดเขียวปักปิ่นขาวที่ยืนอยู่ข้างกายแม่นางหนิงขยับออกห่างไปหน่อย อย่ามาขัดขวางการเลื่อมใสชื่นชมแม่นางหนิงของตน

สำหรับเฉินผิงอันที่เป็นคนต่างถิ่นผู้นี้ หลิวเถี่ยฟูค่อนข้างจะนับถืออยู่บ้าง แต่ต่อให้คนผู้นี้จะทยอยเอาชนะฉีโซ่วและผังหยวนจี้ได้ หลิวเถี่ยฟูก็ยังรู้สึกว่าเขาไม่คู่ควรกับแม่นางหนิงอยู่ดี แต่ในเมื่อแม่นางหนิงชื่นชอบอีกฝ่าย เขาก็อดทนได้ เพราะไม่อดทนก็ไม่มีทางอื่นแล้วนี่นา จะเอาชนะอีกฝ่ายก็ทำไม่ได้ ได้แต่หาโอกาสไปที่ร้านเหล้า ดื่มเหล้า สลักชื่อของตัวเองลงไป แอบเขียนประโยคหนึ่งไว้ด้านหลังป้ายสงบสุขว่าแม่นางหนิง เจ้ามีคนที่ชอบแล้ว ข้าเสียใจมาก ผลคือวันที่สองตอนหลิวเถี่ยฟูไปดื่มเหล้าก็เห็นว่าเฉินผิงอันมายืนรออยู่หน้าร้าน ยิ้มพลางกวักมือให้เขา บอกว่าพวกเรามาคุยกันหน่อย หลิวเถี่ยฟูไม่พูดไม่จาก็ชักเท้าเผ่นหนีทันที ได้แต่ไหว้วานให้คนไปสืบข่าวให้ว่าแผ่นป้ายสงบสุขนั้นหายไปแล้วหรือไม่ พอรู้ว่ายังไม่หายจึงรู้สึกว่าเฉินผิงอันผู้นั้นก็เป็นคนที่ใช้ได้เหมือนกัน

หากคนที่หนิงเหยาชื่นชอบใจแคบเหมือนไส้ไก่ ก็คงไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร

เซียนกระบี่แต่ละท่านที่มาจากหัวกำแพงเมืองพากันพลิ้วกายลงบนหัวกำแพงของเรือนที่อยู่สองฟากถนนใหญ่

ไม่เพียงเท่านี้ กลางอากาศระหว่างกำแพงเมืองปราณกระบี่และนครก็เห็นได้ชัดว่ายังมีเซียนกระบี่ขี่กระบี่มุ่งตรงเข้ามาไม่หยุด

หลินจวินปี้มีสีหน้าเป็นธรรมชาติ กุมหมัดคารวะหนิงเหยาพร้อมเอ่ยว่า “เด็กน้อยไม่รู้ความ ล่วงเกินท่านแล้ว หลินจวินปี้ขอยอมแพ้”

เปียนจิ้งผ่อนลมหายใจโล่งอก ไม่ออกกระบี่นั้นถูกต้องแล้ว หากออกกระบี่ เปียนจิ้งก็เป็นกังวลว่าเสาคานหลักของวิถีกระบี่ในอนาคตของราชวงศ์เส้าหยวนอย่างหลินจวินปี้ผู้นี้จะต้องจิตแห่งกระบี่แตกสลายอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ถึงเวลานั้นใต้เท้าราชครูต้องไม่มีทางละเว้นเขาเปียนจิ้งแน่นอน ไม่เหมือนกับหลินจวินปี้ที่คิดอ่านละเอียดอ่อนรอบคอบ เปียนจิ้งไม่ได้คิดอะไรมากนัก เพียงแค่เลือกเส้นสายหนึ่งหรือสองเส้นแล้วมองให้ทะลุปรุโปร่ง ยกตัวอย่างเช่นกำแพงเมืองปราณกระบี่มีคำเอ่ยหนึ่งบอกว่า หนิงเหยาคือผู้ฝึกกระบี่ประเภทหนึ่ง ส่วนผู้ฝึกกระบี่ที่เหลือคืออีกประเภทหนึ่ง นอกจากนี้หนิงเหยาก็เคยร่วมการเข่นฆ่านอกเมืองอยู่หลายครั้ง อีกทั้งอายุยังน้อยก็ออกท่องใต้หล้าไพศาลเพียงลำพัง หนิงเหยาย่อมไม่มีทางเป็นกบใต้กะลาที่มีแค่พรสวรรค์ดีเยี่ยมอย่างแน่นอน นี่จึงเป็นเหตุให้หนิงเหยาเอ่ยประโยคนี้ก็หมายความว่าหนิงเหยาต้องมั่นใจว่าจะกุมชัยชนะได้อย่างมั่นคง คำพูดของนาง ก็คือการออกกระบี่

ดังนั้นเปียนจิ้งจึงไม่ใคร่ครวญให้ลึกซึ้งว่ากระบี่บินของหนิงเหยาคืออะไร มีพลังพิฆาตน้อยใหญ่ บนร่างของนางมีวิชาอภินิหารอะไร ขอบเขตเป็นอย่างไร

ไม่มีความจำเป็น

หนิงเหยาเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามาฝึกวิชากระบี่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่จะมีความหมายอะไร?”

หลินจวินปี้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่รบกวนให้พี่หญิงหนิงต้องเป็นห่วง จวินปี้ย่อมมีเส้นทางสายใหญ่ให้ก้าวเดิน”

หนิงเหยาขมวดคิ้ว “เก็บคำพูดเจ้ากลับคืนไป”

หลินจวินปี้กล่าวอย่างจนใจ “หรือว่าคนต่างถิ่นมาอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็จะต้องระมัดระวังถ้อยคำและการกระทำถึงขั้นนี้? วันหน้าหากจวินปี้ออกกระบี่ ไม่ใช่ว่าต้องออกอย่างกล้าๆ กลัวๆ หรอกหรือ”

หนิงเหยาหันหน้าไปมองเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ต้องสนใจว่าข้าคิดอย่างไร หนิงเหยาก็คือหนิงเหยา”

เปียนจิ้งเดินออกไปหนึ่งก้าว

จะปล่อยให้หลินจวินปี้โดดเดี่ยวอยู่คนเดียวก็คงไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่ดูว่าสุขุมหนักแน่นนั้นก็เป็นเพราะได้รับการอบรมสั่งสอนอยู่ข้างกายของใต้เท้าราชครูมานานหลายปี บุคลิกในตอนนี้จึงมาจากการเลียนแบบอีกฝ่ายมากกว่า ยังไม่ได้ศึกษาลึกซึ้งอย่างถึงแก่น แล้วนับประสาอะไรกับที่เซียนกระบี่ที่มาชมศึกก็มีมากมายราวกับก้อนเมฆ แรงกดดันของหลินจวินปี้ย่อมสูงมาก พวกเหยียนลวี่ จูเหมยอาจจะมองเบาะแสไม่ออก แต่เปียนจิ้งกลับรู้ชัดเจนดี หลินจวินปี้แทบจะอดทนจนถึงขีดจำกัดแล้ว คนที่คิดมาก หากลงมือขึ้นมาก็มักจะไม่สนใจสิ่งใดมากเป็นพิเศษ ก่อนจะออกมาจากราชวงศ์เส้าหยวน ใต้เท้าราชครูได้ตั้งใจมาหาเขาเปียนจิ้งแล้วพูดถึงเรื่องนี้โดยเฉพาะ เขาหวังว่าลูกศิษย์ครึ่งตัวอย่างเปียนจิ้งจะสามารถห้ามปรามศิษย์น้องอย่างหลินจวินปี้ในช่วงเวลาที่สำคัญบางอย่างได้ นี่ก็เพื่อให้ ‘แพ้หมาก’ โดยไม่ทำลายรากฐานมหามรรคา ช่วยให้หลินจวินปี้ชนะหมากล้อมบนเส้นทางของชีวิตได้

เพราะในสายตาของราชครู ลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจอย่างหลินจวินปี้มาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ใช่เพื่อฝึกกระบี่ แต่เน้นที่การฝึกจิตใจ ไม่อย่างนั้นหลินจวินปี้ที่เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดซึ่งโดดเด่นไม่ธรรมดานี้ ไม่ว่าจะฝึกวิชากระบี่อยู่ที่ไหน จะอยู่บนยอดเขาห่างไกลจากผงธุลี อยู่ในโคลนตมของหมู่ชาวบ้าน หรืออยู่ในยุทธภพของราชสำนัก ความต่างล้วนไม่มาก

แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าหลินจวินปี้ลำพองใจในตัวเองมากเกินไป แต่กลับไม่รู้ตัว นี่เป็นความสุดโต่งอย่างหนึ่ง เวทกระบี่ของจวินปี้ต้องสูงกว่านี้ นี่คือเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเลยสักนิด แต่นิสัยของจวินปี้กลับต้องขยับเข้าใกล้กับคำว่าเป็นกลางมากกว่านี้ ห้ามมุ่งตรงไปยังปลายสุดของฝั่งใดฝั่งหนึ่งเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจิตแห่งเต๋าจะถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น จิตแห่งกระบี่ปริแตก นั่นก็คือหายนะใหญ่เทียมฟ้า

อันที่จริงเปียนจิ้งรู้สึกอิจฉาเจ้าเด็กหลินจวินปี้ผู้นี้ไม่น้อย ควรค่าให้ใต้เท้าราชครูชักนำเขาไปบนเส้นทางการฝึกตนอย่างระมัดระวังขนาดนี้

ใบหน้าของเฉินผิงอันประดับรอยยิ้ม แทบจะเวลาเดียวกันนั้น เขาก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกับเปียนจิ้ง ยิ้มมองคนบนเส้นทางเดียวกันที่เชี่ยวชาญการเสแสร้ง น่าเสียดายที่อีกฝ่ายแค่เสแสร้งเรื่องขอบเขตซึ่งเป็นแค่ลูก ไม่ถึงขั้นเป็นหลาน ยังขาดกำลังไฟอีกเล็กน้อย การปะทะกันในร้านเหล้าก่อนหน้านั้น การแสดงของพี่น้องท่านนี้เปิดเผยร่องรอยเด่นชัดมากเกินไป ไม่ไหลรื่นเหมือนน้ำมาคลองสำเร็จมากพอ อย่างน้อยที่สุดความตื่นตระหนกจากสีหน้าและแววตาของอีกฝ่าย รวมถึงท่าทางทำอะไรไม่ถูกอย่างคนรู้ตัวช้าก็ไม่คล่องแคล่วเป็นธรรมชาติมากพอ อะไรที่มากเกินไปย่อมไม่ดี

อย่างน้อยที่สุดก็ใช้ไม่ได้ผลกับเฉินผิงอัน

หนิงเหยาเอ่ย “คนต่างถิ่นผ่านสามด่าน พวกเจ้าอาจรู้สึกว่าพวกเราหยามเกียรติผู้อื่น แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น นี่คือหนึ่งในการแสดงความเคารพอย่างหนึ่งของผู้ฝึกกระบี่กำแพงเมืองปราณกระบี่เรา ไม่ผ่านสามด่าน แพ้ติดกันรวดทั้งสามด่านแล้วจะอย่างไร กล้ามาฝึกประสบการณ์ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ กล้าขึ้นหัวกำแพงไปมองใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มากพอจะพิสูจน์สถานะของผู้ฝึกกระบี่ได้แล้ว แต่ในเมื่อเจ้ามุ่งมั่นวางแผนคิดร้ายในเรื่องนี้ด้วยการตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาเอง หวังเล่นงานฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็ไม่เป็นไร เข่นฆ่าศัตรูอยู่บนสนามรบ หากสามารถวางแผนเล่นงานคู่ต่อสู้ได้สำเร็จก็ถือว่าเป็นความสามารถของเจ้าหลินจวินปี้ เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกกระบี่ก็พูดด้วยกระบี่ ชนะแล้วก็คือชนะแล้ว”

เหล่าเซียนกระบี่ที่มาชมศึกแอบพยักหน้าอยู่กับตัวเอง คนส่วนใหญ่ล้วนคลี่ยิ้มอย่างชอบใจ

เซียนกระบี่ในพื้นที่ส่วนใหญ่ มีใครบ้างที่ไม่เคยเป็นหนุ่มสาวมาก่อน ย่อมต้องเคยเฝ้าด่านสามด่านด้วยตัวเองมาก่อน

กลับกลายเป็นพวกผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยที่หันมามองหน้ากันเอง พอหนิงเหยาพูดอย่างนี้ พวกเขาถึงได้ค้นพบว่าที่แท้นี่ก็เป็นเรื่องที่มีเกียรติและสูงส่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ไม่ถูกสิ เดิมทีพวกเราก็อยากจะซ้อมเจ้าพวกคนต่างถิ่นให้หน้าม่อยคอตกไม่ใช่หรือ? ก็เหมือนอย่างกลุ่มของฉีโซ่วกับผังหยวนจี้ที่เดิมทีควรต้องมาชมเรื่องสนุกอย่างเดียวที่ร่วมมือกันเล่นงานเถ้าแก่รอง แรกเริ่มพวกเราก็มองเห็นเป็นเรื่องตลกขบขันไม่ใช่หรือ ส่วนเรื่องที่เถ้าแก่รองเจ้าคนใจดำขี้งกผู้นั้นดันชนะในท้ายที่สุด แน่นอนว่าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่พอฟังอย่างนี้ หนิงเหยาก็ไม่ได้พูดผิด สำหรับผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะมาจากที่ใดในใต้หล้าไพศาล กำแพงมืองปราณกระบี่ก็ล้วนไม่มีอคติใดๆ ส่วนใหญ่แล้วยังยินดีให้ความเคารพอยู่ไม่มากก็น้อย

เซียนกระบี่ มีอาเหลียงชาติสุนัข มีจั่วโย่วที่เวทกระบี่สูงส่งพ้นเหนือเมฆ มีเว่ยจิ้นผู้สง่างามที่มาจากแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ

คนหนุ่ม อันดับแรกก็เป็นเฉาสือผู้มีมาดแห่งเทพเซียน ภายหลังก็มีเฉินผิงอันผู้หน้าไม่อาย

หลินจวินปี้สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “หรือเจ้าจะต้องออกกระบี่มาเข่นฆ่ากัน ถึงจะยอมเลิกรา?”

“คำพูดก่อนหน้านี้เป็นเพียงคำพูดตามมารยาท ข้าหวังว่าเจ้าจะออกกระบี่ ก็แค่ไม่ชอบขี้หน้าเจ้าเท่านั้น”

หนิงเหยาเอ่ย “ในเมื่อเจ้าบอกว่าเป็นเด็กน้อยไม่รู้ความ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะกดขอบเขตให้อยู่ต่ำกว่าเจ้า ขนาดนี้แล้วยังไม่กล้าออกกระบี่ แล้วจะให้ทำยังไงถึงจะกล้าออกกระบี่ ต้องสู้กับเกาโย่วชิง?”

กล่าวมาถึงตรงนี้ หนิงเหยาก็หันหน้าไปมองเด็กสาวตาแดงก่ำที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเกาเหย่โหวและผังหยวนจี้ “ร้องไห้ทำไม กลับไปร้องที่บ้านโน่น”

อันที่จริงตอนนี้บนใบหน้าของเกาโย่วชิงไม่มีคราบน้ำตาแล้ว แต่นางก็ยังตกใจจนรีบยกมือเช็ดหน้าตัวเอง

พริบตานั้นเปียนจิ้งก็รู้แล้วว่าท่าไม่ดี จึงเตรียมจะลงมือทำอะไรบางอย่าง แต่กลับเห็นสายตาของเฉินผิงอันผู้นั้นจึงรู้สึกลังเลขึ้นมา

หลินจวินปี้รู้สึกเหมือนตกอยู่ในโพรงน้ำแข็ง

เพราะบนหน้าประตูและบนหัวกำแพงสองฝากของถนนใหญ่ แต่ละจุดมีแสงกระบี่เปล่งวาบขึ้นมาก่อน ตามมาด้วยหลินจวินปี้รู้สึกเหมือนตกอยู่ท่ามกลางค่ายกลใหญ่กระบี่บิน

‘กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต’ หลายสิบเล่มประหนึ่งเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนหรือไม่ก็ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินเซ่นกระบี่ด้วยตัวเอง พวกมันพากันมาโอบล้อมเด็กหนุ่มหลินจวินปี้เอาไว้ ปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์ ปราณสังหารที่เข้มข้น ไม่มีลางของการจำลองเลียนแบบใดๆ

กระบี่บินทุกเล่มหยุดลอยอยู่รอบกายหลินจวินปี้ จุดที่ปลายกระบี่ชี้ไปล้วนไม่เหมือนกัน แต่ที่ไม่ต่างกันเลยก็คือล้วนชี้ไปยังช่องโพรงลมปราณสำคัญในการฝึกตนของหลินจวินปี้ทั้งสิ้น

แต่นี่ยังไม่ใช่เรื่องที่ทำให้หลินจวินปี้สันหลังชาวาบ อกสั่นขวัญหาย

ภาพที่ทำให้เด็กหนุ่มสิ้นหวังที่สุดคือกระบี่บินเล่มหนึ่งที่ลอยอยู่ห่างไปข้างหน้าหนึ่งจั้ง ชี้ตรงมายังหว่างคิ้วของเขา

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลินจวินปี้มีชื่อว่า ‘ซาเจียว’ (สังหารเจียว)

และกระบี่เล่มที่อยู่ตรงหน้าตนก็คือ ‘ซาเจียว’

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท