บทที่ 264 หลิงเยว่ยอดศาสตราวุธ
บทที่ 264 หลิงเยว่ยอดศาสตราวุธ
ผู่ตานไม่คิดว่าสุราปราบมารจะเป็นสิ่งสำคัญที่ข่มขวัญปีศาจได้ ถ้าไม่ไปตอนนี้แล้วจะรอถึงเมื่อไหร่?
ไม่จำเป็นต้องเลือกประตูแล้ว ประตูไหนใกล้ที่สุดก็ไปประตูนั้น!
ผู่ตานแบกหลิงเยว่ วิ่งเข้าประตูหมายเลขสี่อย่างไม่ลังเล ลู่เป่ยเหยียนและคนอื่น ๆ รีบตามไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าคนนำทีมจะโชคร้าย แต่ตอนนี้ไม่สำคัญแล้ว!
ถึงแม้ปีศาจจะบอกว่าประตูทั้งห้าบานเป็นประตูมรณะ แต่ก็ยังดีกว่ายืนอยู่ที่นี่ปล่อยให้พวกมันกินทีละคำ!
คนอื่น ๆ ก็คิดแบบเดียวกัน พวกเขาวิ่งไปยังประตูที่ใกล้ที่สุดอย่างรวดเร็ว แปลกที่ปีศาจที่ยืนอยู่ตามมุมไม่ได้ออกมาขัดขวาง เหมือนกับว่าพวกมันยินดีที่จะเห็นมนุษย์เข้าไปตายด้านใน
ผู้บำเพ็ญคนแรกที่เข้าประตูหมายเลขสามกรีดร้องอย่างน่าสยดสยอง ผู้บำเพ็ญที่อยู่ข้างหลังรีบหันหลังกลับ แต่ก็ไม่ทัน มือแห้งกรังยื่นออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พร้อมกับลากเขาเข้าไป!
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงม กลิ่นเลือดปนกับกลิ่นอับของปีศาจลอยคลุ้งในอากาศ
ปีศาจทั้งสามยิ้มมุมปาก ถ้าตกอยู่ในมือพวกมัน ก็แค่ถูกกินเท่านั้น แต่ถ้าตกอยู่ในมือสัตว์ประหลาดในประตูและปีศาจชั้นสูง คงไม่ใช่แค่ถูกกินง่าย ๆ แบบนั้น…
มนุษย์ช่างไร้เดียงสาเสียจริง!
“อ๊าก!”
“ช่วยด้วย ปล่อยข้าออก…”
“ไม่นะ…”
เจ็ดคนที่เข้าประตูหมายเลขสี่ได้ยินเสียงจากนอกประตูหิน หัวใจพวกเขาสั่นสะท้าน ผู้บำเพ็ญที่ตามมาข้างหลังบางคนพลันแข้งขาอ่อนไปในทันที แต่ยังฝืนความหวาดกลัวแล้วคลานต่อไป
วิหารเสินโม่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ไม่สิ! ต้องเรียกว่าเป็นวิหารบูชาปีศาจมากกว่า… ข้างในเต็มไปด้วยปีศาจ แล้วชั้นบนสุดจะมีอะไรรออยู่?
จะได้เห็นแสงตะวันอีกไหมนะ?
ผู้บำเพ็ญทั้งหลายต่างสิ้นหวัง รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ควรมา แต่ความโลภกลับบดบังสายตาของพวกเขา!
“พวกข้างหน้าเดินเร็วเข้า บันไดกำลังจะหายไปแล้ว!”
ด้านหลังของทั้งเจ็ดคนมีผู้บำเพ็ญติดตามมายาวเหยียด ติงหลิวหลิ่วหันหลังกลับไปมอง คาดว่ามีราวสิบกว่าคนได้ ประตูหินที่เปิดอยู่ปิดลง บันไดกำลังหายไปจริง ๆ คล้ายกับถ้ำปีศาจหมื่นเนตรที่พวกเขาเคยประสบมาก่อนหน้านี้
ที่นี่… คงไม่ใช่ถ้ำปีศาจอีกกระมัง?
ลู่เป่ยเหยียนยิ่งเดินยิ่งใจหาย หากเป็นเช่นนั้นจริง โดยไม่มีศิษย์น้องหลิงดูดซับพลังมาร อีกาสุริยันตัวนั้นคงไม่มาช่วยพวกเขาเป็นครั้งที่สองแน่ เพียงอาศัยพวกเขาเอง จะสามารถไปถึงชั้นบนสุดและหาทางออกได้อย่างราบรื่นหรือ?
ไม่เหมือนกับที่ทุกคนคาดการณ์ไว้ ประตูหมายเลขสี่ไม่มีอสูร ไม่มีดวงตาปีศาจ แม้แต่มารก็ไม่มี ห่างจากพวกเขาไปหลายร้อยขั้นบันได ตั้งตระหง่านเป็นประตูหินสูงใหญ่ ประตูหินถูกเปิดออกเล็กน้อย ดูเหมือนมีแสงอาทิตย์ส่องลอดผ่านเข้ามา
แสงอาทิตย์!
ผู้บำเพ็ญที่ถูกขังอยู่ในถ้ำมืดมิด ไม่รู้ว่าผ่านมานานเท่าใดแล้ว เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าแสงอาทิตย์นั้นสว่างจ้าและอบอุ่นเพียงนี้ พวกเขาทั้งตัวเต็มไปด้วยพลัง แม้แต่บาดแผลบนร่างก็ไม่รู้สึกเจ็บ สายตาจับจ้องไปที่ประตูหิน วิ่งพรวดไปข้างหน้าราวกับคนบ้า
ผู่ตานที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดถูกเบียดไปอยู่ตรงกลาง ผู้บำเพ็ญที่วิ่งไปถึงด้านหน้าสุดผลักประตูหินออก ภายนอกเขียวขจีไปทั่ว ภูเขาสูงมีน้ำไหล นกร้องเจื้อยแจ้วอย่างร่าเริง แสงอาทิตย์ส่องแสงลงสู่พื้นดิน ทิวทัศน์ที่พบเห็นได้ทั่วไปในยามปกติ ยามนี้กลับมีค่ายิ่งนัก
“ท่านพี่ใหญ่ นี่จะเป็นกับดักอีกหรือไม่?”
ผู้บำเพ็ญที่กำลังจะก้าวเข้าประตูหินเพื่อโอบกอดแสงอาทิตย์ ได้ยินคำพูดของศิษย์น้อง จึงหยุดฝืนเท้ากลับมาอย่างยากลำบาก
บางทีอาจเป็นกับดักอีก…
“ไม่มีทางเป็นกับดักหรอก ต้องเป็นทางออกแน่!”
ผู้บำเพ็ญที่ยืนอยู่ในลำดับที่สาม ดึงคนที่ขวางทางออก พลันยกเท้าก้าวเข้าไป
คนที่ก้าวเท้าเข้าไปในประตูหินไม่ทันได้ส่งเสียงร้องโหยหวน ก็กลายเป็นเถ้าถ่านต่อหน้าทุกคน
“นี่มันที่บ้าบออะไรกันเนี่ย!”
“หรือว่าพวกเขาตั้งใจจะขังพวกเราให้ตายที่นี่กันแน่?”
“ไม่แปลกใจเลยที่เงาดำบอกว่าประตูทั้งห้าบานเป็นประตูมรณะ มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ…”
ความสิ้นหวังกำลังแผ่กระจายไปทั่ว ผู้บำเพ็ญที่อยู่ด้านหลังมองไปยังบันไดและประตูหินที่หายไป จู่ ๆ ก็หยิบยานบินออกมา พลังชีวิตเพิ่งจะถูกส่งเข้าไปในตัวเรือ… ยานบินพลันระเบิดโดยไร้เสียง แม้แต่เจ้าของยานบินก็ถูกระเบิดปลิวร่วงหล่นลงไปในความมืดมิดไม่มีที่สิ้นสุด
ด้านหลังคือความตาย ข้างหน้าก็คือความตาย ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตายอยู่ดี!
“อ๊าก! ถ้าจะต้องตายอย่างอึดอัด ข้าขอตายเองดีกว่า!”
ผู้บำเพ็ญที่ทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้วหยิบมีดสั้นขึ้นมาจ่อคอตัวเอง กำลังจะตัดคอตายให้รู้แล้วรู้รอด ผู่ตานพลันพูดขึ้น
“ท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งรีบฆ่าตัวตาย ข้าพาพวกเจ้าออกไปได้ แต่ว่า…”
“แต่อะไร?”
ชายคนที่ถือมีดไม่กลัวตาย แต่ถ้าจะมีชีวิตรอดได้ ใครเล่าจะอยากตาย?
“แน่นอนว่าต้องมีค่าตอบแทน!”
ว่านอวี้เฟิงก้าวออกมา “นอกจากอาวุธ ประจำกายและโอสถของพวกเจ้าแล้ว ของมีค่าทั้งหมดเอามาให้หมดเลย”
“พวกเจ้ามีฝีมือพาพวกข้าออกไปจริง ๆ หรือ?”
ผู้อาวุโสด้านตำราการวางแผนผังเอ่ยปากตั้งข้อสงสัย เขารู้ดีว่าประตูหินมีการผนึกของเผ่าปีศาจอยู่ชั้นหนึ่ง เพียงแต่เขาเรียนมาไม่ลึกซึ้ง ไม่สามารถมองทะลุหรือแก้ไขได้
“ขอเพียงพาข้าออกไปได้ ต่อให้ข้าเป็นหมาให้พวกเจ้าก็ยอม!”
หนึ่งในพวกผู้บำเพ็ญหัวเถิกดึงผู้อาวุโสด้านตำราการวางแผนผังที่ยังจะถามต่อ แล้วส่งแหวนมิติของตนเองออกไป
เมื่อเขาส่งของมีค่าออกไป แม้คนอื่น ๆ จะลังเลใจ แต่ก็ส่งตามไปด้วย เพราะคุณธรรมของศิษย์อาวุโสสำนักหลานเทียนยังพอเชื่อถือได้
ผู้อาวุโสด้านตำราการวางแผนผังมองโม่จวินเจ๋อที่สลบไสลครู่หนึ่ง เขารู้ว่าผู้นี้ก็เป็นผู้สืบทอดตำราการวางแผนผังเช่นกัน และความสามารถด้านตำราการวางแผนผังไม่ด้อยไปกว่าวิชากระบี่ คงจะบอกวิธีออกจากเขตแดนปีศาจก่อนจะหมดสติไป?
คนสุดท้ายก็ส่งของมีค่าออกมา
อย่างน้อยพวกเขายังเหลือโอสถและอาวุธประจำกายไว้รักษาชีวิต ผู้บำเพ็ญที่คิดแบบนี้รู้สึกว่าไม่ขาดทุน!
ผู่ตานจริง ๆ แล้วไม่ค่อยมั่นใจนัก เขาไม่มีความสามารถหรอก แต่คนที่เขาแบกอยู่ต้องมีแน่นอน แม้สลบไปแล้วก็น่าจะได้ผลอยู่กระมัง?
“เร็วเข้า บันไดกำลังหายไปเร็วขึ้น!”
ติงหลิวหลิ่วที่เดินอยู่ด้านหลังสุดทั้งเตือนทั้งวิ่งขึ้นไป ความคิดของปีศาจที่ออกแบบกลไกประตูหินพวกนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน หากไม่ใช่เพราะมีศิษย์น้องห้า พวกเขาต้องตายที่นี่แน่!
ผู่ตานสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก้าวเข้าประตูหิน ภาพสยดสยองที่คาดไว้ว่าจะกลายเป็นเถ้าถ่านไม่ปรากฏขึ้น เขาแบกหลิงเยว่ออกมาได้สำเร็จ!
ผู่ตานเหลือบมองหลิงเยว่ที่สลบ ไม่คิดเลยว่า… แม้ศิษย์น้องจะหมดสติไป ก็ยังมีประโยชน์กว่าพวกเขายี่สิบกว่าคน
“ผ่านไปได้ง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ?”
ผู้บำเพ็ญตกใจ จากนั้นก็เป็นความยินดีอย่างใหญ่หลวง
บางทีผู่ตานอาจมีศาสตราวุธที่ทรงพลังจนไม่สนใจเขตแดนทั้งหมด สมกับเป็นสำนักหลานเทียนที่ใหญ่โตมั่งคั่ง แม้แต่ศาสตราวุธที่เก่งกาจขนาดนี้ก็ยังมี!
ผู่ตานคว้ามือของหลิงเยว่ที่ห้อยอยู่บนไหล่ ยื่นไปที่เขตแดน ลู่เป่ยเหยียนคว้ามือนั้นไว้ พาโม่จวินเจ๋อออกมา
ว่านอวี้เฟิงกำลังจะยื่นมือออกไป แต่ถูกผู้บำเพ็ญที่อยู่ข้าง ๆ ดึงออก “เพื่อความปลอดภัย พวกข้าที่จ่ายเงินควรออกไปก่อน!”
คำพูดนั้นมีเหตุผล ผู้บำเพ็ญทั้งหลายเห็นด้วยอย่างยิ่ง หากพวกเขาทั้งเจ็ดออกไปพร้อมกันแล้วทิ้งพวกข้าไว้ จะทำอย่างไร?
ติงหลิวหลิ่วและว่านอวี้เฟิงไม่มีทางเลือก ต้องเข้าแถวหลังสุด
โม่จวินเจ๋อที่ได้สติแล้ว สิ่งแรกที่เห็นคือหลิงเยว่ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ “…”
ลมหายใจเหลือเพียงนิดเดียว ก็ยัง…
โม่จวินเจ๋อครุ่นคิด แต่เพียงแค่ขยับเล็กน้อย ความจุกเสียดก็พุ่งขึ้นมาในลำคอ ทั้งกลิ่นหอมหวานและกลิ่นคาวผสมปนเปกันไปหมด