บทที่ 1389 คำเชิญของเฉินซี
บทที่ 1389 คำเชิญของเฉินซี
เมื่อมาถึงอุกกาบาตลูกที่ 653 เยี่ยถังได้รับผลกระทบอันน่าสะพรึงกลัว จนเกือบตกจากอุกกาบาตลูกนั้น
ในยามวิกฤติเช่นนี้ เฉินซีกลับเป็นผู้ที่ได้สติและคว้าตัวเยี่ยถังเอาไว้ได้ทัน ทำให้เยี่ยถังสามารถรอดพ้นจากหายนะนี้ได้
ฟิ่ว!
เมื่อเห็นฉากดังกล่าว เฉินซีก็เข้าใจทุกอย่างทันที และกระบี่เซียนนภาม่วงก็ปรากฏตัวขึ้นในมือของเขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะฟันมันออกไปในอากาศ บังเกิดเป็นปราณกระบี่ขนาดมหึมาพุ่งออกไป
ตูม ตูม ตูม!
คลื่นเสียงระเบิดดังก้องในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เหล่าดาวหางที่กระหน่ำเข้าใส่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถูกฟันออกเป็นสองซีก ก่อนจะแตกสลายกลายเป็นผุยผง ทำให้ท้องฟ้านั้นว่างเปล่าไปชั่วขณะ
อานุภาพของกระบวนท่านี้ ทำให้หลิงชิงอู๋หรี่ตาลงทันที นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่านอกจากการบ่มเพาะในเต๋าแห่งยันต์อักขระที่น่าเกรงขามแล้ว การบ่มเพาะในเต๋าแห่งกระบี่ของเฉินซีจะบรรลุถึงระดับดังกล่าว
เหตุผลนั้นง่ายมาก ประการแรก หลังจากเอาชนะสุสานแห่งราชันนิรันดร์ มันช่วยให้การบ่มเพาะในเต๋าแห่งกระบี่บรรลุขอบเขตเซียนกระบี่ขั้นสมบูรณ์ในรวดเดียว และอยู่ห่างจากการพุ่งเข้าสู่ขอบเขตราชากระบี่เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น รัศมีปราชญ์เต๋าที่เฉินซีได้รับอย่างไม่หยุดหย่อนบนทางเดินดาวหาง ทำให้เขาค่อย ๆ หลอมรวมตราศักดิ์สิทธิ์เบญจธาตุและตราศักดิ์สิทธิ์แห่งพายุ ณ ตอนนี้ เขากำลังหลอมรวมตราศักดิ์สิทธิ์ไท่จี๋ และทั้งหมดนี้ทำให้พละกำลังได้รับการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นจึงสามารถทำลายล้างดาวหางที่พุ่งเข้ามาทั้งหมดภายในกระบวนท่าเดียว
อย่างไรก็ดี ตราศักดิ์สิทธิ์ไท่จี๋ถูกบรรจุด้วยกฎของมหาเต๋าแห่งแสง มหาเต๋าแห่งความมืด มหาเต๋าแห่งหยิน และมหาเต๋าแห่งหยาง ซึ่งยากที่จะหลอมรวมมากกว่าตราศักดิ์สิทธิ์แห่งพายุและเบญจธาตุมากนัก
ณ ปัจจุบัน รัศมีปราชญ์เต๋าที่เขาดูดซับ ทำให้หลอมรวมตราศักดิ์สิทธิ์ไท่จี๋ได้ไม่ถึงหนึ่งส่วนเท่านั้น
หลังจากที่ทำลายฝูงดาวหางด้วยกระบวนท่าเดียว เฉินซีพลันกล่าวว่า “ศิษย์พี่เยี่ย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ”
“แล้วใครจะทำลายข้อจำกัดเล่า?” หลิงชิงอู๋ถามอย่างตรงไปตรงมา
“แน่นอนว่าเป็นข้า” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่คงต้องใช้เวลาเพิ่มอีกสักหน่อย”
“หากเป็นเช่นนั้น แล้วเราจะตามกู่เยวหรูทันได้อย่างไร?” หลิงชิงอู๋ขมวดคิ้วและพึมพำเสียงเครียด
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและจ้องมองไปที่ทางเดินอันไกลโพ้น “ศิษย์พี่หลิงไม่จำเป็นต้องกังวล ทุกอย่างมิอาจรู้ได้ จนกว่าจะมีคนไปถึงข้อจำกัดสุดท้าย”
หลิงชิงอู๋พยักหน้า “เราคงทำได้เพียงเท่านี้”
“หืม?” ทันใดนั้น เฉินซีก็สังเกตเห็นว่าในระหว่างที่เขากำลังกล่าวคุยกับหลิงชิงอู๋ เยี่ยถังก็ตกอยู่ในสภาวะแห่งการรู้แจ้งถึงเต๋า และพลังชีวิตในร่างกายของเยี่ยถังก็พลุ่งพล่านไปด้วยรัศมีปราชญ์เต๋า
“นี่เขาทะลวงการบ่มเพาะในช่วงเวลาเช่นนี้จริง ๆ หรือ?” หลิงชิงอู๋ตกตะลึง นางรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย
เฉินซีกลับยิ้ม “นี่เรียกว่าพรในคราเคราะห์ มารอกันสักพักเถอะ ข้อจำกัดบนทางเดินดาวหางนี้จะยากเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเวลาที่ใช้ในการทำลายข้อจำกัดก็จะนานขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ดังนั้นเรายังพอมีเวลา”
ทันทีที่สิ้นคำ เฉินซีก็ฟันกระบี่เซียนนภาม่วงเพื่อคุ้มกันเยี่ยถัง
หลิงชิงอู๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และนางก็ตระหนักได้ว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
แน่นอนว่า หากเยี่ยถังก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนปราชญ์ได้สำเร็จ แม้จะไม่ได้สร้างกฎปราชญ์เต๋า แต่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่เขาครอบครองจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในเวลานั้น เฉินซีก็จะสามารถรับมือกับข้อจำกัดต่าง ๆ ได้โดยไร้กังวล
…
“ข้าไม่คิดว่า เยี่ยถังจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนปราชญ์ ดูเหมือนว่าการต่อสู้ในแดนของจอมดาบที่สุสานแห่งราชันนิรันดร์ จะเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างมาก” ภายนอกแดนโบราณจักรพรรดิเต๋า ความประหลาดใจเข้าปกคลุมดวงตาของหัวเจี้ยนคง
หวังต้าวหลูกลับขมวดคิ้วแทนเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่อาจเดินหน้าได้หรอกหรือ? นี่มันไม่ดีเท่าไหร่นัก”
“หรือว่าในครั้งนี้ กลุ่มของเนี่ยซิงเจินจะได้รับการยอมรับจากมรดกของจักรพรรดิเต๋า?”
“เราบอกได้แค่ว่า โอกาสของพวกเขามีมากขึ้น”
“ไว้รอดูเถอะ มันไม่ง่ายที่จะเอาชนะข้อจำกัดทั้งสามพันประการ ยิ่งกว่านั้น หนึ่งร้อยข้อจำกัดสุดท้าย มันได้ขัดขวางศิษย์มากมายนับไม่ถ้วนมาตั้งแต่สมัยโบราณ”
“แน่นอน เมื่อหลายปีก่อน ท่านเจ้าสำนักและคนอื่น ๆ ก็ติดอยู่กับข้อจำกัดร้อยประการสุดท้ายเช่นเดียวกัน พวกเขาต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือน ก่อนจะเอาชนะมันได้อย่างยากลำบาก ทว่าโชคดีที่ครั้งนั้นไม่มีใครแข่งขันกับกลุ่มของเจ้าสำนัก ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์คงไม่อาจคาดเดาได้ ฮ่า ๆๆ”
“เฮ้ เจ้าแพะเฒ่า เจ้าไม่กลัวว่าท่านเจ้าสำนักจะได้ยินหรือ เดี๋ยวเขาก็มาหักกระดูกผุ ๆ ของเจ้าหรอก”
“หุบปากซะ!”
บรรดาผู้อาวุโสพูดคุยกันอย่างกระตือรือร้น หัวข้อก็หนีไม่พ้นเรื่องวีรกรรมของเจ้าสำนักเมื่อครั้งที่อยู่บนทางเดินดาวหางเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ผู้อาวุโสส่วนใหญ่เผยยิ้มออกมาอย่างต่อเนื่อง
…
“โอ้ พวกเขาหยุดแล้ว ฮ่า ๆ! เป็นเพราะเยี่ยถังกำลังทะลวงขอบเขตในตอนนี้ เยี่ยมมาก หากเป็นเช่นนี้เราต้องชนะอย่างแน่นอน!”
บนอุกกาบาตที่อยู่ลึกเข้าไปในทางเดินดาวหาง จงหลีหลัวสังเกตเห็นฉากนี้จึงหัวเราะออกมาดังลั่น ความกดดันที่อยู่ในใจสลายหายไปสิ้น
“พอได้แล้ว ในฐานะศิษย์ร่วมสำนัก มีเหตุผลอันใดที่จะต้องรู้สึกยินดีกับความโชคร้ายของพวกเขา?” เนี่ยซิงเจินขมวดคิ้วและจ้องจงหลีหลัวเขม็ง “เลิกฟุ้งซ่าน แล้วจดจ่อกับการคุ้มกันศิษย์น้องกู่จะดีกว่า”
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ในใจของเขากลับรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย
ตอนนี้ เมื่อเห็นว่าพวกของเฉินซีต้องหยุดรอ เพื่อให้เยี่ยถังได้ทะลวงขอบเขต มันก็บรรเทาความกดดันที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ได้อย่างมาก
นี่อาจเป็นโอกาสที่ฟ้าประทานมาให้ เพื่อให้เราได้รับการยอมรับจากมรดกของจักรพรรดิเต๋า? ความคิดดังกล่าวพลันปรากฏในใจของเนี่ยซิงเจินโดยไม่ได้ตั้งใจ
…
เป็นเวลาสามวันแล้ว เยี่ยถังยังคงอยู่ในสภาวะทะลวงขอบเขต พลังชีวิตในร่างกายลุกโชนดั่งไฟในเตาหลอมและเปล่งรัศมีของปราชญ์เต๋าออกมา ทว่าเป็นการยากที่จะระบุว่าเมื่อใดที่เขาจะบรรลุขอบเขตได้สำเร็จ
ในช่วงเวลาสามวันนี้ เฉินซีและหลิงชิงอู๋ คอยปกป้องเขาอยู่เสมอ มันเป็นเรื่องปกติสำหรับเฉินซี แต่หลิงชิงอู๋กลับมีร่องรอยของความกังวลอยู่บนใบหน้า
เนื่องจากในช่วงเวลาสามวันนี้ กลุ่มของเนี่ยซิงเจินได้มาถึงอุกกาบาตลูกที่ 1,976 แล้ว และอีกประมาณยี่สิบลูก ก็จะไปถึงอุกกาบาตลูกที่สองพัน
ในขณะที่ กลุ่มของพวกเขายังคงอยู่บนอุกกาบาตลูกที่ 653 ช่องว่างระหว่างทั้งสองกลุ่มก็ถูกดึงห่างออกจากกันทันทีด้วยอุกกาบาตกว่าหนึ่งพันสามร้อยลูก!
สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร?
นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องใช้เวลาเพื่อเอาชนะอุกกาบาตกว่าหนึ่งพันสามร้อยดวง! เพื่อไล่ตามกลุ่มของเนี่ยซิงเจินให้ทัน!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลิงชิงอู๋จะไม่กังวลได้อย่างไร?
นางตระหนักดีว่า โลงศพเซียนยมโลกถูกเก็บซ่อนอยู่ที่ด้านหลังทางเดินดาวหาง และตราบใดที่พวกเขาผ่านมันไป พวกเขาก็จะมาถึงสระโลหิตอดีตชาติในตำนาน
มรดกของจักรพรรดิเต๋าถูกฝังอยู่ในบริเวณที่สระโลหิตอดีตชาติ!
“ศิษย์พี่หลิง ท่านได้เข้าร่วมกับสมาคมศิษย์แล้วหรือไม่? จู่ ๆ เสียงของเฉินซีก็ดังอยู่ในหูของนาง ทำให้หลิงชิงอู๋กลับมามีสติอีกครั้ง จากนั้นนางก็ขมวดคิ้ว ในยามนี้แล้ว แต่เจ้านี้กลับกังวลเรื่องนั้นอยู่อีก?
นางจ้องมองเฉินซีอย่างโกรธเคืองและกล่าวเสียงดังชัดเจน “ไม่!”
เฉินซีพลันยิ้มและกล่าวอย่างจริงจัง “ศิษย์พี่หลิง หากเป็นเช่นนั้น ข้าขอเชิญท่านเข้าร่วมพันธมิตรดาราของข้าได้หรือไม่?”
“พันธมิตรดาราของเจ้า?” หลิงชิงอู๋ตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเรื่องนี้ แต่หลังจากนั้น นางก็เม้มริมฝีปากและกล่าว “ไว้ถามข้าอีกครั้ง หลังจากที่เรากลับจากแดนโบราณจักรพรรดิเต๋าแล้ว ข้าไม่มีอารมณ์คิด”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตัดสินใจแล้ว” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ตัดสินอะไร!?” หลิงชิงอู๋เบิกตากว้าง “ไยเจ้าเป็นคนเจ้าเล่ห์เช่นนี้? ข้าไปตกลงที่จะเข้าร่วมตอนไหน?”
เฉินซีตระหนักถึงอารมณ์ของหลิงชิงอู๋อย่างชัดเจน และรู้ว่านางไม่ได้โกรธ ดังนั้นเขาจึงยิ้มพลางไหวไหล่ “แต่ศิษย์พี่ก็ไม่ได้ปฏิเสธไม่ใช่หรือ?”
หลิงชิงอู๋ตกตะลึง นางกัดริมฝีปากสีแดงระเรื่อของตนและครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะกล่าว “ข้าตกลงที่จะเข้าร่วมพันธมิตรดาราของเจ้าก็ได้ แต่เงื่อนไขคือเราต้องตามพวกเขาให้ทัน เจ้าว่าอย่างไร?”
เฉินซีตอบตกลงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “แน่นอน!”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายตอบตกลงอย่างรวดเร็ว มันทำให้หลิงชิงอู๋รู้สึกว่าคนผู้นี้อาจจะรอให้นางกล่าวคำนี้อยู่แล้ว
“ข้าก็เห็นด้วยเหมือนกัน” ทันใดนั้น เยี่ยถังก็กล่าวขึ้น เขาลุกขึ้นยืน ทั้งร่างเปล่งรัศมีแห่งเซียน เขาบรรลุขอบเขตได้สำเร็จแล้ว
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เฉินซีรีบประสานมือ “ขอแสดงความยินดีแก่ศิษย์พี่เยี่ยถัง”
“ฮึ่ม! โชคดีที่เจ้าบรรลุสำเร็จ หากช้ากว่านี้ ข้าอาจจะฆ่าเจ้าไปแล้ว” หลิงชิงอู๋จ้องเยี่ยถังอย่างขุ่นเคือง
“ขอบคุณทั้งสองคนจริง ๆ” เยี่ยถังกล่าวอย่างจริงจัง
เฉินซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่เยี่ยถังตกลงที่จะเข้าร่วมพันธมิตรดาราของข้าเช่นนี้ ข้ารู้สึกตื้นตันใจจริง ๆ”
“เอาล่ะ เลิกไร้สาระได้แล้ว รีบออกเดินทางเถอะ” หลิงชิงอู๋กล่าวอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้ากังวล
เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพยักหน้า “มาเริ่มกันเลย”
ขณะที่กล่าว เขาได้เพ่งความสนใจไปที่ข้อจำกัดที่อยู่ข้างหน้าแล้ว
“ฮ่า ๆๆ! ศิษย์พี่หลิง ข้าไม่ต้องการให้ท่านช่วยข้าจัดการกับดาวหางแล้ว”
เคร้ง!
เยี่ยถังถือดาบอมตะสีเขียวไว้ในมือ ในขณะที่หัวเราะดังลั่น กลิ่นอายของเซียนปราชญ์พลุ่งพล่านอยู่ภายในร่างกาย ทำให้เขาเต็มไปด้วยการแสดงออกที่เย่อหยิ่ง
“ฮึ่ม! แล้วแต่เจ้าเถอะ!” หลิงชิงอู๋ชำเลืองมองด้วยหางตา จากนั้นนางก็หันไปทำลายดาวหางที่โจมตีเข้ามาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ไปกันเถอะ!” ในเวลาเพียงชั่วพริบตา เฉินซีโบกมือและนำกลุ่มไปข้างหน้า
หลิงชิงอู๋และเยี่ยถังตกตะลึง เพราะพวกเขายังไม่ได้ทำลายดาวหางเลย!
“ไปกันเถอะ!” หลังจากที่พวกเขามาถึงอุกกาบาตลูกถัดไป ทั้งสองคนยังไม่หายจากอาการตกใจ แต่เฉินซีก็โบกมืออีกครั้ง จากนั้นจึงเคลื่อนตัวไปทางอุกกาบาตลูกถัดไป
“นี่…” หลิงชิงอู๋และเยี่ยถังสบตากัน “มันไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือ?”
“ไปกันเถอะ!”
คราวนี้ เฉินซีเพียงเอ่ยคำสองคำออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะเดินหน้าต่อไป
หลิงชิงอู๋และเยี่ยถังตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง ในขณะนี้ เฉินซีดูเหมือนจะอหังการถึงขีดสุด และความเร็วที่เขาทำลายข้อจำกัด ก็เร็วกว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก!
“ไปกันเถอะ!”
“ไปกันเถอะ!”
“ไปกันเถอะ!”
…
หลังจากนั้น หลิงชิงอู๋และเยี่ยถังรู้สึกราวกับว่ากำลังฝัน พวกเขาเดินผ่านอุกกาบาตลูกแล้วลูกเล่า และความเร็วนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการเดิน เพราะมัน… แทบจะวิ่งแล้ว!