ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 319 ร้านขายของชำ ร้านอาการและร้านขายโลงศพ-3

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 319 ร้านขายของชำ ร้านอาการและร้านขายโลงศพ-3

คาดไม่ถึงว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะมองออกว่าดาบในมือขวาของคนผู้นั้นเป็นเพียงแค่ท่าลวง

เพราะคนผู้นั้นไม่เคยใช้ดาบมาก่อน

แม้คนผู้นั้นจะถือดาบอยู่ในมือ แต่ตอนใช้กลับไม่ใช่วิชาดาบ

คนผู้นั้นกับคนที่ใช้พลังลมปราณหลอมเป็นอาวุธลับก่อนหน้าคือคนคนเดียวกัน

ดังนั้นหลิวรุ่ยอิ่งจึงไม่ใส่ใจดาบในมือขวาของคนผู้นี้เลย

ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หลบหลีกพลังลมปราณที่ถูกปล่อยออกมานับไม่ถ้วน

จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้า

และวาดกระบี่ไปในแนวขวาง

ฟันจนปลายดาบในมือของคนผู้นั้นหักลง

เมื่อปลายดาบหัก

แม้แต่เหล่านักฆ่าที่เลื่องชื่อในใต้หล้าถือดาบหักไว้ ก็ย่อมไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย

ปลายดาบหักแล้ว

ดาบยาวเพียงหนึ่งในสามของความยาวเดิม

ทำให้ดูเหมือนดาบสั้น

แต่ถึงแม้ว่าดาบจะสั้นลง แต่ก็ยังคงสมบูรณ์

ไม่เหมือนกับดาบยาวที่หักนี้

มันไม่ควรเรียกว่าดาบได้อีก

ปลายกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งจ่ออยู่ที่คอของฝ่ายตรงข้าม

หลิวรุ่ยอิ่งถามขึ้น

นับรวมเล่มที่เขาขว้างออกไปนั้น นี่เป็นเล่มที่สองแล้ว

คนที่ไม่เคยใช้ดาบ เหตุใดต้องพกดาบถึงสองเล่มด้วยเล่า

ถ้าดาบนั้นใช้เพื่อปกปิดตัวตน ดาบเพียงหนึ่งเล่มก็เพียงพอแล้ว

เหตุใดต้องยุ่งยากพกถึงสองเล่มด้วยเล่า

คนผู้นั้นไม่ตอบ

แต่เขากลับถอยหลังหลบไปทันที

หลิวรุ่ยอิ่งจึงรีบฟันกระบี่ของตนไปข้างหน้า

ไม่คิดว่าก็ยังคงช้าไปเล็กน้อย

ทำให้คนผู้นี้หลบหลีกได้สำเร็จ

จากนั้นก็ปรากฏตัวอยู่ข้างหลังหลิวรุ่ยอิ่งอย่างไร้สุ้มเสียงราวกับผี

ในมือถือดาบอีกเล่มหนึ่ง

เป็นดาบที่สมบูรณ์และใหม่เอี่ยม

ดาบที่ถูกขว้างออกไปก่อนหน้านี้ยังคงปักอยู่ไม่ไกล

ส่วนดาบที่หักนั้นอยู่ข้างเท้าหลิวรุ่ยอิ่ง

ดาบที่เขาถือเวลานี้คือเล่มที่สาม

คนผู้นั้นนั้นวาดดาบฟันเฉียงไปที่หลังของหลิวรุ่ยอิ่ง

หลิวรุ่ยอิ่งจึงโก่งหลัง ถือกระบี่ไปทางด้านหลัง

สามารถสกัดดาบนี้เอาไว้ได้

จากนั้นหมุนตัวช้าๆ กลับไปมองคนนั้นแล้วหัวเราะ

คนผู้นั้นถามเสียงต่ำ

“ข้าหัวเราะเจ้า ทั้งๆ ที่ใช้ดาบไม่เป็น แต่ก็ยังทนไม่ได้ที่คนอื่นบอกว่าเจ้าไม่เก่ง”

หลิวรุ่ยอิ่งตอบ

“ใครบอกว่าข้าใช้ดาบไม่เป็น”

พูดยังไม่ทันจบ

คนผู้นั้นก็ฟันดาบออกมาอีกครั้ง พุ่งตรงไปยังหัวใจของหลิวรุ่ยอิ่ง

หลิวรุ่ยอิ่งจ้องมองการเคลื่อนไหวของดาบ ถอยหลังออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า

ทันใดนั้นเขากระโจนไปทางด้านข้าง และคว้ามือที่ถือดาบของคนผู้นั้นทันที

มือดาบผู้หนึ่ง

หากคนผู้นี้เป็นมือดาบจริง การที่ถูกผู้อื่นคว้ามือที่ถือดาบได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการถูกมัดทั้งตัว

ยิ่งไปกว่านั้นหลิวรุ่ยอิ่งจับมือของเขา ไม่ใช่ดาบ

หากจับดาบของอีกฝ่ายได้ เขายังสามารถทิ้งดาบและกระโดดข้ามกำแพงออกไป

แต่ตอนนี้ที่ถูกคว้าไว้ได้กลับเป็นมือ

แล้วเขาจะหนีไปได้อย่างไร

ทว่าหลิวรุ่ยอิ่งกลับประมาท

เดิมทีคนผู้นี้ไม่ใช่ผู้ใช้ดาบ

ดังนั้นการถูกคว้ามือที่ถือดาบไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขามากนัก

เขายังสามารถปล่อยดาบได้

เมื่อคนผู้นั้นปล่อยดาบออก

หันฝ่ามือกลายเป็นหมัด

พลังปราณจากหมัด สลัดมือของหลิวรุ่ยอิ่งจนหลุดออก

จากนั้นก็ทะยานออกไปด้วยความเร็วที่น่าตกใจ

“ข้ามีดาบสามเล่มเท่านั้น!”

เสียงของเขาดังมาแต่ไกล

“ท่านอาจารย์อา ไม่ไล่ตามหรือ”

หวาหนงถามขึ้น

“ไม่ตาม”

หลิวรุ่ยอิ่งตอบ

“อืม…”

แม้หวาหนงไม่เข้าใจ แต่ก็ตอบตกลงไป

หลังจากการปะทะกันครั้งนี้

หลิวรุ่ยอิ่งได้เข้าใจถึงขีดความสามารถของคู่ต่อสู้แล้ว

แต่หากยังไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่าย เขาจะไม่หุนหันพลันแล่นฆ่าฝ่ายตรงข้าม

เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้มาเพื่อทำภารกิจบางอย่าง

ทำสำเร็จก็จะจากไป

หากทำไม่สำเร็จ ก็จะคอนเวียนวนอยู่ที่นี่แน่นอน

หากหลิวรุ่ยอิ่งฆ่าเขา

ภารกิจของเขาก็ยังไม่สำเร็จสิ้น

ต้องมีคนอื่นถูกส่งมาอีกเป็นแน่

แทนที่จะสังหารทีละคน ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก

ไม่สู้เล่นกับคนผู้นี้อีกสักสองสามหน

ไม่ว่าเขาจะสวมใส่เสื้อผ้าสีใด จะปิดหน้าหรือไม่

ตราบใดที่มีการปะทะหลายครั้ง ก็ย่อมมีโอกาสปรากฏช่องโหว่ให้เห็นในที่สุด

“หลังคาร้านของข้าพังหมดแล้ว เจ้าต้องชดใช้”

เวลานี้เอง เถ้าแก่เนี้ยพลันปรากฏตัวขึ้นพร้อมเอ่ย

“ต้องชดใช้เท่าไร”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

“หากเจ้าให้ดาบที่ยังสมบูรณ์นี้กับข้า ก็นับว่าชดใช้แล้ว”

เถ้าแก่เนี้ยชี้ไปยังดาบที่ปักอยู่บนพื้น

“เจ้าจะเอาดาบไปทำอะไร”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

ดาบนี้ไม่ใช่มีดทำครัว

ใช้ฆ่าคนอาจสะดวก แต่หากใช้หั่นเนื้อหั่นผักกลับลำบากยิ่ง

หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าเถ้าแก่เนี้ยต้องการดาบเพื่อไปทำอะไร

“ขาย”

เถ้าแก่เนี้ยตอบ

“ขายดาบ?”

ไม่ใช่ว่าร้านขายของชำจะขายดาบไม่ได้

แต่ร้านขายของชำที่ขายดาบนั้น น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

อีกอย่างสถานที่นี้ ใครจะซื้อดาบกัน?

คนงานที่มีเงิน ไม่สู้เอาไปซื้อสุราดื่มเพิ่มอีกสักชามสองชาม กินเต้าหู้แห้งเพิ่มอีกสักสามสี่ชิ้นดีกว่า

ส่วนพวกที่มีเงินและมาซ่อนตัว

กลับหวังให้คนอื่นคิดว่าพวกเขาไม่เคยสัมผัสดาบหรือหอกเลยสักครั้ง

“ของที่ไม่มีใครต้องการ ของของคนตายนั้นยิ่งขายดี”

เถ้าแก่เนี้ยกล่าว

“ของที่ไม่มีใครต้องการ หากยังคงสมบูรณ์ดีย่อมสามารถขายได้ แต่ของของคนตายนั้นจะขายอย่างไร”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

“ดูสิ นี่ก็ของคนตาย แต่เพราะข้าชอบมัน ข้าจึงไม่ขาย”

เถ้าแก่เนี้ยถกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นข้อมือขาวเนียน

แล้วชี้ไปที่กำไลหยกในข้อมือของนางและบอกกับหลิวรุ่ยอิ่ง

เดิมทีหลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าเถ้าแก่เนี้ยนี้มีตัวตนที่ไม่ธรรมดา

กำไลหยกนี้คงเป็นของที่สืบทอดมา

คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นของของคนตาย

แต่ผู้ที่สามารถสวมกำไลหยกเคลือบแก้วสีน้ำเงินประเภทนี้ได้ เหตุใดจึงทิ้งชีวิตไว้ที่นี่

เขาคงเป็นผู้ที่มาหลบซ่อนเช่นกัน…

หรือบางคนก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร แค่ต้องการหาที่เงียบๆ ให้ได้พักผ่อน

แต่สุดท้ายกลับตายอยู่ที่นี่

ถึงอย่างไรขณะที่มีชีวิตอยู่ก็มักไม่อาจเลี่ยงคำนินทา คำเยาะเย้ย หรือคำชมเชยได้

ไม่ว่าจะพูดด้วยน้ำเสียงใดก็ตาม สุดท้ายมันก็เป็นการพูดถึงคนคนหนึ่ง

ตราบใดที่คนเรายังมีลมหายใจ โลกนี้ก็จะไม่หยุดสร้างหายนะและคำตำหนิใส่เขา

ไม่ว่าจะเป็นการดูถูกหรือความอิจฉา

คนที่ใจกล้าก็กล้าพูดออกมาตรงๆ และแสดงออกมาทางสีหน้า

ส่วนคนที่ขลาดกลัว แม้จะไม่กล้าพูด ก็ยังมีคำเหยียดหยามซ่อนอยู่ในใจ

แต่เมื่อคนเราสิ้นชีพ

สิ่งที่เคยมีทั้งหมดกลับกลายเป็นภาพลวงตา

ห่างไกลจากหายนะและคำตำหนิที่ไร้มูลเหล่านั้น

ผู้คนกลับเริ่มรู้สึกเสียใจต่อการจากไปของเขา

และสิ่งที่ตามมานั้นก็คือคำชมเชยและคำยกย่องซึ่งตรงกันข้ามกับที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง

พูดเช่นนี้แล้ว ของของคนตายก็ดูเหมือนจะขายง่ายขึ้นจริงๆ

กระทั่งมีค่ามากกว่าของของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ

เถ้าแก่เนี้ยดึงดาบออกมาจากพื้น

หลิวรุ่ยอิ่งขมวดคิ้วขณะที่มองนางดึงดาบ

เถ้าแก่เนี้ยแท้จริงแล้วคือคนที่ใช้ดาบเป็น

ขณะที่นางดึงดาบ นางเริ่มด้วยการจับด้ามดาบเบาๆ ด้วยสี่นิ้ว

จากนั้นค่อยทาบนิ้วหัวแม่มือตาม

เพียงออกแรง

ดาบก็ถูกดึงขึ้นมา

ทุกการเคลื่อนไหวไม่มีที่ติ

“ไม่คิดเลยว่าเจ้าก็เป็นยอดฝีมือ!”

หลิวรุ่ยอิ่งพูดขึ้น

“ยอดฝีมือหรือไม่นั้นไม่สำคัญ สามารถมีชีวิตอยู่ได้และยังคงมีชีวิตต่อไปนั่นถึงจะเรียกว่ายอดฝีมือ!”

เถ้าแก่เนี้ยตอบกลับ

หลิวรุ่ยอิ่งตกใจกับคำพูดนี้

บนโลกนี้ มีใครบ้างที่ไม่อยากเป็นยอดฝีมือ

แต่คำพูดของเถ้าแก่เนี้ย แค่คนที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในตอนนี้ ก็นับว่าเป็นยอดฝีมือแล้ว

ความเข้าใจท่องแท้เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะทำให้คนมากมายเท่าไรต้องรู้สึกละอายใจ

ก่อนหน้านี้เถ้าแก่เนี้ยได้เตรียมสุราไว้เรียบร้อยแล้ว

ถึงอย่างไรหลิวรุ่ยอิ่งก็จ่ายเงินมัดจำไว้หนึ่งร้อยตำลึงเป็นค่าสุรา

ยิ่งดื่มมากเท่าไร ก็สามารถหักล้างกับจำนวนเงินที่จ่ายไปได้เท่านั้น

หักลบหมดเร็วเท่าไร ก็เท่ากับว่าได้ทำกำไรเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

จากจุดนี้นับว่าเถ้าแก่เนี้ยเป็นคนที่ฉลาดมาก

………………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท