บทที่ 1385 ทะลวงข้อจำกัด
บทที่ 1385 ทะลวงข้อจำกัด
กองทัพที่น่าเกรงขามก่อตัวขึ้นเป็นมวลหนาแน่นซึ่งปกคลุมไปทั้งฟ้าดินราวคลื่นยักษ์ พวกมันเต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาลที่ชวนให้ผวาหวาด
ร่างของหลิงชิงอู๋ลอยอยู่กลางอากาศอย่างเด็ดเดี่ยวขณะที่เคลื่อนตัวผ่านกองทัพอันกว้างใหญ่นั้น รัศมีศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกายจากเรือนกายของนางราวกับสตรีผู้ทรงพลังเกินว่าใครจะหยุดยั้ง
ในยามนี้ นางหาได้เหมือนคนที่กำลังต่อสู้ไม่ หากแต่คล้ายคนที่กำลังเดินทอดน่องในสวนอย่างเกียจคร้าน ทุกที่ที่นางเยื้องย่าง เลือดจะพลันสาดกระเซ็นพร้อมกับกองศพที่สูงพะเนิน ราวกับกำลังสร้างเส้นทางที่เต็มไปด้วยซากศพและเลือดเนื้อด้วยการย่างก้าวเพียงเท่านั้น
ช่างเป็นเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจยิ่ง
ละอองเลือดแดงฉานอาบไล้ทั้งฟ้าดินเช่นเดียวกับรัศมีแห่งความดุร้ายที่กระจายไปโดยรอบ ทว่าหลิงชิงอู๋ยังคงเป็นเหมือนดอกบัวแห่งความโกลาหล บริสุทธิ์ไร้ซึ่งมลทินจากเลือดและสิ่งโสมมทั้งปวง มีเพียงความงดงามอย่างเหนือชั้นเท่านั้นที่โอบล้อมรอบกายของนาง
เมื่อเฉินซีและเยี่ยถังมาถึง พวกเขาทันได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวพอดี ทั้งสองสบตากันด้วยความเข้าใจโดยที่ไม่ต้องพูดด้วยซ้ำ
ใช่แล้ว พวกเขาไม่คิดว่าหลิงชิงอู๋จะต่อสู้กับกองทัพขนาดมหึมาได้เยี่ยมยอดถึงเพียงนี้ ทั้งยังไม่มีผู้ใดในบรรดากองทัพเหล่านั้นที่สามารถต้านทานต่อการโจมตีที่รุนแรงของนางได้ เพราะกำลังพลเหล่านั้นก็เป็นถึงกองทัพของผู้เยี่ยมยุทธ์จากภพเซียนและยมโลกซึ่งล้วนมีพลังอันน่าเกรงขามอย่างยิ่ง ในบรรดาคนเหล่านั้นล้วนอยู่ในขอบเขตเซียนทองคำขึ้นไปทั้งสิ้น แม้แต่ขอบเขตเซียนปราชญ์ก็มีให้เห็นอยู่ในนั้นประปราย
ทว่าภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว พวกเขากลับไม่อาจสร้างความระคายให้แก่หลิงชิงอู๋ได้แม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของนางทรงพลังเพียงใด
“ศิษย์พี่หลิงสร้างกฎปราชญ์เต๋าของนางขึ้นมาได้แล้วอย่างแน่นอน” เฉินซีคล้ายจมดิ่งลงในห้วงคิด เขาเองก็อยู่ในขอบเขตเซียนปราชญ์เช่นเดียวกัน ดังนั้นมองเพียงแวบเดียวก็สามารถสัมผัสได้ว่าทุกย่างก้าวของหญิงสาวนั้นเต็มไปด้วยรัศมีอันยิ่งใหญ่ของปราชญ์เต๋า ซึ่งส่งผลให้ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของนางน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
“กฎปราชญ์เต๋าอย่างนั้นหรือ? จริงสิ ศิษย์น้องเฉินซี เจ้าทำสำเร็จแล้วหรือไม่?” เยี่ยถังอดไม่ได้ที่จะถาม
“ข้ายังห่างไกลอยู่มาก” เฉินซีส่ายหน้าเป็นคำตอบ ปัจจุบันเขาหลอมรวมกับตราศักดิ์สิทธิ์เบญจธาตุได้เพียงเก้าในสิบส่วนเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสร้างกฎปราชญ์เต๋าเลย เพราะนั่นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อหลวมรวมตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ได้อย่างสมบูรณ์แล้วเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มมั่นใจว่าหากตนอยู่ในจุดเดียวกับหลิงชิงอู๋ ก็สามารถจัดการกองทัพเหล่านั้นได้เช่นเดียวกัน เพราะแม้กองทัพจะมีขนาดใหญ่โตมากเพียงใด ทว่าความได้เปรียบในด้านจำนวนก็หาได้มีผลใด ๆ
“พวกเจ้าสองคนยืนเฉยอยู่ได้ ยังไม่มาช่วยข้าอีก!” เสียงของหลิงชิงอู๋ดังขึ้นจากระยะไกล มันทั้งเย็นชา กังวาน เปี่ยมไปด้วยความเด็ดขาดอันเป็นเอกลักษณ์
เฉินซีและเยี่ยถังชะงัก พวกเขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าด้วยนิสัยของหญิงสาว นางจะยอมร่วมมือจากผู้อื่น นี่มันออกจะเกินความคาดหมายของพวกเขาไปมาก
“ในเมื่อศิษย์พี่หลิงออกปากเชื้อเชิญเช่นนี้ มีหรือศิษย์น้องจะกล้าปฏิเสธ” เยี่ยถังหัวเราะลั่นก่อนจะชักดาบสีเขียวออกมา ร่างของเขาก็พริบพร่าง ทะยานเข้าสู่ใจกลางสนามรบด้วยความรวดเร็ว
สหายเต๋าผู้นี้ช่าง… เฉินซีเม้มริมฝีปาก เขานึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าตนมีความประทับใจอันดีต่อหลิงชิงอู๋หรือไม่ ทว่าเขาก็ไม่ได้นึกเกลียดชังนาง อาจเป็นเพราะชายหนุ่มรู้สึกว่านางเป็นพวกเข้าถึงได้ยาก จึงรักษาระยะห่างอยู่เสมอ
ถึงอย่างนั้น ก็ไม่เคยคิดว่าหลิงชิงอู๋จะยอมให้พวกเขาเข้าไปร่วมวงต่อสู้กับนางในตอนนี้
มันอาจจะกะทันหันไปเสียหน่อย แต่เฉินซีก็เลือกที่จะพุ่งตัวไปร่วมสู้เคียงข้างนาง
จำนวนของไพร่พลในกองทัพที่แผ่ไพศาลไปทั้งฟ้าดินนี้มีมากเกินไปจริง ๆ พวกมันก่อตัวกันเป็นมวลหนาแน่นที่ไม่อาจทำลายสิ้นลงได้โดยง่าย แม้จะไม่ได้ขนัดจนไร้ช่องว่าง แต่หากจะกวาดล้างก็นับว่ายากเข็ญไม่น้อย
“นี่คือบททดสอบแรกของแดนโลหิตเซียนยมโลก เพื่อที่จะผ่านบททดสอบนี้ เราจำเป็นจะต้องหาทางออกให้ได้ มิเช่นนั้นต่อให้ฆ่าศัตรูเหล่านี้ไปเป็นร้อยเป็นพันก็ไม่มีวันจบสิ้น” คิ้วเรียวโก่งของหลิงชิวอู๋ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้นางปวดเศียรเวียนเกล้าไม่ต่างกัน ใช่แล้ว สถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างที่นางกล่าวไว้ไม่ผิด ตั้งแต่เข้ามาในแดนโลหิตเซียนยมโลก นางก็มองหาสิ่งที่เรียกว่า ‘ทางออก’ ตลอดเวลา ทว่าจนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่พบมันเสียที นางทำได้เพียงมองหาทางออกพลางสังหารพวกมันไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด…
หากสภาวการณ์เช่นนี้ยังดำเนินต่อไป หลิงชิงอู๋ก็คงจะถูกหยุดไว้เพียงแค่นี้ และคงไม่มีทางได้รับการยอมรับจากมรดกของจักรพรรดิเต๋าอีกต่อไป
เมื่อเฉินซีและเยี่ยถังได้ฟังคำอธิบายจากหลิงชิงอู๋ ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง แน่นอน สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในแผ่นหยกมาเลยสักนิด
“หรือว่าทางออกนั้นจะถูกปิดกั้นด้วยข้อจำกัดบางอย่าง?” เยี่ยถังขมวดคิ้วพร้อมกับมือที่ยังคงสังหารศัตรูโดยไม่ลดละ
“เช่นนั้นก็ไม่ยาก ต้องลองถึงจะรู้” เฉินซียิ้มบาง ๆ เป็นคำตอบ ร่างสูงใหญ่เปล่งประกายและลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ทันใดนั้น ความผันผวนของมิติก็ส่งเสียงเกรียวกราวออกมาจากร่างกายราวกระแสน้ำ ก่อนจะกระจายตัวออกไปยังบริเวณโดยรอบอย่างรวดเร็ว
ตึง!
ฉับพลันนั้น ความผันผวนรุนแรงก็เกิดขึ้นทั่วทุกพื้นที่มิติของฟ้าดิน มันกระเพื่อมและทอดยาวดังกระแสน้ำซัดสาดที่ส่งเสียงคำรามอย่างผืนฟ้ากัมปนาท
ตอนนั้นเอง กองทัพขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่โดยรอบรัศมีแสนลี้ก็คล้ายตกลงสู่หนองน้ำ พวกมันดิ้นรนอย่างไม่ลดละเพื่อต้านทานกระแสน้ำในห้วงมิติ ทว่ากำลังพลเหล่านั้นก็ไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการ พวกมันหลายตัวถูกโจมตีด้วยพลังมิติและถูกบดขยี้จนย่อยยับ
เพียงพริบตา ธารเลือดก็หลั่งรินลงสู่ผืนน้ำ การเคลื่อนไหวของมันคลอเคล้าไปกับเสียงคร่ำครวญที่ดังระงมไปทั่วทั้งบริเวณ
“กฎแห่งมิติ!” ดวงตางดงามของหลิงชิงอู๋เบิกกว้างในทันที หว่างคิ้วนั้นแต่งแต้มไปด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้ว ศิษย์น้องเฉินซีเคยเปิดเผยพลังนี้เมื่อครั้งที่มีการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก ถึงอย่างนั้น ข้าก็ไม่เคยคิดเลยว่าความเข้าใจในพลังแห่งห้วงมิติของเขานั้นดีกว่าครั้งก่อนมากนัก” เยี่ยถังถอนหายใจทั้งรอยยิ้มเปื้อนหน้า พัฒนาการของเฉินซีนั้นยอดเยี่ยมเกินไปจริง ๆ นั่นทำให้เขาตระหนักได้อย่างลึกซึ้งถึงช่องว่างระหว่างตนกับเฉินซีที่ค่อย ๆ ห่างกันมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
พื้นที่มิติเกิดความผันผวนขณะที่มันทอดผ่านฟ้าดิน มันทะลวงเข้าไปในกระแสน้ำที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างไม่มีสิ้นสุด
ไพร่พลในกองทัพตกลงไปในกระแสน้ำแห่งห้วงมิติอย่างสมบูรณ์ เลือดเนื้อถูกฉีกกระชากเป็นชิ้น ๆ ก่อนจะกระเด็นขึ้นสู่อากาศและย้อมผืนฟ้าให้กลายเป็นสีแดงสด
ทุกครั้งที่ไพร่พลเหล่านั้นตายลง กองกำลังใหม่ก็จะปรากฏตัวขึ้น ดังนั้นไม่ว่าเฉินซีจะปลิดชีพคนเหล่านั้นไปมากเพียงใด มันก็เป็นแค่การกระทำที่เปล่าประโยชน์
ถึงจะเป็นเช่นนั้น ทว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเฉินซีหาใช่การสังหารคนเหล่านั้นไม่ หากแต่เป็นการค้นหาทางออก ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มไม่นึกกังวลกับเหล่าทหารที่เกิดขึ้นมาใหม่ตลอดเวลาแต่อย่างใด
หึ่ง!
ไม่นานหลังจากนั้น คลื่นแห่งความผันผวนประหลาดก็บังเกิดขึ้นกะทันหันจากระยะไกล มันดึงดูดความสนใจของเฉินซีได้ในทันที
“มีข้อจำกัดที่ผันผวนคลุมเครืออยู่ตรงนั้น ข้าว่าทางออกจะต้องเป็นที่นั่นอย่างแน่นอน!” สายตาคมกริบดั่งสายฟ้าของเฉินซีจดจ้องยังความผันผวนดังกล่าวด้วยความรวดเร็ว
“ข้าจะไปทำลายมันให้เปิดออก ส่วนพวกเจ้าสองคนคอยคุ้มกันข้า!” ร่างของหลิงชิงอู๋กะพริบพร่างทั้งที่ยังไม่ทันได้พูดจบ นางพุ่งทะยานไปในอากาศไม่ต่างสายฟ้าฟาด เรียกได้ว่าการตัดสินใจของนางนั้นไม่มีคำว่าลังเลอยู่แม้แต่น้อย
เฉินซีชะงักไปขณะหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ศิษย์พี่เยี่ยถัง ศิษย์พี่หลิงเป็นคนเด็ดขาดเช่นนี้เสมอเลยหรือ?”
“เลิกพล่ามเรื่องไร้สาระเถอะน่า รีบตามนางไปเร็วเข้า!” เยี่ยถังส่งเสียงเอ็ดทั้งรอยยิ้มบนใบหน้า
หึ่ง~ หึ่ง~
ความผันผวนของข้อจำกัดที่ดูเลือนรางนั้นกวาดกระเพื่อมไปทั่วพื้นสีเลือดดั่งระลอกคลื่น
ที่ใจกลางของความผันผวนนั้นคือแท่นบวงสรวงเต๋าโบราณซึ่งมองเห็นได้อย่างเลือนรางภายในพื้นที่มิติ แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ที่ตรงนี้หาได้มีร่องรอยของแท่นบวงสรวงเต๋านี้แต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่ามันถูก ‘กระแสห้วงมิติ’ ของเฉินซีบังคับให้เผยตัวตนออกมา
แท่นบวงสรวงเต๋านั้นมีขนาดไม่ใหญ่นัก ครอบคลุมพื้นที่เพียงสิบจั้งเท่านั้น พื้นผิวของมันเปล่งประกายด้วยรัศมีอันเวิ้งว้างและเก่าแก่ ตั้งตระหง่านเพียงลำพัง ชวนให้รู้สึกพิศวงไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่แท่นบวงสรวงเต๋าปรากฏขึ้น กองทัพขนาดมหึมาที่โอบล้อมไปทั้งฟ้าดินนั้นก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว พวกมันส่งเสียงคำรามสั่นสะเทือนแผ่นปฐพี ก่อนจะพุ่งตัวเข้ามาด้วยความรวดเร็ว
ท่าทางของพวกมันปราศจากความหวั่นเกรง ไม่เพียงเท่านั้น พวกมันยังดูดุร้ายและน่าเกรงขามขึ้นมาก
หลิงชิงอู๋ทำลายข้อจำกัดรอบ ๆ แท่นบวงสรวงเต๋าด้วยกำลังทั้งหมดที่มี การกระทำของนางทำให้เฉินซีและเยี่ยถังไม่ลังเลอีกต่อไป พวกเขายืนคุ้มกันนางและสังหารศัตรูอย่างไม่จำเป็นต้องออกแรงมากนัก
“ให้ตายสิ! ข้อจำกัดนี้เต็มไปด้วยสายใยเทวะ แล้วเช่นนี้เซียนปราชญ์จะสามารถทะลุผ่านไปได้อย่างไร?” หลังจากนั้นไม่นาน คิ้วเรียวโก่งของหลิงชิงอู๋พลันเลิกสูง ดวงตาใสกระจ่างเจือไปด้วยความคับข้อง ไม่อาจยับยั้งตัวเองไม่ให้สบถออกมาได้อีกต่อไป หญิงสาวง้างฝ่ามือขึ้นสุดแขนก่อนจะทุบข้อจำกัดเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แน่ละ ตอนนี้นางไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าการบดขยี้มันให้แหลกคามือ
เฉินซีถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเห็นสิ่งนี้ ศิษย์พี่หญิงของข้ามีนิสัยนุ่มลึกและพิสุทธิ์ราวเทพธิดาใต้แสงจันทร์ แต่ใครจะคาดคิดว่านางไม่เพียงแต่เป็นคนเด็ดขาดเท่านั้น หากแต่ยังเป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรงอย่างยิ่ง…
เยี่ยถังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม “ศิษย์พี่หลิง ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่?”
“ไม่จำเป็น!” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวของหลิงชิงอู๋เด็ดขาดยิ่งกว่าที่เคยเป็น ขณะที่พูด นางก็นำผนึกโบราณสีม่วงเข้มที่มีขนาดใหญ่ออกมา ผนึกชิ้นนั้นหมุนวนรอบตัวและทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า มันปลดปล่อยอักขระยันต์จำนวนมากที่เปล่งประกายเจิดจ้าด้วยรัศมีที่งดงามและทรงพลัง
ตึง! ตึง! ตึง!
ในชั่วพริบตา หลิงชิงอู๋คว้าผนึกชิ้นนี้เอาไว้ก่อนจะใช้มันทุบลงบนข้อจำกัดเกินกว่าร้อยครั้งได้ ทุกครั้งที่ข้อจำกัดถูกโจมตี มันจะส่งเสียงคำรามราวฟ้าร้องที่กึกก้องไปทั่วหัวระแหง พื้นดินโดยรอบสั่นสะเทือน พื้นที่มิติล่มสลาย ช่างเป็นพลังที่ชวนให้นึกประหลาดใจไม่น้อย
เฉินซีถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นสิ่งนี้ รุนแรงเหลือเกิน! ศิษย์พี่หญิงของข้าแม้จะเป็นสตรี ทว่าความห้าวหาญของนางช่างเปี่ยมล้น!
“ผนึกบรรลัยสวรรค์! บ้าน่า! ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสิ่งนี้จะตกไปอยู่ในมือของศิษย์พี่หลิง” เยี่ยถังอุทานออกมาด้วยความชื่นชม แน่นอนว่าสิ่งที่เขาชื่นชมหาใช่ศิษย์พี่หลิง หากเป็นผนึกโบราณสีม่วงเข้มที่นางนำออกมา มันเป็นสมบัติอมตะโบราณที่เลื่องชื่อในยุคบรรพกาลไม่แพ้ผนึกพลิกสวรรค์ ผนึกเทวศสวรรค์ และผนึกเพลิงสวรรค์
นั่นคือผนึกบรรลัยสวรรค์ ในแง่ของพลัง มันทัดเทียมกับผนึกเทวศสวรรค์ที่อยู่ในการครอบครองของข้า… เฉินซีรู้ได้ในทันที ผนึกเทวศสวรรค์ในการครอบครองของเขานั้นเป็นสิ่งที่ยึดมาจากศิษย์ของสำนักศึกษาระทมสันต์
เดิมทีเขาตั้งใจจะส่งมันคืนให้กับสำนักศึกษาระทมสันต์หลังจากการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก แต่เนื่องจากพวกเขาถูกนิกายอำนาจเทวะบงการอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นเฉินซีจึงไม่คิดจะคืนสมบัติชิ้นนี้ให้กับอีกฝ่าย
“บ้าเอ๊ย! ทำไมมันไม่ได้ผลนะ?” หลังจากพยายามทำลายข้อจำกัดมาเป็นระยะเวลานาน หญิงสาวก็พบว่ามันไม่แม้แต่จะมีร่องรอยของความเสียหายหรือการเปลี่ยนแปลงใด ๆ นั่นทำเอาหลิงชิงอู๋คิ้วขมวดยิ่งกว่าเก่า ทว่าเมื่อประกอบปมคิ้วนั่นเข้ากับดวงหน้าอันงดงามและสงบนิ่งของนาง กลับยิ่งทำให้ความงามของหญิงสาวเลิศล้ำชวนสะท้านไหว
ครั้นเห็นท่าทางที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดนั่น เฉินซีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแนะนำอีกฝ่าย “ศิษย์พี่ เหตุใดท่านไม่ลองโจมตีที่ชั้นที่สามสิบหกของข้อจำกัด ซึ่งอยู่ห่างจากช่องว่างระหว่างทิศตะวันออกเฉียงใต้และทิศเหนือไปสามฉื่อดูเล่า?”
เขากำลังพูดถึงวิธีการสร้างค่ายกลขึ้นภายในข้อจำกัด ดังนั้นหลิงชิงอู๋จึงเข้าใจได้ทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงสาวง้างผนึกบรรลัยสวรรค์ขึ้นมาและทุบไปยังจุดดังกล่าวอย่างดุเดือดโดยไม่สนใจว่าความคิดของเฉินซีจะถูกต้องหรือไม่
ตู้ม!
เสียงระเบิดสั่นสะเทือนไปทั้งท้องฟ้า มันดังราวกับภูเขาไฟที่ถึงคราวปะทุครั้งใหญ่ ข้อจำกัดที่รายล้อมแท่นบวงสรวงเต๋าสั่นสะท้านก่อนจะแตกร้าวไม่ต่างจากกระจก มันแหลกสลายเป็นฝุ่นผงที่ลอยล่องไปตามความว่างเปล่า
นอกจากข้อจำกัดนี้จะถูกทำลายแล้ว ร่างของกองทัพที่ทรงพลังทั้งหมดก็พลันแข็งทื่อในช่วงเวลาเดียวกัน คล้ายกับถูกแช่แข็งเอาไว้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว เพียงไม่นาน พวกมันก็กลายเป็นละอองเลือดฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณด้วยความรวดเร็ว
บัดนี้ พื้นดินที่กว้างใหญ่ซึ่งชโลมไล้ไปด้วยสีแดงของเลือดหลงเหลือเพียงคนสามคนและแท่นบวงสรวงเต๋าที่ตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยวเท่านั้น กองทัพที่เคยยิ่งใหญ่ การต่อสู้ที่สั่นสะเทือนฟ้าดิน หรือแม้แต่เลือดเนื้อและภูเขาซากศพก็ล้วนแล้วสลายสิ้น… บรรยากาศที่เงียบงันและรกร้างนี้มีเพียงเสียงสายลมอ่อนที่ดังชัดราวคลื่นคำราม