ป๋ายโส่วยังปรับตัวให้ชินกับขนบธรรมเนียมของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้เท่าไร ท่าทางเขาอ่อนระโหยโรยแรง อาการน่าสงสารพอๆ กันกับเริ่นหลงฉง
นี่ก็คือสาเหตุหลักๆ ที่ทำไมผู้ฝึกลมปราณที่ต่ำกว่าเซียนดินลงไปถึงไม่ยินดีจะอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่นานนัก เพราะทนความทรมานนี้ไม่ได้ เรียกได้ว่าเหมือนกลับคืนไปสู่ขอบเขตถ้ำสถิต ต้องคอยแบกรับความทุกข์จากการถูกน้ำมหาสมุทรกรอกเทเข้าใส่อยู่ตลอดเวลา แต่หากเป็นผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยยังนับว่าดี เพราะหากอยู่นานวันเข้า ถึงอย่างไรก็ยังมีประโยชน์ สามารถบำรุงจิตวิญญาณและกระบี่บินได้ ส่วนผู้ฝึกลมปราณของสามลัทธิร้อยสำนักที่นอกเหนือจากผู้ฝึกกระบี่ ลำพังเพียงแค่สาวเอาปณิธานกระบี่ออกมาจากปราณวิญญาณฟ้าดินก็คือความทุกข์ทรมานใหญ่เทียมฟ้าแล้ว ในประวัติศาสตร์ ช่วงเวลาก่อนเกิดศึกใหญ่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ค่อนข้างจะสงบสุขนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้ฝึกตนอายุน้อยที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เดินทางมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วดึงดันจะไปที่หัวกำแพงเมือง ข้างกายมีองค์รักษ์ที่มา ‘ท่องขุนเขาเที่ยวสายน้ำ’ ด้วยกัน อีกทั้งขอบเขตยังไม่สูง ผลคือรอจนองค์รักษ์ไปแบกตัวมาจากประตูใหญ่ ขอบเขตก็ถดถอยไปเสียแล้ว
หลูสุ้ยถามหยั่งเชิง “ในเมื่อเพื่อนของเจ้าอยู่ในนคร ไม่สู้ตามข้าไปที่จวนป๋ายม่ายของถนนไท่เซี่ยงเลยดีไหม? เซียนกระบี่ซ่งลวี่ท่านนั้น เดิมทีก็มีความเกี่ยวข้องกับอุตรกุรุทวีปของพวกเราอย่างลึกซึ้งอยู่แล้ว”
อันที่จริงหลูสุ้ยก็รู้ดีว่าข้อเสนอของตนฟังดูไม่ค่อยสนใจความรู้สึกผู้อื่นสักเท่าใด แต่นางกลัวว่าจากลากันวันนี้ หลิวจิ่งหลงก็จะสงบใจฝึกกระบี่ จมจ่อมอยู่กับมันจนหลงลืมตน ถึงเวลานั้นนางจะทำอย่างไร เดินทางไกลเป็นหมื่นลี้มาพบเขาที่ภูเขาห้อยหัว นางเพิ่งจะได้มองจิ่งหลงแค่กี่ครั้งเอง? หรือว่าอยู่ใกล้กันแค่เอื้อมมือแต่กลับต้องเหมือนห่างไกลสุดขอบฟ้า ไม่แน่ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้พบหน้ากันก็อาจเป็นตอนที่นางเตรียมย้อนกลับมายังภูเขาห้อยหัว จึงต้องไปบอกลากับเขา? แต่หากเข้าไปอยู่ที่จวนป๋ายม่ายของเซียนกระบี่ซ่งลวี่ด้วยกัน ต่อให้หลิวจิ่งหลงจะเก็บตัวตั้งใจฝึกกระบี่ ปิดด่านไม่พบเจอใคร หลูสุ้ยก็ยังรู้สึกว่าอยู่ร่วมชายคาเดียวกับเขา ลมพัดฝนตกก็ดี ฟ้าใสอากาศดีก็ช่าง ถึงอย่างไรทัศนียภาพที่คนทั้งสองมองเห็นก็เป็นแบบเดียวกัน
ป๋ายโส่วเอ่ยคล้อยตาม “มีเหตุผล! พวกเราไม่ไปรบกวนการฝึกตนของเจ้าสำนักแล้ว ไปรบกวนเซียนกระบี่ซ่งลวี่ดีกว่า”
ป๋ายโส่วไม่ค่อยกล้าไปพบหานไหวจื่อเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่ยังไม่เคยพอเจอมาก่อนผู้นั้นเท่าใดนัก ตอนที่คุยเล่นกับคนวัยเดียวกันมากมายยามอยู่บนยอดเขาเพียนหราน ดูเหมือนว่าเจ้าสำนักท่านนี้จะเป็นตาเฒ่าที่เข้มงวดมากคนหนึ่ง เวลาที่ทุกคนพูดถึงเขาล้วนมีท่าทางยำเกรง กลับเป็นหวงถงบรรพจารย์ผู้คุมกฎที่ป๋ายโส่วเคยเจอมาครั้งหนึ่งที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจ แต่ปัญหาคือรอจนป๋ายโส่วได้พบกับบรรพจารย์หวงถงอย่างแท้จริง เขากลับยังคงรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ อยู่ดี เขาหวาดกลัวอีกฝ่ายอย่างมาก ขนาดเซียนกระบี่หวงถงยังทำให้คนไม่เป็นตัวของตัวเองขนาดนี้ หากต้องไปเจอกับคนที่นั่งเก้าอี้อันดับหนึ่งของสำนักกระบี่ไท่ฮุยจริงๆ ป๋ายโส่วกังวลว่าหากตนพูดไม่ถูกหูคำเดียวจะต้องถูกตาเฒ่าขับไล่ออกจากศาลบรรพจารย์ทันทีเลยหรือไม่ ถึงเวลานั้นคนแซ่หลิวที่เคารพนับถืออาจารย์เป็นที่สุดจะไม่ยอมเชื่อฟังแต่โดยดีหรอกหรือ ป๋ายโส่วไม่คิดว่าตัวเองจะเสียดายความเป็นอาจารย์และศิษย์ที่มีกับหลิวจิ่งหลง ก็แค่เสียดายบารมีและความมีหน้ามีตาที่ตนสะสมไว้บนยอดเขาเพียนหรานก็เท่านั้น
หลูสุ้ยยิ้มอย่างชอบใจ
เริ่นหลงฉงไม่ค่อยชอบเด็กหนุ่มที่ปากเปราะผู้นี้สักเท่าไร
ฉีจิ่งหลงส่ายหน้าเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้ากับเซียนกระบี่ซ่งลวี่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หากตรงไปเยือนถึงเรือนเลยจะเสียมารยาทเกินไป อีกอย่างนี่ต้องสิ้นเปลืองความสัมพันธ์ควันธูปของแม่นางหลูกับสำนักด้วย ทำแบบนี้ไม่เหมาะ แล้วนับประสาอะไรกับที่ตามเหตุผลแล้ว ข้าก็ควรจะไปคารวะเจ้าสำนักก่อน นอกจากนี้เรือนว่านเฮ่อของผู้อาวุโสลี่ก็อยู่ห่างจากจวนของสำนักกระบี่ไท่ฮุยพวกเราไปไม่ไกล ก่อนหน้านี้หลังถามกระบี่เสร็จ ผู้อาวุโสลี่ก็รีบร้อนจากไป ข้าจำเป็นต้องไปเอ่ยขอบคุณนางถึงเรือนสักครั้ง”
เซียนกระบี่ต่างถิ่นที่มาออกกระบี่ที่นี่ ระหว่างกำแพงเมืองปราณกระบี่กับนครจะมีเรือนพักส่วนตัวที่ว่างอยู่ให้พักมากมาย สามารถเลือกได้ด้วยตัวเอง แค่ไปบอกกล่าวเซียนกระบี่จู๋อานและเซียนกระบี่ลั่วซานของสายอิ่นกวานก็พอ หากมีเซียนกระบี่ในท้องถิ่นเชิญเข้าไปพักในนคร แน่นอนว่าก็ย่อมได้ หรือหากยินดีเลือกที่พักแห่งหนึ่งบนหัวกำแพงเมือง ก็ยิ่งไม่มีใครขัดขวาง
สำนักกระบี่ไท่ฮุยของอุตรกุรุทวีป นับตั้งแต่ที่เซียนกระบี่สองท่านอย่างหานไหวจื่อ หวงถงจับมือกันเดินทางมากำแพงเมืองปราณกระบี่ อาศัยคุณความชอบจากการสู้รบสังหารปีศาจจึงสามารถช่วงชิงเอาจวนที่กินอาณาบริเวณไม่เล็กแห่งหนึ่งมาได้ มีชื่อว่าคลังเจี่ยจ้าง ลูกศิษย์ทุกคนของสำนักกระบี่ไท่ฮุยล้วนมาเข้าพักที่นี่ เมื่อมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น หันกลับมามองลี่ไฉ่เจ้าสำนักทะเลสาบกระบี่ฝูผิง เนื่องจากนางเพิ่งมาอยู่ได้ไม่นาน อีกทั้งยังไม่มีเซียนกระบี่ในท้องถิ่นที่สนิทสนมคุ้นเคยกัน จึงเป็นเหตุให้นางเลือกเข้าพักใน ‘เรือนว่านเฮ่อ’ ที่ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ซึ่งเพิ่งรบตายไปก่อนหน้านี้ไม่นานเคยเข้าพัก ลี่ไฉ่ไม่หวาดกลัว ‘ความอัปมงคล’ นั่นเลยสักนิด วันที่นางเข้าพักอย่างผึ่งผายนั้นก็มีเซียนกระบี่ในท้องถิ่นจำนวนไม่น้อยที่ยินดีจะมองลี่ไฉ่สูงขึ้นอีกหน่อย
หลูสุ้ยยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จิ่งหลง ถ้าอย่างนั้นหากมีโอกาสข้าจะแวะไปเยี่ยมเจ้าสำนักหาน”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “ย่อมได้อยู่แล้ว เจ้าสำนักชื่นชมมหามรรคาของแม่นางหลูอย่างมาก แม่นางหลูยินดีไปเป็นแขกที่เรือนของพวกเรา เจ้าสำนักต้องปลาบปลื้มมากเป็นแน่”
หลูสุ้ยยิ้มจนดวงตาโค้งยิบหยี
เริ่นหลงฉงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หันไปมองทางอื่น ไม่มองหลูสุ้ยและเจ้าทึ่มหลิวจิ่งหลงอีก มองนานไป เดี๋ยวนางจะอดไม่ไหวเปิดปากด่าคน
ป๋ายโส่วเองก็รู้สึกว่าคนแซ่หลิวสมควรโดนด่าจริงๆ เจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยของพวกเราปลาบปลื้มหรือไม่ปลาบปลื้ม เป็นเรื่องที่เทพธิดาหลูสนใจจริงๆ อย่างนั้นหรือ? เทพธิดาหลูอุตส่าห์ชม้ายชายตาให้ขนาดนั้นแล้ว ต่อให้เป็นคนตาบอดก็น่าจะยังสัมผัสได้สักครั้งสองครั้งกระมัง? เจ้าคนแซ่หลิวกลับดีนัก อาศัยความสามารถหลบพ้นมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายแยกจากกัน ฉีจิ่งหลงที่เห็นแก่ป๋ายโส่วผู้เป็นลูกศิษย์จึงไม่ได้ขี่กระบี่ไปยังจวนคลังเจี่ยจ้างที่ถูกบันทึกไว้ในนามของสำนักกระบี่ไท่ฮุยเรียบร้อยแล้วแห่งนั้น แต่พยายามเดินเท้าให้เด็กหนุ่มได้ทำความคุ้นเคยกับการไหลเวียนของปณิธานกระบี่ในฟ้าดินแห่งนี้ ทว่าดูเหมือนฉีจิ่งหลงจะเพิ่งรู้สึกตัว ถึงได้ถามเบาๆ ว่า “คำพูดที่ข้าพูดกับแม่นางหลูก่อนหน้านี้ มีตรงไหนที่ฟังดูแล้วไม่เห็นอกเห็นใจคนอื่นหรือไม่?”
ป๋ายโส่วพูดเสียงขุ่น “นี่เจ้าล้อเล่นอะไรอยู่?”
ฉีจิ่งหลงผ่อนลมหายใจโล่งอก ไม่มีก็ดีแล้ว
ป๋ายโส่วพูดเสริมมาอีกประโยคว่า “เจ้าไม่ได้พูดอะไรดีๆ ที่เห็นใจผู้อื่นเลยสักคำ”
ฉีจิ่งหลงทอดถอนใจ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
ป๋ายโส่วกล่าวอย่างสงสัย “คนแซ่หลิว ทำไมเจ้าถึงไม่ชอบพี่หญิงหลูล่ะ? นางดีจนไร้ที่ติขนาดนั้น ในอุตรกุรุทวีปของพวกเรา คนหนุ่มมากความสามารถที่ชอบพี่หญิงหลู นับเท่าไรก็นับไม่หมด แต่ทำไมนางดันมาชอบเจ้า แต่เจ้าดันไม่ชอบนางนะ?”
ฉีจิ่งหลงกล่าวอย่างจนใจ “มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่มีเหตุผลให้อธิบาย”
เดินเลียบริมขอบของนครมุ่งตรงไปทางใต้ตลอดทาง เดินไปได้ประมาณร้อยกว่าลี้ สองอาจารย์และศิษย์ก็เจอกับคลังเจี่ยจ้างแห่งนั้น
ผู้ฝึกตน ต่อให้ไม่ทะยานลมไม่ขี่กระบี่ ระยะทางร้อยลี้ก็ยังคงไม่ต่างจากการเดินข้ามถนนลอดตรอกเท่านั้น ต่อให้ป๋ายโส่วจะยังไม่อาจปรับตัวเข้ากับความรู้สึกหายใจไม่ออกที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้มอบให้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อเทียบกับชาวบ้านร้านตลาดธรรมดาที่เดินขึ้นเขาลงห้วยแล้ว ฝีเท้าของเขาก็ยังแผ่วเบาราวกับบิน รวดเร็วราวกับควบม้าอยู่ดี
หานไหวจื่อเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยมายืนอยู่ที่หน้าประตู ฉีจิ่งหลงประสานมือคารวะ “หลิวจิ่งหลงแห่งยอดเขาเพียนหรานคารวะท่านเจ้าสำนัก”
ป๋ายโส่วแอบกลืนน้ำลาย ประสานมือคารวะเลียนแบบคนแซ่หลิว พูดเสียงสั่นว่า “ลูกศิษย์ผู้สืบทอดรุ่นที่สิบหกของศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่ไท่ฮุย ป๋ายโส่วแห่งยอดเขาเพียนหรานคารวะเจ้าสำนัก!”
หานไหวจื่อคือเจ้าสำนักรุ่นที่สี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย แต่การสืบทอดจากศาลบรรพจารย์ แน่นอนว่าอยู่ไกลไปจากนี้มากนัก
แม้ว่าสำนักกระบี่ไท่ฮุยจะไม่ถือว่ามีประวัติศาสตร์ยาวนานในอุตรกุรุทวีป แต่เหนือกว่าสำนักอื่นๆ ตรงที่เจ้าสำนักทุกท่านล้วนเป็นเซียนกระบี่ อีกทั้งนอกจากเจ้าสำนักแล้วก็จะต้องมีเซียนกระบี่อย่างหวงถงคอยให้การช่วยเหลืออยู่เคียงข้างเสมอ ทำให้ได้ยืนอยู่ด้านหนึ่งบนยอดเขาของอุตรกุรุทวีป และการแตกกิ่งก้านสาขาบนมือของเจ้าสำนักทุกท่านก็จะมีการแบ่งมากน้อยต่างกันไป อย่างหลิวจิ่งหลงที่ได้เลื่อนขั้นเข้ามาอยู่ในศาลบรรพจารย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยโดยที่ไม่ได้ใช้สถานะของตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดนี้ อันที่จริงลำดับอาวุโสของเขาไม่ถือว่าสูง เพราะอาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาที่พาเขาขึ้นเขาเป็นเพียงแค่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดรุ่นที่สิบสี่ของศาลบรรพจารย์เท่านั้น เป็นเหตุให้ป๋ายโส่วจึงได้แค่ถือว่าเป็นรุ่นที่สิบหก แต่การสืบทอดของสำนักในใต้หล้าไพศาล หากมีใครที่ได้บุกเบิกยอดเขา หรือสามารถสืบทอดระบบให้สืบเนื่องยาวไปได้ ลำดับอาวุโสในผังวงศ์ตระกูลของศาลบรรพจารย์ก็จะมีการผลัดเปลี่ยนในระดับน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างเช่นหากหลิวจิ่งหลงได้รับตำแหน่งเจ้าสำนัก ถ้าอย่างนั้นการบันทึกของสายหลิวจิ่งหลงในทำเนียบศาลบรรพจารย์ก็จะต้องมีพิธีการ ‘ยกระดับขั้น’ เกิดขึ้นดั่งน้ำมาคลองสำเร็จ ในฐานะที่ป๋ายโส่วคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของยอดเขาเพียนหราน แน่นอนว่าก็ต้องได้เลื่อนขั้นไปเป็น ‘บรรพจารย์’ รุ่นที่หกของศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่ไท่ฮุย
เพียงแต่ว่าในเรื่องของการเรียกขานกันตามลำดับอาวุโสนี้ นอกจากเจ้าสำนักคนใหม่หรือเจ้าขุนเขาคนใหม่ที่ได้เลื่อนขั้น ได้สืบทอดระบบของหนึ่งสายโดยการยกเว้นจากกฎเดิมแล้ว หากคนภายนอกจะเรียกลูกศิษย์ผู้สืบทอดของคนผู้นี้ดังเดิม ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
หานไหวจื่อยิ้มพลางยกมือขึ้น “ไม่จำเป็นต้องมากพิธี วันหน้ามาฝึกตนอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือระยะยาว พวกเราเข้าเมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตาตามเถอะ ไม่อย่างนั้นในจวนมีพวกเราอยู่กันแค่สามคน จะทำท่าไปให้ใครดูกัน? ถูกหรือไม่ ป๋ายโส่ว?”
ป๋ายโส่วหน้าม่อย ถูก? ต้องไม่ถูกแน่นอน
ไม่ถูก? นั่นก็ยิ่งไม่ถูกเข้าไปใหญ่
ดังนั้นป๋ายโส่วจึงมองไปยังคนแซ่หลิวด้วยท่าทางน่าสงสาร
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “เหตุใดความกล้าที่ใหญ่เทียมฟ้า พอมาเจอกับเจ้าสำนักถึงได้เล็กเท่าเมล็ดข้าวสารแล้วเล่า?”
ยามอยู่กับคนแซ่หลิว ป๋ายโส่วยังคงใจกล้าอยู่เหมือนเดิม เขาจึงหลุดปากพูดออกมาว่า “ต้องโทษภูตน้ำน้อยจากทะเลสาบคนใบ้ตนนั้นที่ตั้งชื่อว่าหมี่ลี่” (เมล็ดข้าวสาร)
แต่แล้วจู่ๆ ก็ตระหนักได้ว่าด้านข้างยังมีเซียนกระบี่เจ้าสำนักที่สูงส่งไปถึงชั้นเมฆยืนอยู่ด้วย เหงื่อจึงหลั่งลงมาตามสันหลังของป๋ายโส่ว แล้วก็หลุดพูดเสียงในใจออกมาทันที “เจ้าสำนัก ข้ารู้ว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว ขอร้องท่านผู้อาวุโสอย่าไล่ข้าออกจากสำนักกระบี่ไท่ฮุยเลย!”
หานไหวจื่อไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี โชคดีที่ในจดหมายฉบับก่อนหน้านี้จิ่งหลงได้บอกไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าตนเองรับลูกศิษย์แบบใดมา ไม่อย่างนั้นเจ้าสำนักอย่างเขาก็คงรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่จริงๆ
หานไหวจื่อยิ้มเอ่ยปลอบใจว่า “อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องระมัดระวังกิริยาและคำพูดจริงๆ นั่นแหละ เจ้าห้ามอาศัยว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกกระบี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหลิวจิ่งหลงแล้วจะทระนงตนได้ เพียงแต่ว่าอยู่ในจวนบ้านของตัวเองไม่จำเป็นต้องระมัดระวังตัวเกินไปนัก ฝึกตนอยู่ที่นี่ ควรคิดให้มากถามให้มาก ลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยเราเดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตน จิตแห่งกระบี่บริสุทธิ์แจ่มกระจ่างก็คือการเคารพครูบาอาจารย์ที่มากที่สุด กล้าออกกระบี่บุกไปข้างหน้ายามเจอความอยุติธรรม ก็คือการให้ความสำคัญกับมรรคามากที่สุด”
ป๋ายโส่วอึ้งค้างอยู่กับที่
ต่างจากหานไหวจื่อที่พูดจาไม่เข้าหูกันคำเดียวก็วางมาดเซียนกระบี่ วางอำนาจของเจ้าสำนักอย่างที่จินตนาการไว้ไปหนึ่งแสนแปดพันลี้เลย
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ตอนนี้ควรจะพูดดังๆ ว่า ‘จำได้แล้วขอรับ’”
ป๋ายโส่วรีบพูดทันใด “จำได้แล้วขอรับ!”
ฉีจิ่งหลงจนใจยิ่งนัก เมื่อก่อนไม่เห็นเคยเจอป๋ายโส่วที่เชื่อฟังขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ
หานไหวจื่อกลั้นยิ้ม เอ่ยสัพยอกเด็กหนุ่มคนนั้นว่า “จำได้แล้วอะไรกัน ไม่ต้องจำหรอก ผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยๆ ไหนเลยต้องจงใจจดจำคำพูดใหญ่โตพวกนี้”
ป๋ายโส่วเกือบจะถูกเจ้าสำนักท่านนี้ทำให้สับสนมึนงงไปหมดแล้ว
จากนั้นหานไหวจื่อก็พาคนทั้งสองเดินเข้าประตูใหญ่คลังเจี่ยจ้างไปด้วยกัน พลางเล่าประวัติความเป็นมาของเรือนหลังนี้ไปด้วย
เคยมีเซียนกระบี่คนใดบ้างที่มาพักที่นี่ แล้วรบตายไปเมื่อไหร่ รบตายไปอย่างไร
เพื่อแสดงความเคารพ ลมหายใจและฝีเท้าของป๋ายโส่วจึงชะลอช้าลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
เพราะเด็กหนุ่มรู้สึกเพียงว่าทุกลมหายใจ ทุกฝีเท้าของตนล้วนราวกับว่ากำลังรบกวนการพักผ่อนของเซียนกระบี่ผู้อาวุโสเหล่านั้นอยู่
หานไหวจื่อแอบหันมามองสีหน้าและแววตาของเด็กหนุ่ม ก่อนจะหันไปพยักหน้าเบาๆ ให้ฉีจิ่งหลง
……
หญิงสาวคนหนึ่งที่จงใจใช้ปณิธานหมัดของร่างตัวเองชักนำปราณกระบี่ให้เป็นศัตรู เท้าของนางสวมรองเท้าผ้า บนร่างสวมชุดสีชาด เส้นผมที่เป็นสีนิลทั้งศีรษะถูกรวบเป็นมวยขดอย่างเรียบง่าย
สะพายแค่ห่อสัมภาระที่บรรจุอาหารแห้ง ไม่ได้เข้าไปในนคร แต่ดิ่งไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ขณะที่อยู่ห่างจากฐานกำแพงเมืองอีกหนึ่งลี้ก็เริ่มชักเท้าวิ่งตะบึงไปเบื้องหน้า ครั้นจึงทะยานตัวขึ้นสูง เท้าเหยียบลงบนกำแพงเมืองจุดที่สูงไปสิบกว่าจั้ง จากนั้นก็ค้อมเอววิ่งทะยานไปด้านหน้า มุ่งขึ้นสู่ที่สูงไปทีละก้าว
ขณะที่อยู่ห่างจากหัวกำแพงเมืองอีกหลายจั้ง เท้าข้างหนึ่งของนางก็กระทืบลงบนผนังหนักๆ ร่างพลันทะยานสูง สุดท้ายพลิ้วกายลงบนหัวกำแพง
จากนั้นก็เดินไปทางฝั่งซ้ายมือช้าๆ ตามคำบอกของเฉาสือ กระท่อมหลังเล็กที่ไม่รู้ว่ามีคนพักอาศัยหรือไม่แห่งนั้น น่าจะอยู่ห่างไปไม่ถึงสามสิบลี้
ตลอดทางที่เดินไปไม่ได้เจอกับเซียนกระบี่คนใดที่ปักหลักอยู่บนหัวกำแพงเมือง เพราะกระท่อมเล็กใหญ่สองหลังที่ตั้งอยู่ใกล้กัน ไม่จำเป็นต้องมีคนมาป้องกันการลอบโจมตีของปีศาจใหญ่ที่นี่ เพราะไม่มีทางมีใครเดินขึ้นมาอวดอ้างบารมีบนหัวกำแพงเมืองแล้วจะยังสามารถกลับลงไปยังใต้หล้าทางฝั่งทิศใต้ได้อย่างปลอดภัยอีก
เพราะว่าที่นั่นมีผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่อยู่คนหนึ่ง
