บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1386 ทางเดินดาวหาง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1386 ทางเดินดาวหาง

บทที่ 1386 ทางเดินดาวหาง

หลิงชิงอู๋เหม่อมองไปยังแท่นบวงสรวงเต๋าที่อยู่เบื้องหน้า และได้สติขึ้นเพียงชั่วครู่หนึ่ง พลันกล่าวด้วยความประหลาดใจ “มันได้ผลจริง ๆ หรือ?”

ก่อนหน้านี้นางได้มุ่งความสนใจไปกับการทำลายข้อจำกัด ทว่าตอนนี้นางตระหนักได้ว่า คำแนะนำของเฉินซีนั้นบ่งชี้ไปที่จุดอ่อนของมัน ทำให้นางสามารถทำลายข้อจำกัดนี้ได้อย่างง่ายดาย

เมื่อหวนนึกถึงความพยายามที่ใช้ไป แต่ก็มิอาจสั่นคลอนข้อจำกัดนี้ได้ หากเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า นางก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเป็นอย่างมาก

เยี่ยถังก็ชำเลืองมองเฉินซีด้วยสายตาประหลาดเช่นกัน

เฉินซีเพียงเผยยิ้มแต่ไม่ได้กล่าวอะไร

ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่า ข้อจำกัดรอบ ๆ แท่นบวงสรวงเต๋า เป็นจริงดั่งที่หลิงชิงอู๋ได้กล่าวไว้ มันเปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์ ทว่าแทบไม่มีทางทะลวงผ่านไปได้

ไม่ต้องกล่าวถึงการอาศัยเนตรเทวะแห่งความจริง เพียงอาศัยการอนุมานในฐานะปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระสูงสุด ก็เพียงพอที่จะค้นหาแกนหลักของข้อจำกัดนี้ได้อย่างแม่นยำ

แม้ว่าข้อจำกัดนี้จะน่ากลัวเพียงใด หากเปรียบเทียบกับข้อจำกัดของเหล่าทวยเทพที่เคยพบในภูมิภาคบรรลุเทพเห็นได้ชัดว่ามันด้อยกว่ามาก

“ไยถึงไม่บอกแต่แรก? เจ้าตั้งใจจะทำให้ข้าขายหน้าหรือ?” หลิงชิงอู๋เหลือบมองเฉินซีอย่างไม่พอใจ

“ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน ข้าคิดว่าข้อจำกัดง่าย ๆ เช่นนี้ ศิษย์พี่หลิงคงจะจัดการกับมันได้อย่างง่ายดาย ทว่าใครจะไปรู้ว่า…” เฉินซีเผยสีหน้าสิ้นหวังขณะที่กล่าวใกล้จบ แต่เขาก็หุบปากทันที เพราะท่าทางของหลิงชิงอู๋เริ่มอับอายมากขึ้นเรื่อย ๆ และเต็มไปด้วยความโกรธราวกับว่าเป็นนางแมวที่กำลังจะอาละวาด

“เอาละ รีบตรวจสอบดูว่ามีทางออกจากแท่นบวงสรวงเต๋านี้หรือไม่” เยี่ยถังรีบคลี่คลายสถานการณ์ และเบี่ยงความสนใจไปที่แท่นบวงสรวงเต๋าแทน

“ควรจะเป็นเช่นนั้น มาเริ่มค้นหากันเถอะ หากข้าเดาไม่ผิด แท่นบวงสรวงเต๋านี้น่าจะเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติโบราณ” แน่นอนว่าความสนใจของหลิงชิงอู๋ก็ถูกหันเหไปทันที และนางก็มองไปที่แท่นบวงสรวงเต๋า ก่อนที่จะเดินขึ้นไป

โอม!

ทันทีที่หญิงสาวก้าวเท้าขึ้นไปบนแท่นบวงสรวงเต๋า คลื่นพลังผันผวนก็แผ่กระจายออกไป

เฉินซีและเยี่ยถังรีบเดินตามนางขึ้นไปทันที

ฉับพลันนั้น ทั้งสามต่างรู้สึกว่าร่างกายเบาหวิว ก่อนที่ทุกคนจะหายไปจากแท่นบวงสรวงเต๋า

นี่คือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพราย

ดวงดาวนับพันนับหมื่นล้านลุกโชนเดือดพล่าน ทั้งยังสว่างไสวไปทั่วท้องฟ้า

เหตุการณ์นี้พิสดารอย่างยิ่ง ราวกับภูเขาไฟจำนวนมากคุกรุ่นใกล้ปะทุ ซึ่งเปลี่ยนจักรวาลให้กลายเป็นทะเลเพลิงที่โชติช่วงและพร่างพราย อีกทั้งคลื่นเปลวเพลิงก็พัดโหม

ณ ใจกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวแห่งนี้ กลับพบว่ามีทางเดินที่คดเคี้ยวอยู่เส้นหนึ่ง

ทางเดินนี้ก่อตัวจากอุกกาบาตที่ล่องลอยอย่างอิสระจำนวนมหาศาล อุกกาบาตทุกดวงต่างล่องลอยไปรอบ ๆ และหมุนรอบตัวของมัน ซึ่งรวมตัวกันเป็นทางเดินที่ไม่มีความมั่นคง ทั้งมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของมัน ราวกับเป็นเส้นทางสู่สวรรค์

ฟิ่ว! ฟิ่ว! ฟิ่ว!

เหล่าดาวหางที่ลุกไหม้ได้พุ่งมาจากส่วนลึกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว บังเกิดเป็นส่วนโค้งที่วิจิตรตระการตา และขณะที่มันเสียดสีกับอวกาศก็เกิดเสียงดังกัมปนาท

พวกมันกระแทกลงบนทางเดินอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้เกิดแสงส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า และเป็นภาพที่อัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง

ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันกว้างใหญ่นี้เรียกว่า แดนธารเปลวเพลิง

และทางเดินที่พาดผ่านเรียกว่า ทางเดินดาวหาง

อุกกาบาตแต่ละลูกที่ก่อตัวเป็นทางเดินดาวหางนั้นถูกปกคลุมไปด้วยชั้นของข้อจำกัดต่าง ๆ และมีทั้งหมดสามพันลูก พวกมันจึงเรียกว่าข้อจำกัดสามพันประการ

นี่เป็นการทดสอบครั้งที่สองในแดนเซียนยมโลก ศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบนี้จำเป็นต้องผ่านทางเดินดาวหางอย่างปลอดภัยเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าสู่สถานที่ที่เก็บโลงศพของเซียนยมโลกได้

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

ณ บัดนี้ ทั้งสามกำลังมุ่งเข้าไปในส่วนลึกของทางเดินดาวหางไปทีละก้าว ทว่าทุกย่างก้าวกลับไม่ง่ายเลย และถึงขั้นถูกบีบให้ล่าถอยอยู่บ่อยครั้ง

เนื่องจากมีดาวหางจำนวนมากที่พุ่งเข้ามาจากรอบตัวอย่างหนาแน่น อานุภาพของดาวหางแต่ละดวงเทียบได้กับการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เซียนปราชญ์จะสามารถทำได้ ทำให้มันน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด

ยิ่งไปกว่านั้น อุกกาบาตที่ลอยอยู่ข้างใต้ก็เปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อย ๆ ทั้งยังถูกห่อหุ้มด้วยข้อจำกัดอันทรงพลัง ด้วยเหตุนี้ การจะมุ่งไปข้างหน้าก็มีแต่ต้องฝ่าข้อจำกัดนี้ไปเท่านั้น

กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีอันตรายอย่างน้อยสามประการบนทางเดินดาวหางนี้ ประการแรกคือการโจมตีของดาวหางที่ตกลงมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ประการที่สองคืออุกกาบาตที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าซึ่งเปลี่ยนตำแหน่งอย่างไม่หยุดยั้ง และประการที่สามคือข้อจำกัดอันทรงพลังที่ปกคลุมอุกกาบาตไว้

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าการจะผ่านทางเดินดาวหางนี้ยากเพียงใด

ถ้าหากอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ก็คงไม่มีทางผ่านมันไปได้เลย เนื่องจากไม่เพียงแต่ต้องคอยหลบเลี่ยงต่อการโจมตีของดาวหางเท่านั้น แต่ยังต้องจดจ่อกับตำแหน่งของอุกกาบาตที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าตลอดเวลา ในขณะเดียวกันก็ต้องจัดการกับข้อจำกัดของอุกกาบาตลูกถัดไป

ดังนั้นในการเข้าร่วมบททดสอบภายในแดนโบราณจักรพรรดิเต๋า อาจไม่มีศิษย์สักคนที่สามารถทำสำเร็จได้

“เรามาถึงดาวหางดวงที่หนึ่งพันสามร้อยแล้ว อดทนไว้เราเกือบมาถึงครึ่งทางแล้ว!” บนทางเดินดาวหาง เนี่ยซิงเจินย้ำเตือนสติด้วยเสียงแผ่วเบา พร้อมกับให้กำลังใจกู่เยวหรูและจงหลีหลัวที่อยู่ข้างเคียง

เนี่ยซิงเจินมีผมสีน้ำตาลอมเทา และรูปลักษณ์ที่ค่อนข้างประณีตงดงาม ทว่าในขณะนี้เขามีสีหน้าจริงจัง ร่างกายถูกห่อหุ้มด้วยม่านพลังคุ้มกายเป็นชั้น ๆ และฟันกระบี่เซียนในมืออย่างไม่หยุดยั้งเพื่อต้านทานดาวหางที่ตกลงมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“ศิษย์พี่เนี่ยไม่ต้องกังวล ข้าปลอดภัยดี” จงหลีหลัวเลียริมฝีปากของตน จิตต่อสู้ก็พลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย การต้านทานดาวหางที่ตกลงมาจากฟากฟ้าทำให้เขารู้สึกกดดันเป็นพิเศษ แต่ด้วยนิสัยที่กระหายการต่อสู้ ยิ่งแรงกดดันมากเท่าใด เขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น

“ข้อจำกัดกำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ… หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ผลที่ตามมาคงไม่อาจจินตนาการได้” กู่เยวหรูที่ยืนอยู่ข้างหน้าพลันขมวดคิ้วแน่น ในขณะที่ความกังวลปกคลุมไปทั้งใบหน้า นางสวมชุดยาวสีน้ำเงินคราม มีท่าทางสง่าและงดงาม ทว่าเวลานี้ ใบหน้าของนางกลับซีดลงเล็กน้อย เพราะความเหนื่อยล้าที่ไม่อาจปกปิดไว้ได้

ในหมู่พวกเขา กู่เยวหรูมีหน้าที่รับผิดชอบในการทำลายข้อจำกัด แม้ว่านางจะไม่ต้องรับมือกับฝูงดาวตก แต่ก็ต้องใช้พลังจิตใจเป็นอย่างมาก จนบัดนี้ นางได้ทำลายข้อจำกัดไปถึงหนึ่งพันสามร้อยประการ และพลังจิตใจของนางก็ถดถอยลงไปอย่างมากเช่นกัน

“ค่อย ๆ ก้าวไปทีละก้าว แล้วเราจะประสบความสำเร็จได้ในที่สุด”

หลังจากเงียบไปสักพัก เนี่ยซิงเจินก็กล่าว “ศิษย์น้องจงหลี เรามาพยายามให้เต็มที่ เพื่อซื้อเวลาให้กับศิษย์น้องกู่มากขึ้นเถอะ”

จงหลีหลัวพยักหน้าตอบรับ

กู่เยวหรูเหลือบมองเนี่ยซิงเจินเพื่อขอบคุณ พลันสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเริ่มเพ่งความสนใจไปที่การทำลายข้อจำกัดต่อไป

“อืม?” ทันใดนั้น คิ้วของเนี่ยซิงเจินก็เลิกขึ้น เขาฟาดฟันกระบี่ใส่ดาวหางสามดวงที่พุ่งเข้ามา พลันกล่าวว่า “พวกเขามาถึงแล้ว”

จงหลีหลัวก็สังเกตเห็นกลุ่มของหลิงชิงอู๋เช่นกัน และหัวใจของเขาก็บีบรัดอย่างอดไม่ได้ “ข้าได้ยินมาว่า มีเพียงสามคนเท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับจากมรดกของจักรพรรดิเต๋า เดิมที ข้าคิดว่าหลิงชิงอู๋จะลงมือเพียงลำพัง จึงไม่ได้ถือว่านางเป็นคู่แข่ง แต่นางกลับร่วมมือกับเยี่ยถังและเฉินซี”

ขณะที่กล่าว เขาก็โบกดาบคู่ในมือ และทำลายดาวหางที่พุ่งลงมาอย่างไม่หยุดยั้งทีละลูก

“จริงของเจ้า ตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนถึงปัจจุบัน มีเพียงสามคนเท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับจากมรดกของจักรพรรดิเต๋า ตัวอย่างเช่น ท่านเจ้าสำนักคนปัจจุบัน ผู้อาวุโสเผ่าวิหคอมตะและภพมังกรของฝ่ายสงวนคัมภีร์ คือผู้ที่ได้รับการยอมรับจากมรดกของจักรพรรดิเต๋าเมื่อหลายปีก่อน”

เนี่ยซิงเจินกล่าวอย่างสบาย ๆ “แต่เราก็ไม่ต้องกังวล ตอนนี้เราผ่านทางเดินดาวหางมาได้ครึ่งทางแล้ว ทั้งยังแซงหน้าพวกเขาไปไกลโข”

จงหลีหลัวพยักหน้า

ในฐานะศิษย์อาวุโสของฝ่ายใน พวกเขาครองอันดับหนึ่ง สอง และห้าในเทียบอันดับปราชญ์ดาราสวรรค์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้สึกเกรงกลัวต่อหลิงชิงอู๋ เยี่ยถัง และเฉินซีเลยสักนิด

เพราะหลิงชิงอู๋ก็เหมือนกับเฉินซี เพิ่งบรรลุขอบเขตเซียนปราชญ์ได้ไม่นาน ในขณะที่เยี่ยถังยังคงอยู่ที่ขอบเขตเซียนทองคำ แม้ว่าทั้งสามคนจะร่วมมือกัน ก็ไม่มีทางเป็นคู่แข่งของกลุ่มหลิงชิงอู๋ได้เลย

ไม่ต้องกล่าวถึงว่าพวกเขามีกู่เยวหรูอยู่ข้าง ๆ นางเป็นปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระสูงสุดมานานแล้ว และอาจารย์ของนางก็เป็นผู้อาวุโสเพียงคนเดียวในสำนักที่บรรลุความสำเร็จของเทพยันต์อักขระ ผู้อาวุโสปู้ผิง!

ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีนางคอยทำลายข้อจำกัดบนทางเดินดาวหาง พวกเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเฉินซีและคนอื่น ๆ แซงหน้า

นี่คือทางเดินดาวหางหรือ?

เมื่อเขาเห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่ลุกโชน และทางเดินที่พาดผ่านใจกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ราวกับเป็นทางเดินที่นำไปสู่สวรรค์ เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความประหลาดใจ

เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอก!

“ดูนั่น! เนี่ยซิงเจินและคนอื่น ๆ ได้ผ่านทางเดินดาวหางไปครึ่งทางแล้ว เราต้องรีบแล้ว เพื่อประโยชน์ในการสืบทอดมรดกของจักรพรรดิเต๋า” เยี่ยถังเพ่งมองไกลออกไป พลางกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา

เมื่อเปรียบเทียบกับเนี่ยซิงเจินและคนอื่นๆ เยี่ยถังก็เหมือนกับศิษย์ใหม่ และมันก็เหมือนกับความสัมพันธ์ของเขากับเฉินซีในขณะนี้ เพราะเมื่อตอนที่เยี่ยถังเพิ่งเข้าสู่สำนัก เนี่ยซิงเจินและคนอื่น ๆ ได้กลายเป็นศิษย์ที่มีชื่อเสียงของฝ่ายในไปแล้ว

เมื่อเผชิญกับคู่แข่งดังกล่าว เยี่ยถังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความกดดันในใจ

อย่างไรก็ตาม หลิงชิงอู๋หาได้สนใจไม่ และนางก็กล่าวอย่างสบาย ๆ “ไปกันเถอะ ข้าจะทะลวงข้อจำกัดต่าง ๆ ออกไป เจ้าสองคนคอยคุ้มกันข้า”

ขณะที่กล่าวนางก็กำลังจะลงมือทันที

“ช้าก่อน!” เฉินซีรีบหยุดนาง “ศิษย์พี่หลิง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ”

เขารู้ว่ามีอุกกาบาตจำนวนสามพันดวงบนทางเดินดาวหาง และพวกมันถูกปกคลุมไปด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ มากมายที่เรียกว่าข้อจำกัดสามพันประการ ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่จะผ่านพวกมันไปได้

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่กล้าปล่อยให้หลิงชิงอู๋จัดการกับข้อจำกัดต่าง ๆ เพราะการแสดงฝีมือของนางในแดนโลหิตเซียนยมโลกก่อนหน้านี้ ทำให้เฉินซีไม่อาจคลายความกังวลได้อย่างแท้จริง

หลิงชิงอู๋เหลือบมองที่เฉินซี “เจ้าคิดว่าข้าทำไม่ได้หรือ?”

“ศิษย์พี่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับข้อจำกัดมาบ้าง และข้าคิดว่าสามารถแบ่งเบาหน้าที่ของศิษย์พี่ได้” เฉินซีอธิบายด้วยท่าทีจริงจัง หลิงชิงอู๋เป็นคนที่กล่าวตรงไปตรงมา และกล่าวทุกอย่างที่อยู่ในใจ ซึ่งเฉินซีก็ทราบเรื่องนี้ดี ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกไม่พอใจกับท่าทีเช่นนี้

“ใช่แล้ว ให้ศิษย์น้องเฉินซีจัดการเถอะ” เยี่ยถังเคยได้ยินมาว่า แม้แต่หม้อสมบัติเก้าลึกล้ำของฝ่ายสงวนโอสถก็ได้รับการซ่อมแซมโดยเฉินซี ยิ่งไปกว่านั้น ผู้อาวุโสหลายคนของฝ่ายสงวนโอสถต่างยกย่องความสำเร็จในเต๋าแห่งยันต์อักขระของเฉินซีด้วยความเคารพอย่างสูง ดังนั้นการปล่อยให้เฉินซีจัดการกับข้อจำกัดในตอนนี้ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

สำหรับหลิงชิงอู๋… หากนางเป็นคนจัดการกับข้อจำกัด เมื่อกล่าวตามตรงแล้ว เยี่ยถังก็กังวลเล็กน้อยเช่นกัน เพราะเขากังวลว่านางจะควักผนึกบรรลัยสวรรค์ออกมาทุบทำลายข้อจำกัดอย่างดุเดือด

หลิงชิงอู๋ไม่ใช่คนที่กระทำตามอำเภอใจ นางจึงพยักหน้าทันที “ตกลง”

เฉินซีและเยี่ยถังสบตากัน จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มยิ้ม

หลิงชิงอู๋เหลือบมองที่เฉินซีและกล่าว “แต่หากเจ้าทำให้ข้าไม่สามารถเอาชนะเนี่ยซิงเจิน และคนอื่น ๆ …”

ก่อนที่จะสิ้นคำ เฉินซีก็ทุบหน้าอกเพื่อรับประกัน “อย่าได้กังวลศิษย์พี่ ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่”

หลิงชิงอู๋จ้องมองอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย เพราะถูกอีกฝ่ายขัดจังหวะ “ข้าหวังว่าเจ้าจะทำได้ เพราะข้าไม่อยากแพ้กู่เยวหรู!”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท