บทที่ 265 ลงนรกไปสำนึกผิด
บทที่ 265 ลงนรกไปสำนึกผิด
หลิงเยว่ผู้เป็นเครื่องมือ พึ่งมือเดียวช่วยผู้คนออกมาได้ถึงยี่สิบแปดคน
ผู้บำเพ็ญที่หนีรอดมา ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมา ได้ยินเสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว อาบแสงอาทิตย์อันอบอุ่น ความหม่นหมองหลายวันหายไปหมดสิ้น ทุกอย่างช่างงดงามเหลือเกิน
ผู่ตานกำลังจะวางหลิงเยว่ลงบนพื้นหญ้า ทว่าภาพตรงหน้ากลับบิดเบี้ยวไปในพริบตา
หญ้าเขียวใต้เท้ากลายเป็นสีดำ ลื่นเหมือนหนังงู นกน้อยหลากสีกลายร่างใหญ่ขึ้น ขนก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีดำ ต้นไม้เขียวขจีมีใบหน้าอันน่ากลัวและบิดเบี้ยวโผล่ออกมาจากลำต้น ใบไม้เขียวชอุ่มกลายเป็นเคียวสีดำ
ภูเขากลายเป็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ยักษ์ แม่น้ำใสกลายเป็นสีดำ มีเปลวไฟสีดำลุกโชนอยู่บนผิวน้ำ ดอกไม้สูงขึ้น ใบมีฟันเลื่อยงอกออกมา ส่วนดวงอาทิตย์ใหญ่บนฟ้ากลายเป็นโลงศพ
ฟ้าดินเปลี่ยนสี อสูรที่หลับใหลลืมตาขึ้น มีควันสีแดงเข้มลอยอยู่ในอากาศ…
ผู้บำเพ็ญทุกคนขาอ่อนไปตาม ๆ กัน ความดีใจที่หนีรอดมาได้ไม่เหลือแม้แต่น้อย
ปีศาจช่างโหดร้ายเหลือเกิน ทุกครั้งมอบความหวังในการมีชีวิตรอดให้พวกเขาเล็กน้อย แล้วก็ทำลายมันด้วยมือตัวเอง แม้แต่คนที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุดยังทนความหวังที่แตกสลายครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ไหว
“พี่ใหญ่ ขอบคุณที่ดูแลข้ามาหลายปี หากชาติหน้า…”
หากชาติหน้า ผู้บำเพ็ญไม่มีชาติหน้าหรอก! หรือต่อให้มี ปีศาจตรงหน้าก็คงไม่ปล่อยวิญญาณของพวกเขาไปแน่
หญิงสาวยิ้มเศร้าสร้อย ตอนจบของพวกเขาคงมีแค่ถูกอสูรฉีกกินเท่านั้น หรือไม่ก็… ถูกบูชายัญให้กับโลงศพที่ลอยอยู่บนฟ้า ซึ่งมีอสูรผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วน
“พวกเราต้องหนีออกไปได้แน่!”
ชายหนุ่มคว้ามือหญิงสาว พูดอย่างหนักแน่น… หนักแน่นจนแม้แต่ตัวเองยังไม่เชื่อว่าจะหนีออกไปได้จริง แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่ระดับบำเพ็ญขอบเขตฝ่าทัณฑ์สวรรค์ยังติดอยู่ที่นี่ นับประสาอะไรกับพวกเขาที่มีกำลังเพียงขอบเขตจินตานและขอบเขตปฐมวิญญาณเท่านั้น
สิ่งที่อยู่ใต้เท้าขยับขึ้นมาอย่างกะทันหัน
โม่จวินเจ๋อเงยหน้า งูดำก้มหน้า คนหนึ่งคนกับงูหนึ่งตัวจ้องมองกันอย่างเงียบงัน
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ “…”
เพียงแค่งูตัวที่ถูกเหยียบอยู่นี้ พวกเจ้ายี่สิบแปดคนรวมกำลังกันก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเอาชนะได้ นับประสาอะไรกับงูดำที่มีอยู่ทั่วพื้นดิน
สวรรค์และพื้นพิภพเต็มไปด้วยปีศาจร้าย ไร้ซึ่งความหวัง ยิ่งไม่มีความปรารถนาที่จะลงมือสู้
บางคนห่อไหล่นั่งขัดสมาธิอยู่บนตัวงูยักษ์ รอคอยความตายอย่างสงบ ในเมื่อต่อต้านไม่ได้ก็ควรตายอย่างสง่างาม
“โอ้…”
“จริง ๆ แล้วจะไม่ให้โอกาสมีชีวิตรอดเลยหรือ?”
ผู้บำเพ็ญที่หนีรอดจากปากปีศาจมาได้อย่างยากลำบาก อีกฝั่งของประตูหินกำลังจะเสียสติ ไม่สามารถทนรับการกระทบกระเทือนได้ จึงร้องไห้ออกมาทันที
“ถ้ารู้ว่าชั้นบนสุดเป็นแบบนี้ ข้าคงจะฆ่าตัวตายให้ตายไปเลยดีกว่า!”
ทั้งห้าประตูหินมีคนหนีออกมาแล้ว แต่จำนวนลดลงไปกว่าครึ่ง ผู้บำเพ็ญที่มีชีวิตเข้าสู่ชั้นบนสุดมีไม่ถึงร้อยคน
“มาสิ กินข้าซะ!”
ผู้บำเพ็ญที่โมโหยกอาวุธในมือฟันใส่งูยักษ์ใต้เท้าอย่างดุดัน ประกายไฟกระเด็น แต่ผิวงูไม่มีรอยแม้แต่น้อย ดวงตางูยักษ์เต็มไปด้วยความดูถูกและไม่สนใจ ราวกับว่ากินเขาเข้าไปจะทำให้ปากมันสกปรก หางงูที่ยาวและหนาตีผู้บำเพ็ญที่โมโหจนกระเด็นไป ดอกไม้กินคนนับไม่ถ้วนรอรับอาหารที่ส่งมาถึงปาก
นกปีศาจที่อาศัยอยู่บนต้นไม้หน้าคนมองดูด้วยสายตาเย็นชา ไม่มีความปรารถนาที่จะกินแม้แต่น้อย
ในฐานะผู้บำเพ็ญขอบเขตปฐมวิญญาณ ผู้บำเพ็ญที่โมโหย่อมไม่ยอมให้ตัวเองกลายเป็นอาหาร จึงยกดาบฟาดใส่ดอกไม้กินคน คนกับดอกไม้ต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ฝูงปีศาจมองดูอย่างเบื่อหน่าย แล้วก็นั่งยอง ๆ ต่อ ไม่มีท่าทีว่าจะลงมือ ราวกับว่า… กำลังรอคอยบางสิ่งอยู่
“พวกมันกำลังรอให้สิ่งที่อยู่ในโลงศพตื่นขึ้นมาหรือ?”
“ในโลงศพ… จะเป็นใคร?”
“จะเป็นปีศาจหรือไม่?”
สามารถมีวิหารที่หรูหราและใหญ่โตเช่นนี้ บางทีอาจจะเป็นปีศาจจริง ๆ
“ไม่ใช่ปีศาจ หลังจากสงครามระหว่างเทพและปีศาจสิ้นสุดลง ราชาปีศาจหนีกลับไปยังเขตแดนปีศาจ โดยส่งปีศาจมาปิดกั้นทั้งเขตแดนปีศาจไว้ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือปีศาจล้วนเข้าออกไม่ได้”
“ข้าคิดว่าคงเป็นผู้พิทักษ์ที่ไม่ทันได้เข้าไปในเขตแดนปีศาจ”
พวกผู้บำเพ็ญเริ่มคาดเดาว่าคนในโลงศพมีตำแหน่งอะไร ถ้าฆ่าเขาได้ก็จะสามารถออกจากที่นี่ได้หรือไม่?
“หากจะลงมือ ต้องฉวยโอกาสขณะที่ปีศาจในโลงศพยังไม่ตื่นตัว จัดการมันให้สิ้นซาก!”
ผู้บำเพ็ญจากห้าประตูหินมารวมตัวกันที่ข้าง ๆ ลู่เป่ยเหยียนและคนอื่น ๆ
“ท่านอาจารย์โม่ ท่านคิดว่าแผนนี้เป็นอย่างไร?”
โม่จวินเจ๋อที่ถูกถาม มองไปยังผู้บำเพ็ญที่พูด แต่ไม่ได้ตอบอะไร
“ท่านอาจารย์โม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส กลัวว่าจะไม่สามารถเป็นคนแรกที่ลงมือได้”
ลู่เป่ยเหยียนขวางหน้าโม่จวินเจ๋อไว้ ส่วนติงหลิวหลิ่วพูดขึ้นอย่างโกรธเคือง “พวกข้าสำนักหลานเทียนทั้งเจ็ดคน สามคนบาดเจ็บ สองคนยังสลบอยู่ ไม่มีทางเป็นกองหน้าได้!”
คิดจะให้พวกเขาไปตายก่อนเหรอ ช่างฝันไปเถอะ!
ผู่ตานหัวเราะเย็นชา พวกเขาไม่เคยคิดหรือว่า ตอนนี้ที่ไม่ถูกปีศาจโจมตีอาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ทำอะไรกับโลงศพ หากแตะต้อง ไม่ว่าท้องฟ้าหรือใต้ดินต้องคลุ้มคลั่งในทันที ถึงตอนนั้นทุกคนต้องตาย!
“ในเมื่อไม่มีใครอยากลงมือก่อน งั้นก็รอตายด้วยกันเถิด!”
ไม่มีใครยอมเป็นกองหน้า ต่างคนต่างอยากให้คนอื่นไปตายก่อน สุดท้ายเลยคุยกันไม่ลงตัว
ทุกคนมองหน้าด้วยความเงียบ
“อ๊าก! มือข้า!”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นทำลายความเงียบ มือทั้งสองข้างของผู้บำเพ็ญคนหนึ่งเริ่มเน่าเปื่อย ตามด้วยลำคอ ใบหน้า… จากนั้นทั้งตัวก็เน่าเปื่อยไปหมด ในพริบตากลายเป็นกองเนื้อเน่า ๆ
“ไม่นะ! ช่วยข้าด้วย!”
ผู้บำเพ็ญคนที่สองใบหน้าเริ่มเน่าเปื่อยคว้าชายเสื้อของว่านอวี้เฟิง สายตาเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอด
ว่านอวี้เฟิงเพิ่งจะป้อนโอสถถอนพิษให้ผู้บำเพ็ญคนที่สาม สี่ และห้า… ที่เริ่มเน่าเปื่อย พวกเขาล้มลงบนตัวอสรพิษดำ กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง มือควักเนื้อเน่าออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
เหตุการณ์น่ากลัวยิ่งนัก
“หมอกแดงมีพิษ!”
ติงหลิวหลิ่วกินโอสถถอนพิษ จากนั้นก็แงะปากอวี้เจินและหลิงเยว่ พลันป้อนยาให้ ส่วนยาที่เหลือกำลังจะเก็บ แต่กลับโดนผู้บำเพ็ญที่อยู่ข้าง ๆ แย่งไปเสียก่อน
“รอออกไปก่อน ข้าจะส่งหินวิญญาณมาซื้อโอสถถอนพิษให้เอง!”
ไร้ยางอาย!
ติงหลิวหลิ่วโมโหมาก แต่ชายวัยกลางคนผู้นี้นางรู้จัก เขาอยู่ขอบเขตปฐมวิญญาณขั้นปลาย นางต่อกรกับเขาไม่ได้หรอก!
“ไม่ได้ผล โอสถถอนพิษไม่ได้ผล!”
ผู้บำเพ็ญที่กินโอสถถอนพิษยังคงถูกพิษเล่นงานอยู่ดี เขาตาเบิกโพลง ยกมือเน่า ๆ ขึ้นมาคว้าปกเสื้อของว่านอวี้เฟิง “เอาสุราปราบมารมาให้ข้า ต้องเป็นเพราะพวกเจ้าเจ็ดคนกินสุราปราบมารไว้ก่อนแล้ว ถึงได้ไม่โดนพิษ!”
ผู่ตานฉวยดาบใหญ่จากมือของลู่เป่ยเหยียนชูขึ้นฟันมือเน่าเปื่อยคู่นั้นจนขาด เพื่อช่วยเหลือว่านอวี้เฟิงออกมา “ลืมตาของเจ้าดูให้ดี คนส่วนใหญ่ไม่ได้รับพิษด้วยซ้ำ ส่วนพวกเจ้าที่ได้รับพิษก็จงไปนรกแล้วสำนึกผิดให้ดี!”
สุราปราบมารมีค่ายิ่งนัก สุราในมือพวกเขาใกล้จะหมดแล้ว ไม่มีทางที่จะมอบให้ผู้อื่นได้!
ว่านอวี้เฟิงรังเกียจ จึงใช้พัดปัดมือเน่าที่เกาะอยู่บนปกเสื้อออก แล้วใช้วิชาชำระล้างตัวเองอีกหลายรอบ แล้วมองผู่ตานที่กำลังชูดาบขู่ผู้บำเพ็ญที่คิดจะแย่งชิงสุราปราบมาร ด้วยสายตาปลาบปลื้ม ศิษย์น้องรักของเขาโตขึ้นแล้ว รู้จักปกป้องพวกเขาอีกด้วย!
แล้วยังมองเขาด้วยสายตาราวกับมองลูกชาย ผู่ตานโมโหจัด หากไม่ใช่เพราะนึกถึงสายใยร่วมสำนัก เขาคงควักตาว่านอวี้เฟิงทั้งสองข้างแน่!
หมอกแดงมีพิษร้ายแรงทำให้สถานการณ์วุ่นวายยิ่งนัก!