นางพลันขมวดคิ้ว เพราะสัมผัสได้ว่าบนหัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้ามมีปราณกระบี่ที่เข้มข้นอย่างถึงที่สุด
น่าจะเป็นจั่วโย่วเซียนกระบี่ใหญ่ในตำนานผู้นั้น คนประหลาดที่ก่อนจะออกทะเลไปเยี่ยมเยือนเซียนได้ทำลายจิตแห่งมรรคาของตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดไปนับไม่ถ้วน
เพียงแต่เมื่อยิ่งนางขยับเข้าใกล้กระท่อมหลังนั้นก็พบว่าบนเส้นทางมุ่งไปด้านหน้าของตน ยังมีเซียนกระบี่อีกคนหนึ่งที่มองดูแล้วยังหนุ่มอยู่มากอยู่ด้วย และเขาก็ได้หันหน้ามามองนางแล้ว
นางยังคงเดินไปด้านหน้า ชำเลืองตามองกระท่อมหลังเล็กที่ห่างไปไม่ไกล แล้วจึงดึงสายตากลับมา กุมหมัดถามว่า “ผู้อาวุโสพักอยู่ที่กระท่อมหรือไม่?”
เว่ยจิ้นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “หากเจ้าไม่ถือสา ข้าจะย้ายออกมาเอง”
นางพยักหน้า “ถือสิ เพราะฉะนั้นผู้อาวุโสพักต่อไปได้เลย”
นางหยุดเดิน นั่งขัดสมาธิ ปลดห่อสัมภาระหยิบแป้งย่างแผ่นหนึ่งออกมากัดกินคำใหญ่
เว่ยจิ้นหัวเราะ ไม่ถือสา หลับตาฝึกตนของตัวเองต่อไป
นางกินแป้งย่างไปแล้วก็หยิบกาน้ำออกมาดื่มน้ำหนึ่งอึก ถามว่า “ผู้อาวุโสรู้หรือไม่ว่าเซียนกระบี่ขู่เซี่ยที่มาจากราชวงศ์เส้าหยวน ตอนนี้อยู่จุดใดบนหัวกำแพงเมือง?”
เว่ยจิ้นลืมตาขึ้น “ห่างออกไปประมาณเจ็ดร้อยลี้ก็คือสถานที่ฝึกตนและปักหลักของเซียนกระบี่ขู่เซี่ย หากไม่ผิดไปจากที่คาด ตอนนี้เซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็น่าจะกำลังสอนวิชากระบี่อยู่”
หญิงสาวพยักหน้ารับ “ขอบคุณ”
นางสะพายห่อสัมภาระอีกครั้ง ลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มฝึกท่าเดินนิ่งปล่อยหมัดช้าๆ หนึ่งก้าวที่ก้าวออกไปมักจะกว้างหลายจั้งเสมอ ทว่าหมัดที่ปล่อยกลับช้าอย่างถึงที่สุด เดินมุ่งหน้าตรงไปยังจุดที่ห่างไปเจ็ดร้อยลี้
ระหว่างนี้ได้เจอกับนกยักษ์สีทองตัวหนึ่งบินทะลุชั้นเมฆออกมา เงามืดของมันแผ่ปกคลุมไปทั่วหัวกำแพงราวกับเข้าสู่เวลากลางคืน ก่อนจะพลิ้วกายมาหยุดอยู่ข้างกายเซียนกระบี่ชุดขาวคนหนึ่ง ตอนที่พลิ้วกายลงบนพื้นก็กลายร่างเป็นนกตัวขนาดเท่านกกระจอก กระโดดขึ้นไปเกาะบนไหล่ของเซียนกระบี่ผู้เป็นเจ้านาย
มีเซียนกระบี่คนหนึ่งนอนเอนตัวอยู่บนเตียงด้วยท่าทางเกียจคร้าน หันหน้าเข้าหาทางทิศใต้ แหงนหน้ากระดกดื่มสุรา
หญิงสาวมองแค่ครั้งเดียวแล้วก็ไม่มองอีก