กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 593.2 สำหรับข้าแล้ว ขอบเขตไม่มีความหมาย

บทที่ 593.2 สำหรับข้าแล้ว ขอบเขตไม่มีความหมาย

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลินจวินปี้ย่อมพักพิงอยู่ในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตของเขา กระบี่บินที่อยู่ตรงหน้าก็แน่นอนว่าต้องเป็นกระบี่จำลอง แต่นอกจากข้อที่จิตของหลินจวินปี้ไม่อาจสื่อถึงมันได้ พูดถึงแค่ลมปราณ ปราณกระบี่ จิตแห่งกระบี่ ทุกอย่างกลับเหมือนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตนอย่างไม่มีผิดเพี้ยน หลินจวินปี้ถึงขั้นกังขาแล้วว่ากระบี่จำลองซาเจียวที่ไม่ควรปรากฎอยู่บนโลกเล่มนี้จะมีวิชาอภินิหารเหมือนซาเจียวได้จริงๆ หรือเปล่า

อย่าว่าแต่หลินจวินปี้เลย แม้แต่เฉินผิงอันก็เพิ่งจะเข้าใจเอาตอนนี้ว่าเหตุใดตอนที่หนิงเหยาคุยเล่นกับตนถึงได้เอ่ยประโยคว่า ‘สำหรับข้าแล้ว ขอบเขตไม่ได้มีความหมายมากนัก’ ออกมาอย่างผ่อนคลายปานนั้น

น่าเสียดายก็แต่หนิงเหยาไม่เคยชอบพูดเรื่องตบะของตัวเองกับเฉินผิงอัน

นางกลับชอบตั้งใจฟังเฉินผิงอันเล่าถึงเรื่องสัพเพเหระมากกว่า อย่างมากสุดก็แค่ปัดมือของเขาที่แอบยื่นมาหาทิ้งไป

หลังจากที่หลินจวินปี้ผ่านความสิ้นหวังที่สุดไปแล้ว ยังต้องเจอกับความสิ้นหวังที่มากยิ่งกว่า

หากจะบอกว่าหนิงเหยาเรียกกระบี่ที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางออกมามากมายขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังสามารถเลียนแบบกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตน ใช้กระบี่บินหลายสิบเล่มมาโจมตี กักขังตัวเขาเอาไว้ นี่ก็มากพอให้ตะลึงพรึงเพริดแล้ว ถ้าอย่างนั้นทางฝั่งของหนิงเหยายังมีกระบี่บินอีกหลายสิบเล่มมารวมตัวกันเป็นค่ายกล กระบี่แต่ละเล่มเชื่อมโยงชักนำกัน ไม่รู้ว่าใช้วิชาอภินิหารอะไรถึงได้สร้างฟ้าดินขนาดเล็กสมชื่อขึ้นมาแห่งหนึ่ง กดตบะและขอบเขตของหนิงเหยาไว้ที่ขอบเขตชมมหาสมุทรจริงๆ อยู่ด้านในนั้นคือขอบเขตชมมหาสมุทรของแท้แน่นอน แต่นี่ยังจะถือว่าเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรอะไรได้อีก?

อย่าว่าแต่หลินจวินปี้เลย ต่อให้เปียนจิ้งศิษย์พี่ของเขาที่เป็นคอขวดโอสถทอง คิดจะใช้กระบี่บินฝ่าฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ออกไป ง่ายนักหรือ?

หนิงเหยาพูดอย่างเฉยชา “ออกกระบี่”

หลินจวินปี้สีหน้าทึ่มทื่อ ไม่ได้ออกกระบี่ แต่ถามเสียงสั่นว่า “เหตุใดทั้งๆ ที่เป็นเวทกระบี่ แต่กลับเชื่อมโยงกันได้อย่างมหัศจรรย์เช่นนี้?”

หนิงเหยาเอ่ย “เบื้องหน้าเวทคาถาในใต้หล้าคือเวทกระบี่ เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้หรือ? เจ้าคงไม่ได้คิดว่าเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้แต่ใช้กระบี่ประจำกายและกระบี่บินทุ่มลงไปในสนามรบหรอกนะ?”

หนิงเหยามองเด็กหนุ่มแล้วส่ายหน้า ถอนกระบี่บินและฟ้าดินขนาดเล็กข้างกายออกไป

กระบี่บินหลายสิบเล่มที่อยู่รอบกายหลินจวินปี้ก็หายไปด้วย

เปียนจิ้งตวาดเบาๆ ว่า “อย่านะ!”

เปียนจิ้งพุ่งวูบไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ไม่คิดจะปกปิดอำพรางตบะอะไรอีกแล้ว เขาจะต้องขัดขวางไม่ให้หลินจวินปี้บุ่มบ่ามเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาให้ได้

ใช่ว่าเฉินผิงอันจะสัมผัสไม่ได้ถึงเจตนาชั่วร้ายของเด็กหนุ่มคนนั้น แต่เขาก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ สองมือสอดกันอยู่ในชายแขนเสื้อ มอบสนามรบให้หนิงเหยาอย่างวางใจ

ขอบเขตหนิงเหยาคืออันดับหนึ่งในคนรุ่นเดียวกัน จำนวนมากในการลงสนามรบเข่นฆ่า ผลงานการศึกที่ยิ่งใหญ่ ไยจะไม่เป็นเช่นเดียวกัน?

เบื้องหน้าหนิงเหยาปรากฏเป็นค่ายกลกระบี่ขนาดเล็กกะทัดรัด แสงสีทองเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน กระบี่บินซาเจียวที่ปรากฏตัวกะทันหันของหลินจวินปี้ถูกกักไว้ด้านในอย่างแน่นหนา

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น

กระบี่บินหลายสิบเล่มที่ก่อนหน้านี้พุ่งวูบวาบอยู่รอบกายหลินจวินปี้ก็เป็นเหมือนลูกธนูที่สาดยิงออกไปทิ่มแทงช่องโพรงหลายสิบแห่งบนร่างของหลินจวินปี้อย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นก็หยุดชะงัก ปลายกระบี่พากันขยับออกไปด้านนอก ด้ามกระบี่หันเข้าหาเด็กหนุ่ม กระบี่ซาเจียวจำลองเล่มหนึ่งในนั้นพุ่งวูบผ่านหว่างคิ้วของหลินจวินปี้ไปหยุดลอยอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มหนึ่งจั้ง ตรงปลายกระบี่มีเลือดสดหยดหนึ่งมารวมตัวกัน

ทั่วร่างของหลินจวินปี้อาบไปด้วยเลือด ยืนโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่

สองตาของหลินจวินปี้จับจ้องหนิงเหยาที่ราวกับว่าเป็นเซียนกระบี่มานานแล้วเขม็ง

เด็กหนุ่มที่ต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัยและควรจะยอมรับความพ่ายแพ้ จุดลึกในดวงตาพลันมีแสงทองสองจุดเปล่งวาบขึ้นมา

ไม่นึกว่าจะมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกสองเล่มถูกบำรุงด้วยความอบอุ่นอยู่ในดวงตาสองข้างของเด็กหนุ่มมานานหลายปี นี่หมายความว่าหลินจวินปี้ก็เหมือนกับฉีโซ่วที่ต่างก็มีกระบี่บินก่อนกำเนิดสามเล่ม

เพียงแต่ว่ากระบี่บินหลายสิบเล่มที่หยุดเมื่อพอสมควร แค่สร้างบาดแผลเล็กน้อยให้เด็กหนุ่มซึ่งหยุดลอยนิ่งกลับวาดเส้นโค้งเกิดเป็นแสงกระบี่หลากสีสัน ปลายกระบี่มารวมตัวกันอยู่ด้านหน้าดวงตาทั้งคู่ของเด็กหนุ่ม

หลินจวินปี้ยืนนิ่งไม่ขยับ

ทว่าจิตหยางของเด็กหนุ่มกลับออกมาจากร่าง ขยับเดินเบี่ยงข้างไปหลายก้าว ในมือถือกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่เตรียมจะปล่อยกระบี่ใส่หนิงเหยา

หนิงเหยาเองก็ไม่สะทกสะท้าน จิตหยินของนางที่เรือนกายล่องลอยประดุจเทพเซียนก็ออกจากร่างมาเช่นกัน ในมือถืออาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งที่หลอมใหญ่เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้นานแล้ว ไม่แม้แต่จะชายตามองจิตหยินของหลินจวินปี้ ถือกระบี่มือเดียว แต่ปลายกระบี่กลับยันอยู่ที่หน้าผากของเด็กหนุ่มนานแล้ว

ร่างจริงของหนิงเหยาเอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าอดทนไม่ฆ่าเจ้ายังยากกว่าฆ่าเจ้าเสียอีก ดังนั้นเจ้าจงรู้จักถนอมชีวิตตัวเองให้ดี”

จนกระทั่งบัดนี้หลินจวินปี้ถึงได้เข้าใจว่า คำที่ราชครูผู้เป็นอาจารย์บอกว่าผู้มีพรสวรรค์ในขอบเขตเดียวกันก็ยังมีความแตกต่างราวฟ้ากับเหว แท้จริงคืออะไรกันแน่

ทั่วร่างของหลินจวินปี้อาบไปด้วยเลือด ดวงตาหม่นมัว จิตใจยิ่งแห้งเหี่ยวดุจซากไม้

เพื่อแสดงความจริงใจ เปียนจิ้งจึงไม่ได้แสดงท่าทีรีบร้อน เพียงก้าวยาวๆ เดินไปหยุดอยู่ข้างกายหลินจวินปี้ ยื่นมือไปกดไหล่ของเด็กหนุ่ม พูดเสียงทุ้มหนักว่า “เล่นหมากล้อมจะไม่มีแพ้ชนะได้อย่างไร!”

ดวงตาของหลินจวินปี้กลับมามีประกายสว่างดังเดิมได้หลายส่วน

มีเซียนกระบี่ที่ชมศึกพูดกลั้วหัวเราะขึ้นว่า “ไม่สาแก่ใจเอาเสียเลย ต่อให้แม่หนูหนิงจะกดข่มขอบเขตเอาไว้ก็ยังออมแรงอยู่เกินครึ่ง”

เพื่อนเซียนกระบี่ที่อยู่ข้างกันเอ่ยว่า “ใช้ได้แล้วล่ะ ตอนที่พวกเราอายุเท่าเจ้าเด็กหนุ่มที่น้ำเข้าสมองผู้นี้ คาดว่าน่าจะไม่ได้เรื่องยิ่งกว่านี้”

เซียนกระบี่และผู้ฝึกกระบี่หลายคนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

เซียนกระบี่ผู้เฒ่าขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งยิ้มเอ่ย “แม่หนูหนิง ‘เหิงซิงโต่ว’ เล่มนี้ของข้า เลียนแบบได้ไม่เหมือนเท่าไร ยังขาดกำลังไฟไปบางส่วน ทำไม ดูแคลนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของข้างั้นหรือ?”

เซียนกระบี่ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ชมศึกจากจวนตัวเองอยู่บนถนนไท่เซี่ยงหลุดหัวเราะพรืด “กระบี่ผุๆ ของเจ้าเล่มนั้น เดิมทีก็ไม่ได้เรื่องอยู่แล้ว ทุกครั้งที่ออกศึกล้วนกลายเป็นของเล่นที่ไร้ความรอบคอบ หากเลียนแบบได้เหมือนจะมีประโยชน์กะผายลมอะไร”

หลิวเถี่ยฟูเช็ดกรอบดวงตาด้วยความซาบซึ้งใจ ไม่เสียแรงที่เป็นแม่นางหนิงซึ่งตนได้แค่กล้ามองอยู่ไกลๆ แอบเลื่อมใสอยู่ห่างๆ ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก

สองมือของเฉินผิงอันสอดกันอยู่ในชายแขนเสื้อ พูดกับหลินจวินปี้อย่างตรงไปตรงมาว่า “แพ้ชนะ สำหรับเจ้าแล้วเป็นเพียงเรื่องเล็ก ก็แค่หน้าตาเป็นเรื่องใหญ่กว่า แล้วนับประสาอะไรกับที่สามารถทำให้หนิงเหยาของข้าออกกระบี่ได้ เจ้าจะแพ้ได้กี่มากน้อย? ดังนั้นอย่ามาเสแสร้งอยู่ตรงนี้ ได้รับผลประโยชน์ก็จงรับไว้ด้วยความยินดี เก็บไว้ให้ดี กลับบ้านไปแล้วก็ไปแอบยินดีกับตัวเองซะ ไม่อย่างนั้นข้าคงจะไม่เกรงใจเจ้าจริงๆ แล้ว”

จากนั้นเฉินผิงอันก็หันไปยิ้มให้เปียนจิ้ง “เจ้าเป็นห่วงเขาเสียเปล่าแล้ว”

หลินจวินปี้แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เก็บจิตหยินกลับคืนเข้ามาในช่องโพรง กุมหมัดก้มหน้าเอ่ยว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสหนิงที่ช่วยชี้แนะเวทกระบี่ ชีวิตนี้จวินปี้จะไม่มีทางลืมเลือน”

หนิงเหยาเก็บจิตหยินที่ถือกระบี่กลับมา เอ่ยว่า “ตามใจเจ้า ถึงอย่างไรข้าก็จำไม่ได้อยู่แล้วว่าเจ้าเป็นใคร”

จากนั้นหนิงเหยาก็มองไปยังเหยียนลวี่และหลิวเถี่ยฟูที่อยู่บนถนน ขมวดคิ้วกล่าว “ยังจะดูเรื่องสนุกอีกรึ?”

หลิวเถี่ยฟูกระโดดโหยงขึ้นมาทันใด มารดาข้า แม่นางหนิงถึงกับมองข้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ตื่นเต้น ตื่นเต้นจริงๆ นะเนี่ย

เหยียนลวี่รู้สึกว่าการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ว่าจะสู้หรือไม่สู้ก็ดูเหมือนว่าไม่มีความหมายอะไรแล้ว ชนะไปก็เท่านั้น แพ้ไปก็ขายขี้หน้าคนอื่น ไม่ว่าต่อจากนี้ทั้งสองฝ่ายจะตีกันเอาเป็นเอาตายแค่ไหนก็คงไม่มีใครสนใจอยากจะดูแล้ว

เห็นสตรีผู้นั้นหยุดมือ เซียนกระบี่ทั้งหลายจึงจับกลุ่มพากันขี่กระบี่จากไปนานแล้ว ดูเหมือนว่าตอนที่บุคคลซึ่งเป็นดั่งเทพเซียนสูงส่งเหนือใครเหล่านี้จากไป คล้ายจะอารมณ์ดีกันไม่น้อย?

หลินจวินปี้หมุนตัวเดินโซเซจากไป

การออกกระบี่ของอีกฝ่ายไม่ได้ทำร้ายถึงรากฐานการฝึกตนของเขา เพียงแค่ว่าสภาพอเนจอนาถเล็กน้อยเท่านั้น

สำหรับการแพ้ชนะครั้งนี้ ก็เหมือนอย่างที่เจ้าคนผู้นั้นบอก หนิงเหยาได้พิสูจน์แล้วว่าวิถีกระบี่ของนางสูงมากจริงๆ แต่นี่กลับไม่ได้ทำร้ายจิตแห่งเต๋าของเขาหลินจวินปี้สักเท่าไร แน่นอนว่าย่อมส่งอิทธิพลอยู่บ้าง หลังงจากนี้หลายปี คาดว่าจะต้องเป็นเหมือนพยับเมฆดำมืดที่ปกคลุมอยู่บนจิตแห่งกระบี่ของหลินจวินปี้ ประหนึ่งมีขุนเขาที่มองไม่เห็นกดทับลงบนทะเลสาบหัวใจ แต่หลินจวินปี้คิดว่าตัวเองสามารถขับไล่พยับเมฆและย้ายภูเขานั่นออกไปได้ มีเพียงถ้อยคำของเฉินผิงอันหลังการต่อสู้จบลงที่ถึงจะทำให้เขาสะอิดสะเอียนได้อย่างแท้จริง!

ทำให้ในใจหลินจวินปี้อัดอั้นไม่น้อย

เปียนจิ้งเดินมาหยุดอยู่ข้างกายหลินจวินปี้ก่อนใคร

หลินจวินปี้สีหน้าซีดขาว พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ข้าไม่เป็นไร ยอมรับความพ่ายแพ้ได้”

เปียนจิ้งมองไปยังคนหนุ่มชุดเขียวที่ไม่ว่ามองอย่างไรก็น่าเตะแล้วให้รู้สึกประหลาดใจ ความกวนโอ้ยของเฉินผิงอันผู้นี้ไม่ค่อยเหมือนกับของเฉาสือที่สวมชุดขาวสักเท่าไร

การเรียนวรยุทธของเฉาสือมีภาพบรรยากาศมากมายนับพันนับหมื่น เมื่อขยับเข้าใกล้ตัวเขาก็เหมือนแหงนหน้ามองขุนเขาลูกใหญ่ เป็นเหตุให้ต่อให้เฉาสือไม่เอ่ยอะไรก็ยังให้ความรู้สึกลวงตาแก่คนนอกว่า ‘เจ้าสู้ข้าไม่ได้จริงๆ แนะนำเจ้าว่าอย่าลงมือจะดีกว่า’ ส่วนเจ้าเฉินผิงอันผู้นี้กลับเหมือนแปะคำว่า ‘เจ้าต้องเอาชนะข้าได้แน่ ไม่สู้เจ้าลองลงมือดูสิ’ ไว้บนหน้าผาก

เปียนจิ้งรู้สึกสะท้อนใจอย่างที่หาได้ยาก หรือข้าได้มาเจอกับผู้อาวุโสผู้บรรลุมรรคาบนเส้นทางเดียวกันเข้าแล้ว?

หลินจวินปี้เดินจากไปพร้อมกับเปียนจิ้ง พวกเจี่ยงกวนเฉิงจึงเดินตามมาด้วย

หลินจวินปี้ไม่ลืมหันไปพยักหน้าให้ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่ง ฝ่ายหลังผงกศีรษะรับความนัย

จูเหมยยังคงไม่ยินดีจากมา จึงทิ้งคนห้าหกคนไว้ให้อยู่กับนาง

เพราะถึงอย่างไรต่อจากนี้ก็ยังมีอีกสองด่านที่ต้องผ่านไปให้ได้

อารมณ์ของจูเหมยแปลกประหลาดเล็กน้อย หนิงเหยาที่ร้ายกาจอย่างถึงที่สุดผู้นั้น เพียงแค่มองนางออกกระบี่ครั้งเดียว อารมณ์เลื่อมใสชื่นชมแบบหูตามืดมัวก็บังเกิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ แต่เหตุใดหนิงเหยาถึงได้ชอบบุรุษที่อยู่ข้างกายนางคนนั้น ในเรื่องความรักชายหญิง เทพธิดาหนิงต้องตาบอดโง่เขลาขนาดไหนกัน?

เฉินผิงอันกับหนิงเหยาพากันเดินไปหาพวกเยี่ยนจั๋ว

หลังจากหนิงเหยาปรากฏตัว ตลอดทางมานี้ก็ไม่มีใครกล้าผิวปากหรือไชโยโห่ร้องอีกแล้ว

มิน่าเล่าทางกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงได้มีคำพูดหนึ่งที่แพร่หลาย

หนิงเหยาออกกระบี่เป็นอย่างไร? ขอบเขตสูงกว่านางหนึ่งขอบเขตก็ยังไม่มีประโยชน์

นี่ทำให้ในใจของเฉินผิงอันทั้งดีใจ ทั้งน้อยใจ เหตุใดจึงมีแค่ตนที่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้ ยามอยู่บนโต๊ะเหล้าหรือไม่ก็นั่งยองกินผักดองอยู่ริมถนน พวกตะพาบหลายคนก็เรียกตนเป็นพี่เป็นน้องไม่ขาดปากเลยนี่นา

เตี๋ยจ้างมีสีหน้าสดใสแช่มชื้น แอบพูดกระซิบกับหนิงเหยาเบาๆ

เฉินผิงอันใช้ฝ่ามือถูปลายคาง หันหน้าไปถามฟ่านต้าเช่อ “ต้าเช่ออ่า”

ฟ่านต้าเช่อตื่นตระหนกเล็กน้อย “อะไรอีกล่ะ?”

เฉินผิงอันถามอย่างจริงใจ “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนอย่างไร?”

ฟ่านต้าเช่อชำเลืองตามองหนิงเหยาที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่งอย่างระมัดระวัง ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างแรง “ดีมากเลยล่ะ!”

เฉินผิงอันขอความรู้ด้วยจิตใจที่ไม่เป็นสุขนัก เขาถามว่า “มีจุดไหนที่ต้องแก้ไขให้ดีขึ้นหรือไม่? ข้าคนนี้ชอบฟังคนอื่นพูดถึงข้อด้อยของข้าอย่างตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว”

ฟ่านต้าเช่อส่ายหน้า “ไม่มี!”

หนิงเหยาที่อยู่ด้านข้างพยักหน้าพร้อมยิ้มบางๆ

ฟ่านต้าเช่อเกือบหลั่งน้ำตาแล้ว ที่แท้หากตนพูดคำว่าไม่ออกมาสักคำ แม่นางหนิงจะเก็บเอาไปใส่ใจจริงๆ ด้วย

ดูเหมือนว่าเมื่อก่อนแม่นางหนิงจะไม่ใช่คนแบบนี้นี่นา

บนถนนใหญ่

เหยียนลวี่และหลิวเถี่ยฟูเริ่มศึกของด่านที่สองแล้ว

เมื่อเทียบกับแพ้ชนะที่ตัดสินได้ในเสี้ยววินาทีระหว่างผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรสองคนอย่างหลินจวินปี้และเกาโย่วชิงแล้ว คนทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับ มีวิธีอะไรก็เอาออกมาใช้หมด

เฉินผิงอันชมศึกอย่างตั้งใจ

เฉินซานชิวถามอย่างสงสัย “ต้องตั้งใจชมศึกขนาดนี้ด้วยหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ มองประเมินวิถีการโคจรที่ซับซ้อนของกระบี่บินทั้งสองฝ่ายอย่างละเอียด ยิ้มกล่าวว่า “นอกจากสหายอย่างพวกเจ้าแล้ว คนอื่นๆ ข้าก็จะมองเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ต้องตัดสินเป็นตายกันไว้ก่อน”

ฟ่านต้าเช่อลังเลตัดสินใจไม่ได้ ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “ข้าก็ถือว่าเป็นเพื่อนเจ้าด้วยหรือ?”

เฉินผิงอันถอนสายตากลับมามองฟ่านต้าเช่อตามจิตใต้สำนึก “แน่นอน”

ฟ่านต้าเช่อปลุกความกล้าเอ่ยว่า “เพื่อนก็คือเพื่อน แต่ก็ยังสู้พวกเฉินซานชิวไม่ได้ ใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นเหตุใดเวลาที่เจ้าพูดกับข้าถึงต้องตั้งใจหันมาสบตาข้าด้วย?”

ขนาดเฉินผิงอันก็ยังอึ้งไปอย่างอดไม่ได้ เขาไม่ได้ปฏิเสธ เพียงยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเป็นผู้ชายตัวโตๆ คนหนึ่ง จะมีจิตใจละเอียดอ่อนแบบนี้ไปไย”

นอกจากหนิงเหยา ทุกคนต่างก็หัวเราะร่าหันไปมองเฉินผิงอัน

ฟ่านต้าเช่อแอบขยับเท้าหนี คลี่ยิ้มฝืดเฝือน ถองศอกใส่เฉินซานชิวเบาๆ “เหล้าหนึ่งกาห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ข้าเข้าใจแล้ว”

เฉินซานชิวเอ่ยเสียงขุ่น “เจ้าเข้าใจกะผายลมอะไร”

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ต้าเช่ออ่า วันหน้าตามเฉินซานชิวไปจวนหนิง พวกเราผลัดกันลงสนามประลองฝีมือกับเจ้า จำไว้ว่าหากฝ่าทะลุขอบเขตได้จริงๆ ก็ต้องไปดื่มเหล้าที่ร้านแล้วพร่ำพูดเรื่องนี้เสียงดังหน่อย เหล้ากาละห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะนั้นก็ถือเสียว่าเป็นเหล้าแสดงความยินดีที่ข้ามอบให้เจ้า”

ฟ่านต้าเช่ออึ้งงันไม่เอ่ยอะไร

เฉินซานชิวกระทืบหลังเท้าฟ่านต้าเช่อ ฟ่านต้าเช่อถึงเพิ่งคืนสติ อืมรับหนึ่งที บอกว่าไม่มีปัญหา

ด่านที่สองเป็นอย่างที่เฉินผิงอันคาดการณ์ไว้จริงๆ เหยียนลวี่ชนะมาอย่างหวุดหวิด

หลิวเถี่ยฝูแพ้อย่างไม่น่าเกลียดเกินไป

สองฝั่งของถนนใหญ่มีเสียงโห่ดังระงม หลิวเถี่ยฝูที่หนังหน้าหนายิ้มกว้าง สองมือกุมเป็นหมัด ยิ้มเอ่ยว่าขอบคุณเซียนกระบี่ทุกท่านที่มาชมศึก

ด่านที่สาม ซือถูเว่ยหรันเป็นผู้รับผิดชอบเฝ้าด่าน (ชื่อตัวละครซือถูเว่ยหรันมีบางตอนที่ผู้แต่งใช้เป็นซือหม่าเว่ยหรัน)

อีกฝ่ายคือผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่งที่มีชื่อว่าจินเจินเมิ่ง เพิ่งจะฝ่าด่านเป็นผู้ฝึกกระบี่เซียนดินได้ไม่นาน อายุสามสิบกว่าๆ แล้วก็เป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่มีชื่อเสียงอย่างถึงที่สุดของราชวงศ์เส้าหยวน เพียงแต่เดินทางลงใต้ออกจากบ้านเกิดในครั้งนี้ ความโดดเด่นทั้งหมดของเขาล้วนถูกผู้มีพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่อย่างหลินจวินปี้ เหยียนลวี่ ถูกลูกหลานชนชั้นสูงอย่างจูเหมย เจี่ยงกวนเฉิงกลบทับไปหมด อีกทั้งเดิมทีจินเจินเมิ่งก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ที่ชอบออกหน้าทำตัวให้เด่นอยู่แล้ว การผ่านสามด่านในครั้งนี้ ต่อให้จะรู้ดีว่าตัวเองคือ ‘หมากที่ถูกทอดทิ้ง’ เพียงหนึ่งเดียวของหลินจวินปี้ แต่เขากลับไม่รู้สึกยอกแสลงใจใดๆ สามารถถามกระบี่จากคนวัยเดียวกันของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จากผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริง จินเจินเมิ่งที่มีอายุมากที่สุดในกลุ่มคนไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย ครั้งนี้เดินทางลงใต้มาเยือนภูเขาห้อยหัวพร้อมกับกลุ่มผู้มีพรสวรรค์อายุน้อย ได้เข้าพักในสวนดอกเหมย แล้วจึงมาเข้าพักในจวนของเซียนกระบี่ซุน หลินจวินปี้จัดการอย่างไร จินเจินเมิ่งก็ล้วนทำตามทุกอย่าง แต่เขากลับมีแผนการเล็กๆ มากมายเป็นของตัวเองที่ล้วนเกี่ยวข้องกับกระบี่ทั้งสิ้น

ดังนั้นการเฝ้าด่านผ่านด่านครั้งนี้ แม้ว่าแพ้ชนะจะเป็นเรื่องแน่นอนที่ไม่ต้องลุ้นอยู่แล้ว แต่กลับเหมือนการถามกระบี่ที่จริงจังมากที่สุด

ซือถูเว่ยหรันไม่ได้จงใจออกกระบี่รวดเร็ว เพียงแค่มองการขัดเกลาฝีมือครั้งนี้เป็นการฝึกประสบการณ์อย่างหนึ่งเท่านั้น

เป็นเหตุให้ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา จินเจินเมิ่งจึงเก็บกระบี่ยอมแพ้ ซือถูเว่ยหรันที่เย่อหยิ่งทระนงตนมาโดยตลอดรอยยิ้มอย่างที่หาได้ยาก หลังเก็บกระบี่แล้วก็คารวะอีกฝ่ายกลับคืน

อันที่จริงหากพูดแค่ศึกสามด่าน ฝ่ายของหลินจวินปี้ก็ถือว่ากลับไปพร้อมชัยชนะที่ยิ่งใหญ่

เพียงแต่ว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ ฝั่งของหลินจวินปี้กลับไม่มีใครคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายชนะ

สามด่านสิ้นสุดลง ผู้ฝึกกระบี่ที่มาชมศึกบนถนนใหญ่ล้วนแยกย้ายกันไป

คนไม่น้อยตรงไปที่ร้านเหล้าของเตี๋ยจ้าง การชมศึกเมื่อครู่นี้ ดูเพิ่มไปหนึ่งศึก กับแกล้มในวันนี้จึงรสชาติดีเยี่ยมอย่างมาก รสชาติดีกว่าผักดองที่เค็มสุดชีวิตจานนั้นเสียอีก แต่ตอนนี้มีบะหมี่หยางชุนที่ไม่เก็บเงินเหมือนกันมาเพิ่มอีกชามหนึ่ง ดังนั้นจึงพวกเขาอดทนกับเถ้าแก่รองผู้นั้นได้มากอีกหน่อย

หนิงเหยาไม่ได้ไปร่วมวงความครึกครื้นที่ร้านเหล้า บอกว่าจะกลับไปฝึกตน เพียงเตือนเฉินผิงอันว่ายังบาดเจ็บอยู่ ให้ดื่มเหล้าน้อยๆ หน่อย

เยี่ยนจั๋วถาม “เกิดอะไรขึ้น?”

เฉินผิงอันใช้เสียงในใจยิ้มตอบ “หลายวันมานี้หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิต มีปัญหาเล็กๆ เกิดขึ้น”

เยี่ยนจั๋วจึงไม่ถามอะไรมากอีก

เฉินซานชิวเองก็ไม่เอ่ยอะไรให้มากความ

ก่อนหน้านี้ดูเหมือนจวนหนิงจะมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น เซียนกระบี่ทั่วไปอาจไม่รู้ แต่กลับทำให้เฉินซีบรรพบุรุษของเขาตกอกตกใจได้ ตอนนั้นเฉินซานชิวที่กำลังฝึกกระบี่มึนงงอยู่มาก ไม่รู้ว่าเหตุใดบรรพบุรุษถึงได้ปรากฏกาย บรรพบุรุษแค่ยิ้มเอ่ยกับเฉินซานชิวประโยคเดียวว่า หลวงจีนเฒ่าที่นั่งงีบหลับอยู่บนเบาะหัวกำแพงมานานหลายปี คาดว่าคงจะลืมตาตื่นได้แล้ว

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท