บทที่ 774 จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน (1)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 774 จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน (1)

Ink Stone_Fantasy

ชายแดนตอนเหนือ!

เมฆหมอกเคราะห์กรรมค่อยๆ สลายตัว

ก้าวข้ามบ่วงกรรมโอสถสุวรรณแปดสิบเอ็ดวิถีไปได้อย่างราบรื่น แสงตะวันสาดส่องทะลุมวลหมู่เมฆาทันที ครอบครองฟากฟ้าจรดผืนดินอีกครั้ง

กลิ่นอายเคราะห์สวรรค์น่าหดหู่หายไปแล้ว ภายในระยะหนึ่งร้อยลี้นี้ สิ่งมีชีวิตที่ยังรอดชีวิตอยู่ทรุดตัวลงบนพื้นราวกับปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้งสู่ผืนดิน

เสื้อขนนกของลั่วอวี้เหิงพัดกระพือ หมวกดอกบัวถูกไหมสีฟ้าอ่อนรัดรึงไว้ ทั่วทั้งตัวนางมิมีสิ่งใดบุบสลาย โอสถสุวรรณที่อยู่เหนือหัวนางค่อยๆ ละลายลงมาหลังผ่านเคราะห์อัสนีเก้าสิบเก้าวิถีและแปดสิบเอ็ดวิถีไปแล้ว

โอสถสุวรรณละลายกลายเป็นน้ำสีทองราดรดตัวลั่วอวี้เหิง

ในชั่วพริบตา ทั้งตัวนางก็กลายเป็นร่างสีทองอร่าม ส่องแสงสีทองไร้ที่สิ้นสุด

ร่างกายที่จะคงอยู่ตลอดไป เสร็จสิ้น!

นับแต่นี้ไป หมื่นทิพยธรรมจักอยู่ยงคงกระพัน ไม่เสื่อมสลาย ไม่ถูกทำลาย ไร้เรื่องกังวลใดๆ ในโลกใบนี้

‘หึ่ม!’

กระบี่เทพในมือของลั่วอวี้เหิงระเบิดประกายแสงกระบี่น่าสะพรึงกลัวออกมา กระตือรือร้นอยากทดลองและต้องการกระโจนเข้าสู่สนามรบสังหารศัตรูทันที

นางมองไปทางสวี่ชีอันที่ทั้งตัวชุ่มโชกไปด้วยโลหิตและพยายามประคองตัวอยู่ในระยะไกล

“ยังอีกรึ?”

น้ำเสียงของไป๋ตี้ไม่แยแสเลยสักนิด “เจ้าไม่เห็นหรือว่า กำลังกายของเขาอ่อนแอเพียงใด ‘วิถี’ ที่มีศักยภาพในการระเบิดชนิดนี้จะคงอยู่ได้นานเพียงไหน? ขีดจำกัดสูงสุดต้องไม่เกินหนึ่งขั้น ถ้าเจ้าไม่ช่วย เขาย่อมตายแน่”

ไป๋ตี้กำลังยั่วยุลั่วอวี้เหิงให้โจมตี เมื่อใดที่ลั่วอวี้เหิงกล้าเข้าร่วมการต่อสู้ นางจะสูญเสียตบะที่นางฝึกฝนมาและได้รับผลกระทบจากเคราะห์สวรรค์ขั้นสอง

หากลั่วอวี้เหิงเลือกที่จะถอยและซ่อนตัวเพื่อรวบรวมตบะของนาง แน่นอนว่าอย่างดีที่สุดถึงแม้สวี่ชีอันกับอาซูหลัวจะเป็นพวกเหนือมนุษย์แต่พวกเขาก็ต้องตายอย่างแน่นอน

ไป๋ตี้กับเจียหลัวซู่จะไม่ปล่อยพวกเขาไปอย่างแน่นอน

“ไม่ต้องมาสนใจข้าแล้วหลุดพ้นจากบ่วงกรรมไปซะ!”

สวี่ชีอันเลียมุมปากที่แตกเป็นแผลและพูดเสียงหนักแน่น

“ทำตามแผนการหลุดพ้นจากบ่วงกรรมต่อไป!”

แผนการรึ? ไป๋ตี้เลิกคิ้ว มันไม่ใช่สัตว์ร้ายไร้สมอง เมื่อได้ยินประโยคนี้ ก็ตื่นตัวด้วยสัญชาตญาณ คิดวิเคราะห์ในใจและนึกถึงผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ที่ต้าฟ่งมีอยู่ในหัว

เมื่อถูกบีบให้อยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง หากท่านต้องการกลับมา ท่านย่อมไม่อาจพึ่งพาเพียงกำลังของตัวเอง ส่วนใหญ่ย่อมต้องมีพันธมิตร แต่การต่อสู้เพื่อหลุดพ้นจากบ่วงกรรมครั้งนี้ พวกเหนือมนุษย์ในจิ่วโจวกำลังให้ความสนใจ ทุกคนล้วนอยู่บนกระดานหมากรุกและไม่น่ามีเรื่องประหลาดใจจากสวรรค์

‘อืม เป็นไปได้ว่าเจ้าหนูผู้นี้อาจกำลังจัดแสงสีเสียงเพื่อทำให้ตกใจ’ ลั่วอวี้เหิงหายใจเข้าลึกๆ หยิบยาออกมาสองสามเม็ดแล้วกลืนเข้าไป จากนั้นนางก็แยกร่างเป็นร่างธรรมเพศหญิงสี่ร่าง

พวกมันคือร่างดินที่ห่อหุ้มไปด้วยเกราะหิน ร่างอัคคีที่เร่าร้อนลุกไหม้ไปด้วยเปลวไฟแผดเผา ร่างวารีที่อบอวลไปด้วยไอน้ำสีดำและร่างวายุที่กอปรขึ้นจากกระแสลม

สภาพแวดล้อมรอบข้างมืดมิดโดยไม่รู้ตัวแล้วเมฆหมอกเคราะห์กรรมก็เข้าปกคลุมอีกครั้ง บดบังแสงตะวันเสียสิ้น

พลังคุกคามอันน่าสยดสยองกวาดไปทั่วอาณาบริเวณหลายร้อยลี้

ร่างวายุที่กอปรขึ้นมาจากกระแสลมหมุนเวียนทะยานขึ้นและพัดพาไปสู่ท้องฟ้า

ระหว่างนั้นมีลมกระโชกแรงจนเกือบพัดหายไปหลายครั้ง

‘เปรี้ยง!’

ฟ้าร้องฟ้าผ่าแลบแปลบปลาบออกจากเมฆหมอกเคราะห์กรรม

ชะตาสี่สภาพระดับแรก ชะตาวายุพิโรธ!

ละทิ้งโอกาสรวบรวมตบะของตัวเอง ริอ่านจะดึงดูดเมฆหมอกเคราะห์กรรมเข้ามาและแข็งขันจะหลุดพ้นจากบ่วงกรรมไปอย่างขมีขมันงั้นรึ?

เจียหลัวซู่มีสีหน้าจริงจังและมองไปยังเซียนครองพิภพครึ่งก้าวผู้โด่งดังไปทั่วประเทศ

ลั่วอวี้เหิงไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?

สวี่เอ้อร์หลางค้นหาอย่างไร้จุดหมายผ่านกระจกเทพฮุ่นเทียนและจับตามองความเคลื่อนไหวของชีก่วงป๋อผู้นำทัพหลวงแห่งอวิ๋นโจวมาชุมนุมอยู่ในเมืองสวินโจว

เขาได้ส่งม้าเร็วไปรายงานยังเมืองสวินโจวเพื่อเตือนทหารอารักขาที่อยู่ในเมืองสวินโจว

จากนั้นจึงนำกองทหารม้าที่เตรียมพร้อมไว้ควบม้าไปยังสวินโจวทันที

เขาเดาจุดประสงค์ที่แท้จริงของชีก่วงป๋อได้รางๆ…เพื่อจู่โจมสวินโจวโดยไม่ให้ตั้งตัว

แม้ว่าแนวหน้าของสวินโจวที่เป็นหัวใจสำคัญจะถูกโจมตีจนพินาศย่อยยับระหว่างสู้รบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแนวป้องกันของกองทัพต้าฟ่งจะยอมแพ้ ยังคงมีทหารพรานจำนวนมากตั้งค่ายอยู่ใกล้แนวป้องกันและส่งหน่วยสอดแนมออกไปลาดตระเวนตลอดเวลา

