บทที่ 520 นัดหมาย
บทที่ 520 นัดหมาย
สวี่จื่อฉีพยักหน้าตอบ เพราะสินค้าประเภทนี้ต้องการให้เธอเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์กันทั้งนั้น แค่โรงงานขนาดเล็กยังไงก็ไม่น่าผลิตสินค้าที่ดีออกมาได้ เลือกโยนทิ้งไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“จื่อฉี หลังจากนี้ไม่ต้องลองใช้ผลิตภัณฑ์พวกนี้แล้ว ครั้งก่อนก็ทำให้ผิวเธอเกิดอาการแพ้จนต้องรักษาอยู่เป็นสัปดาห์ คงยังไม่ลืมใช่ไหม?” พี่จ้าวเอ่ยขึ้นมา
แม้งานส่วนใหญ่จะต้องผ่านเธอก่อน แต่สวี่จื่อฉีก็มีความปรารถนาแรงกล้าที่จะลบรอยแผลเป็นออก ดังนั้นเธอถึงไม่อาจอดใจทดลองของใหม่ได้ พี่จ้าวไม่ต้องการให้เกิดเรื่องขึ้นกับเธอ สินค้าที่ไม่รู้จักมีแต่จะส่งผลกระทบกับชื่อเสียงของเธอ
ดังนั้นสินค้าที่ผู้จัดการจากเจียงโจวฝากเอาไว้ก่อนหน้า พี่จ้าวที่รับมาจึงโยนลงถังขยะอย่างไม่ไยดี ไม่มีแม้ความคิดจะให้สวี่จื่อฉีทดลองใช้เลยด้วยซ้ำ
“รู้แล้วค่ะ” สวี่จื่อฉีพยักหน้าตอบ เพราะสินค้าครั้งก่อนก็ทำให้เธอกลัวขึ้นมาจริง ๆ และเพราะความล้มเหลวหลายต่อหลายครั้ง ในใจเธอจึงยอมแพ้เพราะความผิดหวัง
อู๋ฝานที่ออกจากโรงงานเภสัชกรรมกำลังมุ่งหน้าไปยังโรงงานเครื่องดื่ม
หากเทียบกับความยากลำบากของโรงงานเภสัชกรรมแล้ว ความก้าวหน้าของโรงงานเครื่องดื่มดีกว่ามาก แต่เพราะช่วงเวลาที่มีน้อยไปบ้าง รวมกับเป็นสินค้าใหม่ จึงทำให้ชาตื่นรู้ยังจับตลาดได้ไม่ดีมากนัก แต่อย่างน้อยผลตอบรับก็ค่อนข้างดี ลูกค้าที่ได้ดื่มต่างก็ประทับใจกันทั้งนั้น
“ปัจจุบันตัวแทนจำหน่ายที่ทางเรารับรองกำลังขอสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นครับ บางเมืองกระทั่งมีคนเสนอตัวมาเป็นตัวแทนจำหน่ายชาตื่นรู้ด้วยตัวเองกันแล้วครับ” จิงเฟิงเล่าสถานการณ์ให้อู๋ฝานได้ฟังอย่างอารมณ์ดี
แม้ก่อนหน้านี้เขาจะค่อนข้างมั่นใจในสินค้าเช่นชาตื่นรู้ที่ทางโรงงานผลิตขึ้น แต่ตัวกำหนดทิศทางก็ยังคงเป็นตลาด ขณะนี้ได้พบว่าตัวแทนจำหน่ายทั้งหลายตอบรับกลับมาเป็นอย่างดี จิงเฟิงจึงสามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้ กระทั่งมีแรงใจเปี่ยมล้น
“เรื่องตัวแทนจากเมืองอื่นคงต้องให้รอไปก่อนครับ” อู๋ฝานตอบ “ก่อนอื่นต้องเติมสินค้าให้กับตัวแทนปัจจุบันจนเพียงพอซะก่อน เมื่อไหร่ที่คำบอกเล่าปากต่อปากแพร่กระจายออกไป เมื่อนั้นจะเกิดเป็นคลื่นลูกใหญ่ในตลาดขึ้น ถึงเวลานั้นก็ต้องเตรียมพร้อมให้ดี สินค้าต้องมีเติมไม่ให้ขาด และยิ่งเสียงบอกเล่าดีขึ้นเท่าไหร่ พวกเราก็จะยิ่งถือความได้เปรียบจากตัวแทนจำหน่ายมากขึ้นเท่านั้นครับ”
“ทราบแล้วครับ” จิงเฟิงพยักหน้ารับ “ที่โรงงานของพวกเราให้คนงานทำงานกันสามกะ หนึ่งวันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงและทำงานเต็มอัตรา ในขณะเดียวกันก็เริ่มจัดตั้งโรงงานข้างเคียงขึ้นมาแล้วครับ เมื่อไหร่ถึงเวลาหากต้องการขยายกำลังการผลิตเป็นสองเท่าก็ไม่ใช่ปัญหาครับ”
อู๋ฝานพยักหน้ารับ “เมื่อไหร่ที่ถึงเวลา พวกเราจะกระจายความเติบโตออกไปรอบเจียงโจวจนถึงระดับทั่วประเทศครับ”
ชาตื่นรู้ได้รับความนิยม เรื่องนี้อู๋ฝานคาดเดาได้ตั้งแต่แรก ดังนั้นจึงขอให้จิงเฟิงเตรียมการจัดตั้งโรงงานเพิ่มอีกหนึ่งแห่ง เพราะหากยังไม่ขยับขยายกำลังการผลิต ชาตื่นรู้ก็ยังไม่มีคุณสมบัติพอจะไปจำหน่ายในระดับประเทศ
เรื่องนี้เขาไม่คิดเร่งร้อนไป อย่างไรก็แค่รอคำบอกเล่าปากต่อปากเรื่องชาตื่นรู้ออกไปก่อน และเมื่อนั้นก็แทบไม่จำเป็นต้องหาลู่ทางการขาย ตัวแทนทั้งหลายจะยินดีเดินมาเคาะประตูโรงงานกันด้วยตัวเอง หากถึงเวลาเปิดโต๊ะเจรจาฝ่ายที่รอตั้งรับจึงได้เปรียบ
จิงเฟิงพยักหน้ารับเป็นการบ่งบอกว่าเข้าใจ นับตั้งแต่ได้ทราบเสียงตอบรับจากตลาด จิงเฟิงก็ร้อนรุ่มมาโดยตลอด แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีทางผลักดันไปขายในระดับประเทศ แต่เขามั่นใจว่ามันจะสามารถชิงพื้นที่ส่วนแบ่งการขายระดับประเทศได้อย่างแน่นอน
ขณะอู๋ฝานออกจากโรงงานเครื่องดื่มก็พบว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังมองนาฬิกาจึงตรงกลับร้านโลกในแหวน ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปยังร้านคัลเลอร์แมน
“เถ้าแก่อู๋มาแล้วนี่เอง นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว” ที่ทางเข้าร้านคัลเลอร์แมน หวงถิงเฟิงยืนรออยู่ เห็นได้ชัดว่ามารอตั้งแต่ก่อนเวลานัดซะด้วยซ้ำ ขณะนี้เมื่อเห็นเป้าหมายปรากฏตัวจึงค่อนข้างประหลาดใจอยู่พอสมควร
งานเลี้ยงค่ำคืนนี้เป็นอย่างไรหวงถิงเฟิงทราบดี ไม่เพียงแต่เขา แต่ทั้งตระกูลน้อยใหญ่ในเจียงโจวที่ทราบเรื่องต่างก็เฝ้าจับตามอง ไม่ว่าจะทั้งจากฝั่งหวงถิงเฟิงหรือวังเมฆาสีชาดที่อยู่เบื้องหลังจนทำให้เรื่องราวแพร่กระจายออกไป พวกเขาก็ฝากคำพูดเอาไว้แล้วว่าจะปิดร้านโลกในแหวนภายในสามวัน แต่ในเมื่อเป้าหมายไม่คิดทำตาม ผู้คนในเจียงโจวจึงกำลังรอคอยการตอบสนองจากทางวังเมฆาสีชาด จึงทำให้วังเมฆาสีชาดต้องเปิดเผยเรื่องราวการนัดพบคืนนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ใครก็ตามนึกไปเอง
หวงถิงเฟิงและคนอื่นต่างก็คิดเห็นเช่นเดียวกันว่าอู๋ฝานไม่น่าจะมาเข้าร่วม อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นคนเพียงคนเดียว เช่นนั้นจะเอาอะไรมาเผชิญหน้ากับวังเมฆาสีชาด ที่เป็นถึงสำนักระดับสองจากทั้งทั่วประเทศ ต่อให้เขาเพียงลำพังแข็งแกร่งเพียงใด อย่างไรก็ไม่มีทางต่อกรกับวังเมฆาสีชาดได้
ดังนั้นหวงถิงเฟิงจึงค่อนข้างประหลาดใจที่เห็นชายหนุ่มมาตามนัดหมาย
แต่ภายหลังประหลาดใจได้ชั่วครู่ เขาก็ยังได้ข้อสรุปว่าอู๋ฝานไม่มีความสามารถพอจะคลี่คลายสถานการณ์ ต่อให้มีความกล้ามาตามนัดหมายจริง อย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์
ร้านโลกในแหวนถือว่าจบสิ้นแล้ว!
หากร้านโลกในแหวนต้องการทำกิจการต่อไป หนทางหนึ่งเดียวคือการมาอยู่ภายใต้ร่มธงของวังเมฆาสีชาด และเมื่อนั้นหวงถิงเฟิงต้องได้เป็นผู้จัดการ หรือไม่ก็มีชะตาต้องถูกทำลายให้พินาศ
“แล้วทำไมถึงจะไม่มาล่ะ?” อู๋ฝานตอบรับอย่างเฉยชาขณะก้าวเดินเข้าหาหวงถิงเฟิง “คิดว่าแค่หาสำนักมาขู่แล้วจะทำอะไรร้านของฉันได้อย่างนั้นเหรอ?”
“ก็ได้ผลไม่ใช่รึไง?” หวงถิงเฟิงตอบกลับ “อู๋ฝาน อย่าคิดว่าคนอย่างแกจะทำอะไรสำนักชั้นสองได้ กินยาผิดสำแดงหรือว่าฝันยังไม่ตื่นรึไงกัน?”
“คนที่ฝันยังไม่ตื่นจากฝันคงจะเป็นแก” อู๋ฝานมองหวงถิงเฟิง “ก็แค่สำนักชั้นสอง คิดว่าเป็นชัยชนะที่แน่นอนรึไง?”
“ฮ่า ฮ่า!” หวงถิงเฟิงหัวเราะตอบกลับมา “อู๋ฝาน ต้องบอกเลยนะว่าแกเป็นคนยังไงก็เป็นอย่างนั้น อย่างน้อยฉันก็นับถือที่แกพัฒนาร้านโลกในแหวนมาถึงระดับนี้ได้ในเวลาสั้น ๆ แต่ตอนนี้ความอวดดีของแกมันถึงเวลาจบสิ้นแล้ว ที่พัฒนาร้านขึ้นมาได้จนถึงขนาดนี้ก็แค่โชคดีเท่านั้นแหละ”
“ไม่ว่าจะโชคดีหรืออะไร อีกไม่นานก็ได้รู้เอง” อู๋ฝานตอบกลับอย่างเฉยชา “รับหน้าที่มานำทางก็นำทางไปสิ”
หวงถิงเฟิงมองอู๋ฝานด้วยสายตาประหนึ่งมีเปลวเพลิงลุกไหม้ เพราะไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเอาความหาญกล้ามาจากไหน แต่เรื่องในคืนนี้เป็นธุระของวังเมฆาสีชาด ไม่ใช่อะไรที่เขาจะจัดการเองได้ ดังนั้นจึงผายมือขวาเป็นการตอบรับ “เชิญ!”
อู๋ฝานตามหวงถิงเฟิงไปยังชั้นที่สอง ระหว่างทางก็ได้เห็นลูกค้าคุ้นหน้าคุ้นตาหลายคน เหล่านี้ต่างก็เคยเป็นขาประจำของร้านโลกในแหวนทว่าเวลานี้กลับมาเป็นขาประจำของร้านคัลเลอร์แมน อีกทั้งยังมีท่าทีราวกับไม่มีความรู้สึกผิดในตอนเห็นอู๋ฝานปรากฏตัวด้วยซ้ำ กระทั่งมองมาด้วยความสงสัยและคาดเดาไปว่าเรื่องในค่ำคืนนี้จะเป็นอย่างไรต่อ
การมาถึงร้านคัลเลอร์แมนของอู๋ฝานได้ถูกถ่ายทอดให้บรรดาทายาทรุ่นเยาว์ในเจียงโจวรับรู้ในเวลาสั้น ๆ
……………………………