บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1390 มีของดีให้ดู

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1390 มีของดีให้ดู

บทที่ 1390 มีของดีให้ดู

เมื่อมาถึงอุกกาบาตดวงที่ 753 ความเร็วเฉินซีก็ลดลงในที่สุด ห่างจากจุดก่อนหน้าถึงขั้นที่ผ่านอุกกาบาตไปร้อยดวง

“ใช้เวลานานเท่าไหร่?”

“สามสิบห้าลมหายใจ!”

ตอนนี้ หลิงชิงอู๋และเยี่ยถังถึงได้หายตกใจ เมื่อลองย้อนคิดดูดี ๆ ก็สังเกตว่าพวกเขาใช้เวลาสั้น ๆ แค่สามสิบห้าลมหายใจในการเอาชนะข้อจำกัดบนอุกกาบาตนับร้อยดวงเหล่านี้

หรือก็คือในสามสิบห้าลมหายใจนี้ เฉินซีไม่ได้เพียงพาพวกเขารับมือกับข้อจำกัดทรงอำนาจนับร้อยเท่านั้น แต่ยังข้ามผ่านอุกกาบาตมาแล้วร้อยดวงด้วย

ซึ่งเป็นเรื่องน่าตกใจยิ่ง

เพราะตอนที่เพิ่งเข้าสู่ทางเดินดาวหาง พวกเขาไม่ได้ทำความเร็วได้เช่นนี้ แล้วนี่ก็ผ่านอุกกาบาตมาแล้วกว่าหกร้อยดวง ข้อจำกัดก็คงจะต้องมีอำนาจสูงกว่าเดิมมาก ใครจะไปคิดว่าความเร็วของเฉินซีกลับดีดขึ้นสูงขนาดนี้ได้?

สำหรับหลิงชิงอู๋และเยี่ยถัง ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นภายในช่วงเวลาสามสิบห้าลมหายใจนั้นเป็นดั่งความฝัน

แต่พวกเขายังไม่ทันได้ตื่นจากฝัน เฉินซีก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง!

อีกทั้งความเร็วยังไม่ลดน้อยลงด้วย!

ทั้งสองตกตะลึงจนพูดไม่ออก

เกิดอะไรขึ้นกับแน่? หรือว่าที่ผ่านมาเฉินซีจะยั้งมือมาตลอด?

ถึงขนาดที่หลิงชิงอู๋สงสัยว่าเฉินซีจงใจปิดบังเพื่อให้นางเข้าพันธมิตรดาราหรือไม่ เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่รับมือกับข้อจำกัดก่อนหน้านี้ด้วยความเร็วเช่นนี้เล่า?

คนผู้นี้เจ้าแผนการจริง ๆ!

พริบตาเดียวพวกเขาก็มาถึงอุกกาบาตดวงที่ 1,389 แล้ว และความเร็วของเฉินซีก็ลดลงมาก

จึงทำให้หลิงชิงอู๋และเยี่ยถังที่กำลังสนุกกับความรวดเร็วปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง

“ไม่ต่อเล่า?” หลิงชิงอู๋ยุให้เขาไปต่อ “ห่างจากพวกนั้นแค่อีกหกร้อยดวงเท่านั้นเอง ใส่แรงเพิ่มเข้าไปเป็นสองเท่าเลยสิศิษย์น้องเฉินซี”

เฉินซีหัวเราะเสียงแห้งขึ้นมาทันใด เขารีบประเมินข้อจำกัดถัดไปแล้วตอบว่า “ก่อนหน้านี้ที่ไปเร็วเพราะข้าต้องหักความสนใจไปคะเนข้อจำกัดบนอุกกาบาตระหว่างที่ศิษย์พี่เยี่ยถังกำลังทะลวงขอบเขต ส่วนข้าเข้าใจมันมานานแล้ว จึงรับมือกับพวกนั้นได้ง่าย แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว”

ได้ยินดังนั้น หลิงชิงอู๋และเยี่ยถังจึงเข้าใจ ทั้งหมดล้วนเป็นผลจากการที่เฉินซีคอยประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่องมาตลอดสามวันที่ผ่านมา พอได้ยินคำอธิบายจึงรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

แต่ก็ใช่ว่ามันจะปกติไปเสียทั้งหมด เพราะจะมีใครที่สามารถคุ้มกันเยี่ยถังไปด้วยและคะเนหาวิธีรับมือกับข้อจำกัดจำนวนมากไปด้วยเหมือนอย่างเฉินซีได้กัน?

อีกทั้งใครจะคิดหาวิธีรับมือข้อจำกัดกว่าแปดร้อยอย่างภายในเวลาสามวันได้บ้าง?

อย่างไรระหว่างกลุ่มของเขากับกลุ่มของเนี่ยซิงเจินก็อยู่ห่างกันถึงหนึ่งพันสามร้อยดวง แต่ภายในระยะเวลาไม่ถึงเค่อ พวกเขาก็ย่นระยะเข้ามาได้กว่าหกร้อยดวง เช่นนี้เรียกได้ว่ามหัศจรรย์ยิ่ง!

“นั่น… ไม่เร็วไปหน่อยหรือ?” บนอุกกาบาตดวงที่ 1,977 ณ ทางเดินดาวหาง จงหลีหลัวหรี่ตาลงเมื่อเห็นกลุ่มเฉินซีรุดหน้ามาไม่หยุดเหมือนคนกำลังวิ่ง ถึงขั้นอ้าปากค้างมองด้วยความตะลึง

“นี่มัน… ไม่ใช่ปกติทั่วไปจริง ๆ…” เนี่ยซิงเจินก็ตกตะลึงเช่นกัน

เร็วเกินไปแล้ว!

กลุ่มเฉินซีใช้ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ เดินทางผ่านอุกกาบาตกว่าแปดร้อยดวง หากยังคงความเร็วเช่นนี้ต่อไป พวกเขาทั้งสามก็คงไร้ความจำเป็นในการแข่งขันกับกลุ่มเฉินซีอีก!

“ศิษย์น้องเฉินซีของเราเก่งกล้าสามารถจริง ๆ ช่วงเวลาสามวันนี้ เขาคิดหาวิธีรับมือข้อจำกัดอยู่ตลอด ไม่เช่นนั้นคงทำเช่นนี้ไม่ได้” กู่เยวหรูที่อยู่ด้านหน้าพลันเอ่ยตามที่คิด “ทว่าความรอบรู้ในเต๋ายันต์อักขระของเขาก็สูงจนน่าตกใจ ข้าอาจมองเขาไม่ขาดอยู่บ้าง แต่เขาไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าแน่นอน ถึงขั้นที่… อาจจะเหนือกว่าข้าอยู่เล็กน้อยด้วยซ้ำ” เมื่อเนี่ยซิงเจินกับจงหลีหลัวได้ยินก็ถอนหายใจโล่งอก พร้อมกับตกตะลึงไปด้วย กู่เยวหรูไม่สามารถล่วงรู้ถึงความรอบรู้ในเต๋ายันต์อักขระของเฉินซีได้? ถึงขั้นอีกฝ่ายอาจเหนือกว่านางอยู่เล็กน้อยด้วย?

ในใจพวกเขาเกิดความรู้สึกหนักหน่วงขึ้นมาทันใด

ตอนนี้เยี่ยถังทะลวงขึ้นขอบเขตเซียนปราชญ์ ส่วนเฉินซีก็มีความรอบรู้ในเต๋ายันต์อักขระขั้นสูง ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันขึ้นมาอีกครั้ง

“ไม่ต้องกังวลไป อย่างไรเราก็ห่างจากพวกเขามาก” กู่เยวหรูคลี่ยิ้ม พูดแล้วนางก็ใช้โอสถทิพย์เส้นโคจรใจสวรรค์อีก “ศิษย์พี่เนี่ยและศิษย์น้องจงหลี อย่าเสียสมาธิไปกับพวกเขาอีกเลย เรามุ่งหน้าไปเต็มกำลังดีกว่า ไม่เช่นนั้น เราอาจเป็นฝ่ายเสียเปรียบ…”

เนี่ยซิงเจินกับจงหลีหลัวนั้นในใจตกตะลึง ไม่กล้าว่อกแว่กกับสิ่งอื่นใดอีก

เวลาค่อย ๆ ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า

กลุ่มของเฉินซีและกลุ่มของเนี่ยซิงเจินต่างพากันแข่งขันสุดกำลังกันอย่างเงียบเชียบบนทางเดินดาวหาง

หากให้เปรียบเทียบกัน กลุ่มเฉินซีทำความเร็วได้มากกว่าเล็กน้อย ขยับลดระยะห่างขึ้นได้ตลอด จึงทำให้หลิงชิงอู๋และเยี่ยถังค่อนข้างตื่นเต้น ยิ่งมีกำลังวังชา มีกำลังใจสู้ต่อ

แต่พอกลุ่มเนี่ยซิงเจินสัมผัสได้ว่ากลุ่มเฉินซีค่อย ๆ เข้าประชิดมากขึ้นเรื่อย ๆ ในใจก็ให้รู้สึกหนักหน่วง

มีเพียงกู่เยวหรูที่จดจ่ออยู่กับข้อจำกัดและไม่รู้ถึงสถานการณ์ใด แต่ในใจนางก็รู้ดีว่าด้วยความสามารถของเฉินซี กลุ่มของเขาคงจะเริ่มไล่ตามกลุ่มของนางทัน ทำให้ในใจนางรู้สึกกดดันไม่ต่างกัน

ยิ่งสถานการณ์เป็นเช่นนี้ นางจึงยิ่งไม่กล้าว่อกแว่กสนใจสิ่งอื่นอีก

สองวันให้หลัง กลุ่มเฉินซีก็อยู่ห่างจากกลุ่มเนี่ยซิงเจินเพียงอุกกาบาตหนึ่งร้อยดวง!

หรือก็คือในชั่วระยะเวลาสองวันนี้ กลุ่มเฉินซีย่นระยะห่างระหว่างกันได้เฉลี่ยแล้ววันละกว่าสองร้อยดวง ใครได้เห็นตัวเลขนี้เป็นต้องตกใจกันถ้วนหน้า

เพราะเลขนี้หมายความว่าความรอบรู้ของเฉินซีในเต๋ายันต์อักขระนั้นเหนือกว่ากู่เยวหรู!

“บัดซบ! คนพวกนี้เหมือนผีสางที่ไม่ยอมไปไหนเลยจริง ๆ!” ตอนนี้จงหลีหลัวพึมพำเสียงแผ่ว หว่างคิ้วเต็มไปด้วยอารมณ์หดหู่

“หุบปาก! อย่ารบกวนสมาธิศิษย์น้องกู่สิ!” เนี่ยซิงเจินตวัดสายตามอง

เนี่ยซิงเจินรู้สึกหนักใจเช่นกัน แถมยังรู้สึกกดดันมากด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ยิ่งพวกเขามุ่งหน้าผ่านทางเดินดาวหาง ความเร็วของกู่เยวหรูก็ยิ่งลดลง แม้จะเป็นความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยแทบสังเกตไม่ได้ แต่พอสะสมมาชั่วระยะหนึ่ง ก็สามารถเห็นความแตกต่างได้ชัดเจน

อีกทั้งยังมุ่งหน้าไป ดาวหางที่ร่วงลงมาจากฟ้าพร่างพราวก็ยิ่งหนาแน่นและแข็งแกร่งขึ้น ยิ่งทำให้เดินทางได้ลำบากขึ้นมาก มีแต่ต้องใช้ยาเซียนเติมปราณเซียนพิสุทธิ์ที่หายไปอย่างรวดเร็ว

“พี่เนี่ย หาก… หากพวกเขาตามเราทัน เราจะทำอย่างไรดี?” จงหลีหลัวพลันถามขึ้น

เนี่ยซิงเจินชะงักไป สุดท้ายเขาก็ได้แต่โบกมือทำทีเป็นรำคาญแล้วเอ่ยขึ้นว่า “หยุดพูดเถอะ พวกนั้นตามทันเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน!”

จงหลีหลัวขมวดคิ้วแน่น เอ่ยเสียงดุร้าย “หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าจะไม่ยอมให้นำหน้าเราไปได้ง่าย ๆ แน่!”

เนี่ยซิงเจินสะดุ้ง ก่อนเอ่ยเสียงเครียดขึ้นมา “ศิษย์น้องจงหลี อย่าคิดทำอะไรผลีผลาม! อย่าลืมว่าทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ไม่อาจรอดพ้นสายตาศิษย์พี่หัวเจี้ยนคงไปได้!”

จงหลีหลัวเม้มปากเงียบไปทันใด แต่ในใจคิดว่า สำนักศึกษาไม่ได้มีกฎว่าห้ามเราสู้กันเองนี่นา? ในเมื่อมันเป็นการแข่งขัน หากไม่ถึงขั้นบาดเจ็บก็คงไม่เป็นไรกระมัง?

พร้อมกันนั้น หลิงชิงอู๋และเยี่ยถังเองก็กำลังพูดคุยอยู่เช่นกัน

“ศิษย์น้องเยี่ยถัง หากเราตามทัน เจ้าคิดว่าพวกนั้นจะลงมือหรือไม่?” หลิงชิงอู๋ถาม

เยี่ยถังชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นส่ายหน้ายิ้ม “คงจะไม่ อย่างไรเราก็มาจากสำนักเดียวกัน การแข่งขันเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กันเพื่อแก้ปัญหาหรอก”

หลิงชิงอู๋ส่งเสียงไม่พอใจก่อนกล่าว “ก็อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ นี่เป็นมรดกจักรพรรดิเต๋าเชียวนะ ใครจะไม่อยากได้บ้าง? เพื่อของเช่นนั้น พวกนั้นคงไม่ยอมให้เรานำหน้าไปได้แน่”

เยี่ยถังคลี่ยิ้ม “ศิษย์พี่หญิง ท่านคิดว่าพวกนั้นจะขวางไม่ให้เรานำหน้าหรือ?”

หลิงชิงอู๋พยักหน้า “อย่างไรก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือไว้ก่อน”

เวลาอีกสองวันผ่านพ้นไป

ไม่ว่าเนี่ยซิงเจินกับพวกจะไม่ยินยอมเพียงใด แต่ก็ต้องยอมรับว่ากลุ่มเฉินซีคงจะนำหน้าพวกเขาไปได้ในไม่ช้า!

ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่อุกกาบาตดวงที่ 2630 ส่วนกลุ่มเฉินซีอยู่ดวงที่ 2595 แล้ว ห่างกันเพียงสามสิบห้าดวงเท่านั้น!

ระยะห่างเพียงเท่านี้ ไม่ต้องส่งกระแสปราณหากันหรอก ตะโกนคุยกันก็ยังได้ยินเลย

ไม่ว่าจะพยายามควบคุมความรู้สึกมากเเพียงใด เนี่ยซิงเจินก็ยังเผยใบหน้ามืดมนออกมา จงหลีหลัวเองก็มีสีหน้าหมดหวัง

ส่วนกู่เยวหรู นางยังจดจ่ออยู่กับข้อจำกัดเต็มที่ สมกับการที่มีความรอบรู้ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระสูงสุดในเต๋ายันต์อักขระ

“เตรียมตัวสู้เถอะ ข้าว่าสีหน้าเจ้าพวกนั้นไม่เป็นมิตรเท่าไหร่เลย” หลิงชิงอู๋หันมองจงหลีหลัวแล้วส่งกระแสปราณหาเยี่ยถัง

เยี่ยถังพยักหน้าอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อ เพราะเขาเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน

ส่วนเฉินซีนั้นก็เหมือนกับกู่เยวหรู กำลังจดจ่อสมาธิเพื่อรับมือข้อจำกัดตรงหน้าไม่ว่อกแว่กเลยสักนิด

ดังนั้นจึงไม่เห็นว่าบรรยากาศรอบข้างพลันเปลี่ยนเป็นเงียบสนิทและกดดันกว่าเดิมมาก ทั้งยังเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเผชิญหน้า

“มีของดีให้ดูแล้ว!” นอกแดนโบราณจักรพรรดิเต๋า หัวเจี้ยนคงพลันเอ่ยขึ้นมา มุมปากที่ปกติดูเย็นชาไร้อารมณ์พลันยกโค้งขึ้นด้วยความสนุกสนาน

หวังต้าวหลูและจั่วชิวไท่อู่ดูตื่นเต้นขึ้นมาทันทียามได้ยิน เข้ามาถามกันไม่หยุด พอรู้ว่าข้ามอุกกาบาตอีกสามสิบดวงไปได้ กลุ่มเฉินซีก็จะไล่ตามกลุ่มเนี่ยซิงเจินทัน ทั้งคู่ก็ร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ

“แต่มันยังไม่จบเท่านี้หรอก ไม่แน่ว่า… พวกเขาอาจจะต่อสู้กันก็ได้!” หัวเจี้ยนคงเอ่ยเสียงเข้ม ประโยคนี้เรียกความสนใจจากผู้อาวุโสทั้งหลายรอบข้างได้ทันที การต่อสู้หรือ? น่าสนใจนี่!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท