ตอนที่ 450 จอมยุทธ์เซียนย้ายเกาะ จี้หยวนกลับบ้าน
เช่นนั้นคนที่พวกเขาสงสัยว่าเป็นเทพเซียนตอนนี้อยู่ที่ใด
จี้หยวนและฉางอี้แม้หาคนอื่นส่งจดหมายให้ แต่กลับไม่ได้จากไป ตอนนี้กำลังยืนอยู่กลางเนินดินฝังศพที่หมู่บ้านเหมาทัน เพียงแต่ตอนนี้ถึงมีคนเดินมาก็มองไม่เห็นพวกเขา ส่วนเจ้าที่ยืนอยู่ข้างๆ พวกเขาสองคน
ตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่ขณะนี้ก็คือหลุมฝังศพของวิญญาณทหาร พูดให้ถูกต้องคือหลุมฝังศพผู้ตายใหม่สองศพ อย่างไรสียคนหมู่บ้านเหมาทันก็ให้คนลงดิน ไม่อาจแบ่งหนึ่งหลุมหนึ่งศพได้
นายทหารผู้นำทัพในหลุมศพตอนนี้ตื่นแล้ว กำลังนั่งอยู่หลุมพรางเล่าเรื่องก่อนและหลังตายของตนเองให้จี้หยวนกับฉางอี้ฟัง
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ทางเนินดินฝังศพเริ่ม ‘คึกคัก’ ขึ้นมา วิญญาณผีพลทหารรวมถึงวิญญาณผีตนอื่นพากันออกมาจากในหลุมฝังศพ
หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดามองเห็นภาพนี้เกรงว่าต้องตกใจตายแน่ ทว่าจี้หยวนและฉางอี้ ไปจนถึงเจ้าที่ย่อมไม่ได้มีปฏิกิริยาใดเป็นพิเศษ
ฟังพลทหารเล่าเรื่องของตนเองจบแล้ว พวกจี้หยวนถึงเข้าใจว่าก่อนตายอีกฝ่ายไม่ได้มีความพิเศษแต่อย่างใด เดิมทีเป็นเพียงพลทหารตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ต่อมาถูกเลื่อนขั้นเป็นผู้คุ้มกันทั่วไป ค่ายทหารอยู่ห่างจากอำเภอต้าเหอไม่ไกล ทว่าในค่ายทหารพบการเปลี่ยนผัน เขากับแม่ทัพล้วนตายท่ามกลางความวุ่นวาย ศพลอยตามกระแสน้ำจนมาถึงตรงนี้
ทว่าพลทหารผู้นี้มีข้อดีอยู่เช่นกัน จี้หยวนยิ่งเชื่อว่าเขาตายเร็วเกินไป หากยังมีชีวิตอยู่ อนาคตต้องมีชื่อเสียงขจรไกลแน่
ส่วนเป็นเพราะราชวงศ์หรือพลังของการก่อกบฏขอไม่พูดแล้ว อย่างไรเสียในใจวิญญาณผีตนนี้ก็มีมาตรวัด สิ่งที่หายากคือการลงมือทำตามความคิดของตนเอง ไม่ใช่พวกไหลไปตามน้ำทำตามคนหมู่มาก
ความจริงแล้วในใจคนส่วนใหญ่ล้วนมีมาตรวัด คนดีแยกแยะดีชั่วได้ชัดเจน ที่จริงแล้วคนเลวแยกแยะได้ชัดเจนเช่นกัน แต่บอกว่าตนเองไม่เข้าใจ หลายคนรู้ผิดชอบชั่วดีกลับทำเป็นไม่รู้เรื่อง ส่วนใหญ่แล้วทำตามคนหมู่มาก ส่วนคนอย่างนายหทารผู้นี้ค่อนข้างมีอยู่น้อยนิด
“เช่นนั้นหลังจากนี้พวกเจ้าวางแผนไว้อย่างไร ผีรวมตัวกันเป็นกองทัพ ศาลมืดรองรับไม่ไหวแน่”
จี้หยวนถามขึ้น กลางเนินดินฝังศพล้วนเงียบเสียง
“เช่นนั้นพวกข้าไม่รวมตัวกันเป็นกองทัพแล้ว จะอยู่ในหลุมอย่างดี หรือถูกส่งไปที่ศาลมืดเมืองผีก็ได้เช่นกัน”
เจ้าที่พยักหน้ากล่าว
“ในศาลมืดปัจจุบันนี้ผีที่เมืองผีเยอะกว่าคนเป็นบนโลกมนุษย์มาก ตอนที่กำลังขาดแคลนกำลังคน ในสถานการณ์ปกติไม่มีทางกล้าใช้งานพวกเจ้า แต่ต่อต้านผีโรคระบาดครั้งนี้แล้ว ข้าเป็นพยานให้พวกเจ้าไป ศาลมืดต้องใช้งานพวกเจ้าอย่างแน่นอน แม้อาจไม่ได้สถานะเจ้าหน้าที่ภายในระยะเวลายาวนาน แต่อย่างไรก็ได้ทำงานอยู่ในศาลมืดอย่างถูกต้อง”
คำพูดของเจ้าที่ทำให้วิญญาณเนินดินฝังศพทั้งหลายหวั่นไหว หากไปทำงานที่ศาลมืดได้ย่อมดีกว่าตอนนี้มาก
เดิมทีจี้หยวนคิดว่าส่งผีเหล่านี้ไปที่เมืองผีไร้ขอบเขตดีหรือไม่ ทว่าผีกับคนเหมือนกัน ความคะนึงหาบ้านเกิดเข้มข้น อยู่ที่นี่ได้นับเป็นเรื่องดีสำหนับหมู่ผี ส่วนเรื่องทำงานที่ศาลมืดอย่างถูกต้อง นั่นมีเกียรติยิ่งกว่าอยู่ที่เมืองผีไร้ขอบเขตแน่นอน ดังนั้นไม่ต้องพูดแล้วเช่นกัน
“หากศาลมืดยินยอม พวกเจ้าไปที่นั่นก็ไม่เลวเหมือนกัน”
พูดจบแล้วจี้หยวนพลันกล่าวเสริมจากเจ้าที่
“ท่านพูดชื่อข้ากับท่านฉางก็ได้ เชื่อว่าทางศาลมืดจะจัดการให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ท่านจะได้ไม่ต้องลำบากมากเช่นกัน”
เจ้าที่รีบประสานมือและกล่าวขอบคุณ
“ข้าน้อยรับคำสั่ง!”
“อืม
จี้หยวนเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน จากนั้นสบตากับฉางอี้
“ท่านฉาง พวกเราไปเถอะ”
“ดี”
ดังนั้นทั้งสองจึงประสานมือคารวะเจ้าที่กับหมู่ผีเล็กน้อย ก่อนเหยียบเมฆลอยขึ้นไป โดยมีหมู่ผีและเจ้าที่มองส่งอย่างไม่วางตาพร้อมท่าทางคำนับ
ทว่าตอนอยู่บนเมฆหมอก มีแสงจางๆ สายหนึ่งส่องกลับไปยังเนินดินฝังศพ หลังจากแสงหายไปแล้ว กลับกลายเป็นเหรียญทิพย์สองพวงปรากฏอยู่ในมือทหาร
…
เหาะเดินบนท้องฟ้าท่ามกลางจันทราดารา ทิศทางของทั้งสองคนย่อมมุ่งไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทว่าระหว่างทางกลับไป ในที่สุดจี้หยวนก็มีโอกาสเหมาะเจาะถามฉางอี้เสียที
“สำนักสายย่อยทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะหมอกเซียนพ่ายให้กับปีศาจมาร แล้วจะส่งคนกลุ่มใหม่ไปตั้งสำนักที่นั่นอีกหรือไม่”
ผู้ฝึกเซียนเกาะหมอกเซียนมีสำนักสายย่อยอยู่ที่นี่ พูดได้ว่าสั่นสะเทือนปีศาจมารความชั่วร้ายในระดับที่แน่นอน ต่อให้โลกมนุษย์วุ่นวายเพียงใด ถึงขั้นมีปีศาจมารภูตผีอาละวาด แต่ก็ไม่อาจทำอะไรมากเกินไปได้ วันนี้สำนักสายย่อยล่มสลาย ไม่ถือว่ามีจุดบกพร่องหรอกหรือ
ทว่าคำตอบของฉางอี้ทำให้จี้หยวนวางใจลงได้บ้าง
“หากเกาะหมอกเซียนของข้าปล่อยวางสำนักนี้ นั่นไม่ได้บ่งบอกว่าผู้ฝึกเซียนหวาดกลัวปีศาจมารหรือ เพื่อเกียรติยศ เจ้าสำนักอาจารย์อาไม่มีทางปล่อยวางที่นั่นเช่นกัน และสำนักสายย่อยที่โชคดียังคงอยู่เหล่านั้นกลั้นโทสะนี้ไม่ไหวเช่นกัน แม้พวกข้าถูกมนุษย์เรียกว่าเซียน แต่ก็มีโทสะอยู่ดี”
จี้หยวนยิ้ม
“ไม่มีใครบอกว่าเซียนไม่มีโทสะนะ”
“ถูกต้อง!”
ตอนมาตั้งค่ายกลอาศัยพลังเร่งเหาะมานานมาก ตอนกลับไปไม่จำเป็นต้องรีบร้อนมาก ใช้เวลาเหาะนานยิ่งกว่าโดยปริยาย ครึ่งเดือนผ่านไปยังไม่ทันเห็นแผ่นดินอาณาจักรต้าเจิน กลับเป็นฉางอี้เก็บข้อมูลพิเศษอย่างหนึ่งได้
ฉางอี้และจี้หยวนที่กำลังบังคับเมฆในวันนี้พลันมองเห็นแสงหมอกสายหนึ่งลอยมา รวดเร็วมากทว่าจี้หยวนมองออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีปราณชีวิต
“ท่านจี้ นี่เป็นจดหมายกระบี่เซียนเกาะหมอกเซียนของพวกข้า”
ศิษย์สืบทอดสายตรงของเกาะหมอกเซียนล้วนทิ้งร่างวิญญาณลมปราณไว้ที่สำนัก หากในสำนักมีธุระอะไร จะส่งอาวุธกระบี่หรืออาวุธอย่างอื่นออกไป คำนวณตำแหน่งของคนในสำนักโดยคร่าวจากลมปราณ ยืนยันตำแหน่งโดยลมปราณแล้วถึงส่งจดหมายมา
ตอนฉางอี้อธิบาย แสงหมอกนั้นมาถึงตรงหน้าแล้ว เขากวักมือครั้งหนึ่ง แสงหมอกพลันลอยมาถึงมือเขาแล้วแน่นิ่งไม่ขยับ จี้หยวนมองดูอย่างละเอียดพบว่าเป็นกระบี่ขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ อาจพูดได้ว่าความจริงแล้วเหมือนกริชมากกว่า เพียงแต่ด้ามสั้นมาก
ฉางอี้ใช้นิ้วชี้ลูบคมกระบี่เล็กเล่มนี้ ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกับกำลังฟังอะไรอยู่ หลังจากนั้นหลายลมหายใจถึงหันหน้ามาประสานมือคารวะจี้หยวน
“ท่านจี้ ที่สำนักมีธุระด่วน ข้าคนแซ่ฉางต้องไปก่อนแล้ว”
ตลอดเวลาที่ฉางอี้อยู่กับจี้หยวน นับว่าเข้าใจนิสัยของจี้หยวนโดยรวมแล้ว ดังนั้นไม่ได้พูดจาระมัดระวังเหมือนก่อนหน้านี้อีก เพียงตรงไปตรงมาก็พอแล้ว จึงกล่าวเสริมอีกว่า
“ที่เกาะกำลังตามตรวจสอบเรื่องดินโสมมและปีศาจมารก่อนหน้านี้ และกำลังจะย้ายเกาะด้วย ด้วยเหตุนี้ไม่สะดวกต้อนรับแขกแล้ว เมื่อย้ายเกาะเสร็จสิ้น ข้าคนแซ่ฉางจะเดินทางไปยังอำเภอหนิงอันด้วยตนเอง เพื่อเชิญท่านจี้ไปเป็นแขกที่เกาะหมอกเซียน!”
ย้ายเกาะ?
ในใจจี้หยวนรู้สึกแปลกใจ เดิมทีเกาะหมอกเซียนไม่ถือว่าเล็ก อย่างไรเสียผู้ฝึกเซียนก็เหาะไปมา หากพื้นที่เล็กเกินไปก็เบียดเสียดอยู่ด้วยกัน และสำนักอย่างเกาะหมอกเซียนนั้น แปดส่วนข้างในเป็นแดนผาสุกบางอย่าง ถึงขนาดเป็นไปได้ว่ามีถ้ำสวรรค์ด้วยซ้ำไป การย้ายครั้งนี้ไม่ได้พูดเล่นๆ
‘อยู่ในขั้นตอนย้ายภูเขาตั้งทะเลจริงหรือ’
แม้รู้สึกแปลกใจ ทว่าบนใบหน้าไม่ได้แสดงออกมา จี้หยวนเพียงประสานมือให้ฉางอี้กลับไป
“ท่านฉางไปก่อนเถอะ พวกเราพบกันอีกครั้งตอนงานชุมนุมเซียนพเนจรก็ยังไม่สาย อืม เจ้าจะไปใช่หรือไม่”
“ไป! ย่อมไปแน่นอน! ท่านจี้ วันหน้าค่อยพบกันใหม่!”
“วันหน้าค่อยพบกันใหม่!”
หลังจากบอกลากันแล้ว ฉางอี้ก้าวขาลงจากเมฆ แปลงกายกลายเป็นแสงหมอก เร่งความเร็วจากไปในพริบตาเดียว พุ่งไปทางตะวันออกเฉียงใต้ดุจสายฟ้า
จี้หยวนหยุดอยู่กลางอากาศครู่เดียว ก้มหน้ามองเบื้องล่างเล็กน้อย จากนั้นส่ายหน้า เหาะไปทางบ้านของตนเอง ตอนนี้เขาไม่อยากลงไปเดินเล่นข้างล่างสักรอบแล้ว
ผ่านไปประมาณสิบวันกลับถึงอำเภอหนิงอันแล้ว จี้หยวนในตอนนี้รู้สึกว่าเหาะมามากพอ มิน่าเล่าคนในหมู่ผู้ฝึกปราณเมื่อถึงระดับที่แน่นอนจนสามารถเรียนวิชาเหาะเหินได้ แต่กลับบยังมีสิ่งประดิษฐ์อย่างยานข้ามอาณาจักร การเดินทางไกลควรจะสบายหน่อยถึงจะดีจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่อยู่เพียงลำพัง
แน่นอนว่าจี้หยวนอยากสนทนา หากปล่อยตัวอักษรกลุ่มหนึ่งออกมา รับรองว่าคึกคักยิ่งกว่าตลาดสด ทว่าตอนนี้เดินทางอยู่บนท้องฟ้า เขาคิดว่าช่างมันดีกว่า
ตอนนี้เป็นช่วงกลางเดือนสามแล้ว เป็นฤดูกาลแห่งการฟื้นฟูทุกสิ่ง จี้หยวนค่อยๆ ลดระดับความสูงลง สิ่งที่เห็นได้บนพื้นดินมีแต่ความเขียวขจี พืชผักงอกงามเติบโต ดอกไม้อย่างดอกกุหลาบพันปีและดอกท้อเบ่งบานแล้วเช่นกัน
เมื่อร่อนลงข้างนอกอำเภอหนิงอัน จมูกจี้หยวนขยับเล็กน้อย ได้กลิ่นดอกไม้พิเศษสายหนึ่งโชยมาเลือนราง เป็นดอกพุทราในลานบ้านตนเองนั่นเอง
‘ปีนี้กลับออกดอกล่วงหน้าหรือ’
ทว่าต้นพุทราใหญ่ต้นนี้ไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดา มันอยากออกดอกเมื่อไหร่ล้วนตัดสินใจเองได้ ไม่จำเป็นต้องสนใจฤดูกาลอะไร
กลับอำเภอหนิงอันครั้งนี้ ตอนกำลังเข้าเมืองยังคงไม่มีคนจำจี้หยวนได้ ย่อมไม่มีใครทักทายแต่อย่างใด แต่ถึงปากตรอกนอกตรอกเทียนหนิวแล้วจี้หยวนถึงเลี้ยวออกไป เสียงสดใสของเด็กหญิงดังมาทันที
“ท่านปู่ๆ ท่านจี้กลับมาแล้ว!”
เสียงนั้นเป็นของซุนหย่าหย่า ซุนฝูได้ยินแล้วกำลังมองไปทางที่นางชี้เช่นกัน มองเห็นจี้หยวนในชุดสีขาวกำลังเดินมาทางนี้
“ท่านจี้กลับมาแล้วหรือ”
“ใช่ กลับมาแล้ว”
จี้หยวนเดินเข้ามาใกล้ร้านบะหมี่ ยิ้มไปพลาง ตอบไปพลาง พร้อมกันนั้นยื่นมือขยี้ศีรษะของซุนหย่าหย่าด้วย ครั้งนี้เด็กหญิงไม่หลบเลี่ยงเลย
มองดูข้างในร้านแล้ว แปลกนักที่ไม่มีลูกค้าสักคนเดียว
“อ้อๆ กลับมาก็ดีแล้ว บะหมี่พะโล้กับเครื่องใน?”
จี้หยวนคิดแล้วพยักหน้า
“ลำบากเจ้าแล้ว”
ดังนั้นซุนฝูจึงเริ่มทำงานอย่างเบิกบานใจ
กินบะหมี่ที่ร้านตระกูลซุนแล้ว จี้หยวนเข้าตรอกเทียนหนิวมาได้ทักทายกับคนรู้จักสองคน จากนั้นตรงกลับไปที่เรือนสันติ
พอเปิดประตูออก จี้หยวนเห็นต้นพุทราใหญ่ออกดอกเต็มต้น อีกทั้งกำลังมีผึ้งกลุ่มหนึ่งบินร่อนอยู่กลางพุ่มดอกไม้ มองดูแล้วพาให้อารมณ์ดี
“ใช้ได้ มีผึ้งวิญญาณกินแล้ว ไม่แน่ว่าอาจสกัดผลึกน้ำผึ้งได้”
อายุขัยของผึ้งสั้นมาก เป็นเวลาเพียงหนึ่งเดือน ทว่ากลุ่มผึ้งกลุ่มนี้กลับมาที่นี่อยู่หลายครั้งในปีนั้น ตำแหน่งของรังผึ้งน่าจะอยู่ในสถานที่ที่ใกล้เคียงกัน ถึงเวลาแล้วจี้หยวนไปแบ่งน้ำผึ้งมาเล็กน้อยย่อมง่ายดายยิ่ง
ถึงบ้านแล้วไม่จำเป็นต้องอดกลั้น จี้หยวนหยิบเทียบเจตกระบี่ออกมาจากแขนเสื้อโดยตรง ปล่อยให้เจ้าตัวเล็กออกมาคุยจอแจ ส่วนตนเองเข้าไปนอนหลับในเรือน
ความสามารถยิ่งใช้ยิ่งเชี่ยวชาญ ยิ่งใช้ยิ่งชินมือดังคาด ก่อนหน้านี้ใช้พลังกระบี่ทลายฟ้า เขาเข้าใจอานุภาพของฟ้าดินอยู่บ้าง ส่วนจักรวาลในแขนเสื้อที่หยุดชะงักมาเนิ่นนานก็มีความคิดใหม่ๆ เช่นกัน ทว่ายังแปลกมาก เลยของีบหลับสักตื่นก่อน อนุมานการฝึกปราณในความฝันสักรอบก่อนค่อยว่ากล่าว