ถ้าเสียกำแพงเมืองก็อย่ารบบนกำแพงเมือง ให้ต่อสู้ในสนามรบ

แนวป้องกันจะไม่ยอมล่าถอยเพราะเสียเมือง เนื่องจากข้างหลังคือเมืองยงโจวที่ตลอดทางมีผู้คนอยู่มากมายนับไม่ถ้วน

พยุหเสนาบนแนวป้องกันถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มที่สลับซับซ้อน โดยมีหยางเยี่ยนและคนอื่นๆ เป็นผู้นำของเหล่ายอดฝีมือ ทหารจับฉ่ายที่นำโดยกลุ่มกบฏ เช่น ฉู่หยวนเจิ่นและเหล่าสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์

เนื่องจากคุณภาพของกองทัพไม่สม่ำเสมอจึงมีทั้งได้ชัยชนะและพบเจอการสูญเสีย อย่างเช่น สวี่ซินเหนียนเป็นผู้นำกองยอดฝีมือทหารม้าและด้วยความสามารถของกระจกเทพฮุ่นเทียน เขาจึงชนะการต่อสู้ติดต่อกันและปกป้องแนวป้องกันที่เขารับผิดชอบได้เป็นอย่างดี

ผิดกับหยางเชียนฮ่วน หลี่หลิงซู่และพยุหเสนาบางส่วนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ เมื่อทหารจับฉ่ายเหล่านี้เผชิญหน้ากับยอดฝีมือทหารม้าของอวิ๋นโจว ไม่ว่าจะมีกี่หัวก็ไม่พอให้กองทัพอวิ๋นโจวฟันหัวแบะ

อย่างน้อยก็เป็นที่กล่าวขวัญกันว่า เหตุผลที่หยางเยี่ยนอยู่ในยงโจว เพราะลั่วอวี้เหิงกำลังหลุดพ้นจากบ่วงกรรมอยู่ทางชายแดนตอนเหนือจึงสามารถช่วยสกัดกั้นสัตว์ประหลาดและคนเถื่อนได้

เช่นเดียวกับเจียงลวี่จงกับจางไคไท่ ฆ้องทองคำทั้งสองคนได้กลับไปที่ด่านอวี้หยางแล้วและประจำอยู่ที่เมืองชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพสำนักพ่อมดส่งกองกำลังมาสนับสนุนระหว่างการสู้รบในที่ราบลุ่มภาคกลาง

ในฐานะผู้พิทักษ์ต้าฟ่ง ฆ้องทองคำออกจะเฉื่อยชาไปหน่อยและมักถูกกองทัพอวิ๋นโจวจูงจมูกอยู่เสมอ

หยางกงยังคงใช้กระจกเทพฮุ่นเทียนเพื่อจู่โจมกองทัพอวิ๋นโจวแบบสายฟ้าแลบ

แต่กองกำลังหลักของอวิ๋นโจวมีกองทหารแนวหน้าเพื่อสำรวจเส้นทางด้านหน้า รอบนอกมีหน่วยลาดตระเวนเฝ้าระวังและยังมีกองทัพอสูรเหินเวหาลาดตระเวนอยู่บนท้องฟ้าเบื้องบน

จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีกองกำลังขนาดใหญ่บุกเข้ามาจู่โจม ในทางตรงข้ามหลี่เมี่ยวเจินกับคนอื่นๆ กลับใช้ค่ายกลส่งตัวของโหรเพื่อจุดไฟเผายุ้งฉางและทำเรื่องราวมากมายโดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น

กองทัพอวิ๋นโจวไม่ได้ให้โอกาสเช่นนี้กับพวกเขาเลย

หลี่เมี่ยวเจินกับสวี่เอ้อร์หลางเดินไปที่แม่น้ำ ผู้อาวุโสกว่าคุกเข่าลงและพูดว่า

“ลงแส้ม้าเร็วขนาดนี้ก็ต้องพักสักหนึ่งเค่อ ไม่อย่างนั้นต่อให้เดินทางไปถึงสวินโจว เราก็จะเป็นแค่กองทหารที่เหนื่อยล้า สวินโจวถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนาและชีก่วงป๋อก็อยากจะรีบไป แม้เขาจะไม่ทันได้คิดก็ตาม”

“หยางกงเพียงแค่ต้องยึดที่มั่นไว้และเมื่อกำลังเสริมมาถึง กองทัพอวิ๋นโจวก็ย่อมถอนตัวไปเอง”

สวี่ซินเหนียนพยักหน้าเล็กน้อย

ในชิงโจวสถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เขาเคยประสบด้วยตัวเองมาแล้ว ตอนที่ถูกกองทัพอวิ๋นโจวล้อมอยู่ในเทศมณฑลซงซาน เขาขาดแคลนทั้งอาหารและยุทโธปกรณ์

หากผ่านพ้นไปได้ ย่อมต้องมีกำลังเสริมตามมา

ตอนนี้บทบาทเขาคือการเสริมกำลัง

สวี่เอ้อร์หลางหยิบผ้ามาซับเหงื่อ เช็ดฝุ่นออกจากใบหน้า จากนั้นก็ทำความสะอาดผ้าซับเหงื่ออย่างระมัดระวัง

เขาพูดด้วยความกังวล

“อาศัยความสะดวกสบายจากกระจกเทพฮุ่นเทียน เราค้นพบร่องรอยของทัพหลวงที่นำโดยชีก่วงป๋อล่วงหน้า เกรงว่าหยางเยี่ยน กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์และคนอื่นๆ อาจรับมือไม่ทันและพวกเขาอาจถูกกองทหารม้าอวิ๋นโจวขวางไว้”

ชีก่วงป๋อเพียงต้องการสร้างความได้เปรียบเรื่องเวลาและทำลายเมืองสวินโจวในคราวเดียว ตราบใดที่เขายึดเมืองสวินโจวได้ เขาย่อมแบ่งยงโจวกับกองทัพต้าฟ่งเท่าๆ กันและผลักดันสงครามไปสู่ขั้นต่อไป…ต่อสู้เพื่อเมืองยงโจว

จากนั้นตามแผนการของผู้นำทัพอวิ๋นโจวต้องมีการจัดวางอย่างละเอียดถี่ถ้วน และต้องวางกำลังพลในแนวป้องกันเพื่อสกัดกั้นกองทัพต้าฟ่งทุกพื้นที่

ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สวี่ซินเหนียนก็หันไปเห็นหลี่เมี่ยวเจินทิ้งตัวลงริมตลิ่ง แล้ว ‘ส่งเสียงคร่อกๆ’ ราวกับกำลังกลั้วคอ จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองข้างกอบน้ำขึ้นมาหนึ่งอุ้งมือแล้วสาดใส่ใบหน้าของนางอย่างรุนแรง

น้ำเย็นทำให้ใบหน้างดงามของนางเปียกโชก เส้นผมตรงขมับของนางชุ่มไปด้วยน้ำและเปรอะเลอะเกราะอกบนตัวนาง

จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินผู้ห้าวหาญไร้ขีดจำกัด

‘ไม่นะ เจ้าไม่ใส่ใจเรื่องสุขอนามัยเลยรึ เจ้าต้องป่วยแน่ถ้าเจ้าดื่มน้ำที่ไม่ได้ต้ม โอ๊ะ แต่เจ้าเป็นยอดฝีมือขั้นสี่แล้วคงไม่เป็นไร’…สวี่ซินเหนียนมองไปทางอื่นเงียบๆ แอบซ่อนผ้าซับเหงื่อของเขาไว้และจ้วงน้ำกวักใส่หน้าตัวเองเพื่อแสดงความห้าวหาญ

หลี่เมี่ยวเจินหรี่ตามองเขา หรี่ตาแล้วพูดจากรุ่นรอยยิ้ม

“เจ้าเองก็ใช้กระจกเทพฮุ่นเทียนส่องสังเกตการณ์บ่อยครั้ง ลำพังแค่ข้อมือชีก่วงป๋อ หากกองทหารอื่นๆ ถูกกองทัพข้าศึกสกัดไว้ ก็ไม่สมเหตุสมผลที่พวกเขาไม่อยู่กับเราที่นี่”

รอยยิ้มสวยงามเปี่ยมอิสรเสรี

สวี่เอ้อร์หลางพยักหน้าเล็กน้อย เขามองไปทางบุรุษหนุ่มในกองทัพที่แอบมองจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินพลางพูดจากลั้วรอยยิ้ม

“ว่าแต่ เจ้าไปพายอดฝีมือเหล่านี้มาจากที่ใด?”

กองทัพส่วนตัวของหลี่เมี่ยวเจินล้วนมีกำลังรบสูงส่ง พวกเขาทั้งหมดล้วนฝึกฝนตบะมาเป็นอย่างดีและส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นเยาว์

“พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นสหายเก่าจากวันวาน” หลี่เมี่ยวเจินพูดจาคลุมเครือ

“สวี่หนิงเยี่ยนบอกเจ้าหรือไม่ว่าข้าเคยปราบกลุ่มโจรในอวิ๋นโจวและก่อตั้งกองทัพส่วนตัวของข้าเองขึ้น สมาชิกเหล่านี้ล้วนเป็นมิตรสหายจากทั่วโลกหรืออาจมาตามชื่อเสียงของข้า”

“พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นชายฉกรรจ์ทั้งสิ้น”

‘เห็นได้ชัดว่าตัวของเจ้ามันตะกละตะกรามมากเกินไปแล้ว’…สวี่เอ้อร์หลางพึมพำบอกตัวเองในใจ

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ดูเหมือนหลี่เมี่ยวเจินกับพี่ใหญ่ต้าหลางจะมีความสัมพันธ์ที่แตกต่างจากปกติทั่วไป ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดหรือเป็นคนใกล้ชิดกัน

สวี่เอ้อร์หลางมีความคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับนิสัยเจ้าชู้รักใคร่ใครง่ายดายของพี่ชาย เขาควรเป็นหนี้เพราะความเจ้าชู้ที่ทำให้ผู้อื่นรวมถึงตัวเองต้องเจ็บปวด

สำหรับตัวสวี่เอ้อร์หลางเอง เขามีความเฉพาะเจาะจงและชื่นชอบหวางซือมู่เพียงผู้เดียวเท่านั้น? สำนักสังคีตนั่นคือสถานที่เช่นไร? เหล่าปัญญาชนล้วนไปยังสำนักสังคีตเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสายลมแสงจันทร์และความรักไม่ใช่เกี่ยวกับความรู้สึกรักใคร่

สวี่ซินเหนียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ลดเสียงลงแล้วถามว่า

“นักบวชเต๋าหลี่คิดว่า พี่ใหญ่ต้าหลางของข้ามีหวังจะหลุดพ้นจากบ่วงกรรมในชายแดนตอนเหนือหรือไม่?”

หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้ว

สวี่ซินเหนียนพูดต่อ

“แม้ว่าขั้นของข้าจะต่ำ แต่ข้ารู้ดีว่าช่องว่างระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นใหญ่โตขนาดไหน อาจพูดได้ว่าไม่มีโอกาสที่จะชนะเลย”

หลี่เมี่ยวเจินเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นจึงพยักหน้าช้าๆ

“เจ้าพูดถูก ภายใต้สถานการณ์ปกติ ย่อมไม่มีโอกาสชนะ”

“แต่ถ้าเจ้ามองเห็นปัญหาได้ สวี่หนิงเยี่ยนก็ย่อมเห็นได้เช่นกันและผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์อย่างอาซูหลัวกับจ้าวโส่วก็ย่อมมองเห็นเช่นกัน”

“สิ่งที่ข้าสามารถบอกเจ้าได้คือ ก่อนที่ลั่วอวี้เหิงจะหลุดพ้นจากบ่วงกรรม ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์เหล่านี้เคยรวมตัวกันและมีการพูดคุยเชิงลึกกันทั้งวันทั้งคืน”

“เชื่อมั่นในสติปัญญาของพวกเขาและเฝ้ารอผลการแข่งขัน แม้ว่าข้าจะคาดเดาหนทางทำลายการแข่งขันไม่ได้ก็ตาม”

สวี่ซินเหนียนพยักหน้าเล็กน้อย

ในขณะนี้ จู่ๆ ก็มีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเข้ามาแทรกกลางระหว่างสวี่ซินเหนียนกับหลี่เมี่ยวเจินอย่างรุนแรงแล้วกระซิบว่า

“ใต้เท้าสวี่ โปรดหลีกทาง!”

พูดเช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าสวี่ซินเหนียนจะมีปฏิกิริยาเช่นไร มันก็ดันเขาออกไปอย่างนุ่มนวล

บุรุษผู้นี้ชื่อว่าหลี่ซื่อหลิน ถือกำเนิดในเจี้ยนโจว ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งวิทยายุทธ เขากำพร้าตั้งแต่ยังเด็กและได้รับอุปการะจากสำนักระดับสามที่เรียกว่า ‘สำนักปราณแท้’ ตบะในขณะนี้ของเขาคือ ระดับหลอมปราณ

ในกลุ่มนิกายนี้ ถือได้ว่าเขาเป็นวีรบุรุษรุ่นเยาว์ผู้โดดเด่น

อิทธิพลจากความแข็งแกร่งของแม่น้ำและทะเลสาบในเจี้ยนโจว ทำให้หลี่ซื่อหลินมีความฝันที่จะเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมมาตั้งแต่เขายังเด็ก ปรารถนาจะขจัดการข่มเหงสตรีและเรื่องราวชั่วร้ายต่างๆ แล้วกลายเป็นวีรบุรุษรุ่นต่อไป

คู่หูที่สมบูรณ์แบบในความคิดของเขาคือนางฟ้าผู้ผดุงความยุติธรรมเช่นกัน

หลังจากได้พบหลี่เมี่ยวเจิน หลี่ซื่อหลินก็มั่นใจว่านางในดวงใจของเขาปรากฏตัวขึ้นแล้ว

แต่ท่านอาจารย์ผู้ฝึกวรยุทธ์และหลอมปราณให้เขาแต่ไม่ได้สอนความสามารถในการไล่ตามสตรีที่เขาชอบพอ นี่อาจเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงที่ว่าตัวท่านอาจารย์เองก็มีความรู้แค่ขั้นพื้นฐานและไม่สามารถสอนความรู้ระดับสูงกว่านั้นได้

ประกอบกับหลี่ซื่อหลินมีนิสัยชอบเก็บตัว หัวใจของเขาจึงเต้นระส่ำและมักพูดติดอ่างหลังจากคุยกับจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินเพียงไม่กี่คำ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แสดงความในใจออกมาสักที

ทุกวันนี้เขาเดินตามรอยเท้าของจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินและไปที่อวิ๋นโจวเพื่อพบเจอนาง ทุกวันเขาใช้ชีวิตด้วยการเลียเลือดบนคมมีดและติดตามนางในดวงใจไปเงียบๆ ขณะที่ทำตัวเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมไปพร้อมกับนาง

หลี่ซื่อหลินเก็บงำความรู้สึกไม่เก่ง เมื่อเขาอยู่ในอวิ๋นโจวมักถูกพี่น้องในกองทัพล้อเลียนและพูดว่า

จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินอาจไม่ทราบเจตนาของเขา เขาอาจเป็นบุรุษที่ดี แต่ให้นางชอบไปท่อนไม้ยังดีกว่า

แต่หลี่ซื่อหลินรู้สึกว่า แม้ตลอดชีวิตเขาจะไม่แสดงความในใจของเขาออกไป มันก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เขาสามารถติดตามจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินท่องไปตามแม่น้ำและทะเลสาบเพื่อขจัดการข่มเหงสตรีและเรื่องราวชั่วร้ายด้วยกัน เรื่องนั้นย่อมไม่เป็นไร

อันที่จริงนั่นเป็นเรื่องดี

ดังนั้นเมื่อหลี่เมี่ยวเจินยุบไพร่พลพยุหเสนา เขาจึงเศร้าใจมาเนิ่นนาน

เมื่อไม่นานมานี้ หลี่เมี่ยวเจินได้ว่าจ้างกองกำลังเก่าและแต่งทัพขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่เขารู้ข่าว เขาก็อำลาอาจารย์ของเขาและเดินทางจากเจี้ยนโจวมายังยงโจว

ในตอนแรก พี่น้องหลายคนจากกองพันอวิ๋นโจวมาเพราะคำพูดของจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน

หลี่ซื่อหลินชื่นชอบความภักดีแบบนี้

ดังที่ฆ้องเงินสวี่กล่าวไว้ในบทกวี ตับและถุงน้ำดีเป็นโพรง ขนลุกตั้งชัน ระหว่างสนทนา ชีวิตและความตายย่อมเหมือนกัน และคำสัญญามีค่าหนึ่งพันตำลึงทอง

ยิ่งใกล้บ้านมากขึ้น ในที่สุดหลี่ซื่อหลินก็ดึงความกล้าออกมาสารภาพรักกับหลี่เมี่ยวเจิน ภายใต้การสนับสนุนของพี่น้องหลายคนที่ปราบโจรด้วยกันในอวิ๋นโจว

ไม่ใช่ว่าในที่สุดหลี่ซื่อหลินก็จะได้มันมา แต่เขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคาม

ภัยคุกคามที่มาจากสวี่ซินเหนียน

ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลี่ซื่อหลินต้องระแวง เพราะใต้เท้าสวี่รูปงามเกินไป ตัดสินจากทัศนคติของจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน ดูเหมือนนางค่อนข้างคุ้นเคยกับเขา ทั้งพูดคุยและหัวเราะด้วยกัน

คุ้มค่าหรือไม่?

แม้ว่าเขาจะปลอบใจตัวเองเสมอว่าเป็นเรื่องดีที่ได้อยู่กับจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน แต่นั่นเป็นเพราะหลี่เมี่ยวเจินนั้นห้าวหาญ มีน้ำใสใจจริงไม่เสแสร้งและยังไม่มี ‘ศัตรู’ ที่น่าหวาดหวั่นรอบตัว

นับตั้งแต่สวี่ซินเหนียนปรากฏตัว หลี่ซื่อหลินก็รู้สึกว่าวิกฤตมาเยือน

ดังนั้นตามคำยุยงของจ้าวไป๋หลงกับกุ้ยถงฟู่ เขาจึงคิดที่จะบอกความในใจของเขากับจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน

หลังจากหลี่ซื่อหลินบีบสวี่ซินเหนียนออกไป เขาก็มองใบหน้าด้านข้างไร้ที่ติของหลี่เมี่ยวเจินและลังเลที่จะพูด ไม่สามารถพูดอะไรที่สะสมอยู่ในใจมาเป็นเวลานานได้ ทำได้เพียงเช็ดใบหน้าและมืออย่างห่อเหี่ยว

หลี่เมี่ยวเจินพูดว่า

“ข้าจะไปตรวจสอบอาหารสัตว์”

‘อ่า นี่มัน’…หลี่ซื่อหลินมองตามหลังนางและทำท่าเอื้อมมือไปคว้านางไว้ในดวงใจเขา

ในตอนนี้สวี่ซินเหนียนยังมองตามหลังหลี่เมี่ยวเจินและชำเลืองไปยังหลี่ซื่อหลินที่หยาบคายกับเขาและเพื่อนสองคนที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดเบาๆ ว่า

“พวกเจ้าทุกคนล้วนชอบนาง”

“แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก…”

ดูเหมือนชายสองคนที่อยู่ข้างหลังเขาจะสำลักน้ำลาย หน้าแดงและไออย่างรุนแรง

หลี่ซื่อหลินหันหลังกลับมาด้วยความประหลาดใจและจ้องตรงไปที่พวกเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยและระแวดระวัง เขาสูญเสียความไว้วางใจระหว่างผู้คนไปแล้ว

สองคนนั้นคือจ้าวไป๋หลงกับกุ้ยถงฟู่

……………………………………….

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท