บทที่ 1178 ตอนพิเศษ (63)
บทที่ 1178 ตอนพิเศษ (63)
ผลงานการเป็นนายอำเภอของลู่ฉาวจิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ ทว่านายกองเซี่ยวทางนั้นกลับเกิดเรื่องผิดปกติขึ้นแล้ว
เมื่อลู่ฉาวจิ่งปรากฏตัวในค่ายของนายกองเซี่ยวอีกครั้งจึงได้เห็นรูปร่างผอมโซของ ‘ทหาร’ ที่เดินผ่านไปผ่านมา แววตาเขาพลันปรากฏความเคร่งขรึม
ดูเหมือนต้องรวบแหแล้ว
ถึงแม้เขาจะซื้อตัวคนที่อยู่รอบกายนายกองเซี่ยว อีกทั้งยังส่ง ‘ทหาร’ ที่กำลังจะตายออกไปอย่างเงียบ ๆ และหาที่ทำการรักษาให้พวกเขา ทว่าขณะที่เวลาล่วงเลยไป ผู้คนที่ไม่สามารถทนต่อการทรมานก็มีจำนวนมากขึ้นเช่นกัน เช่นนี้จะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ได้
อย่างไรแผนการก็ใกล้จะสำเร็จแล้ว ถึงเวลารวบแหสักที
“เกิดอะไรขึ้น?” ลู่ฉาวจิ่งเข้ามาในค่ายทหาร
“บิดาถูกหลอกแล้ว” นายร้อยเฉินเอ่ยด้วยความโมโห “เถ้าแก่จางที่เจ้าแนะนำผู้นั้น นึกไม่ถึงว่าจะฉวยโอกาสแย่งชิงผลประโยชน์รวบสินค้าของเราไปแล้ว”
“เถ้าแก่จางอะไร?” ลู่ฉาวจิ่งมองนายร้อยเฉินด้วยความประหลาดใจ “ข้าไม่ได้แนะนำเถ้าแก่จางให้ท่าน ท่านติดต่อกับเขาได้อย่างไร?”
นายร้อยเฉินถึงกับสะอึก
เขาหันไปมองนายกองเซี่ยวที่สีหน้าไม่น่าดูชม ภายในใจรู้สึกผิด
“ข้าเห็นว่าเขาต้องการสินค้ามาก คิดว่าคงน่าเสียดายหากต้องพลาดโอกาสในการทำการค้าครั้งนี้จึงติดต่อเขาไป ไม่ใช่ว่าเจ้ายุ่งอยู่กับการเป็นขุนนางชั้นล่างหรือ? ข้าเห็นว่าเจ้าติดพันจึงไม่ได้หารือด้วย”
นายกองเซี่ยวมองลู่ฉาวจิ่ง “ตาเฒ่านั่นกล้าหลอกเรา ตอนนี้กำลังหลบซ่อนตัว เจ้าแต่ไรมาก็ชาญฉลาด มีวิธีใดที่จะจับเขาออกมาหรือไม่?”
ลู่ฉาวจิ่งส่ายหน้าแล้วถอนหายใจเบา ๆ “ท่านนายกอง ท่านก็เห็นแล้ว ต่อให้ข้าเก่งกาจเพียงใดก็เพียงแค่มีฝีมือไม่เลว ทว่าเรื่องเสาะหาข่าวคราวข้ายังไม่สู้นายร้อยเฉิน”
“เช่นนั้นเจ้าคิดวิธี…”
“ท่านนายกอง ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องทำอย่างไร พวกนั้นไม่ใช่พ่อค้าของแคว้นเรา หากแต่มาจากอาณาจักรเฟิ่งหลิน ท่านนายกอง ท่านมีเส้นสายมากมาย จักต้องมีวิธีมากกว่าข้าเป็นแน่”
นายกองเซี่ยวขมวดคิ้ว
“ท่านนายกอง ดูเหมือนว่าจะมีเพียง…”
“ลู่เจ๋อ เจ้าลืมแล้วกระมังว่าผู้ใดให้สถานะเจ้ามาถึงทุกวันนี้?”
“แน่นอนว่าต้องขอบคุณท่านนายกองที่ส่งเสริมข้า” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “ไม่เช่นนั้นข้าน้อยจะมีวันนี้ได้อย่างไร?”
“เจ้าจดจำได้ก็ดี เช่นนั้นตอนนี้ข้ามีบางอย่างให้เจ้าทำ”
หลิวจิ่วจู๋นับตั๋วเงินแล้วผลักตั๋วเงินหลายใบไปกองตรงหน้าหยางชิงซือ
หยางชิงซือมองดูจำนวนพวกมันแล้วเอ่ย “มากเกินไปหน่อยหรือไม่?”
“เจ้าช่วยข้ามามากมาย นี่เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ ข้าไม่ได้ให้เจ้ามากไปหรอก”
“เช่นนั้นข้าขอรับไว้แล้วกัน” หยางชิงซือเอ่ยพร้อมกับยิ้มกริ่ม “เลี้ยงลูกจำเป็นต้องใช้เงินพอดี ต่อไปลูกข้าเกิดมาจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินเครื่องนุ่งห่ม”
“ลูก?”
“อืม” หยางชิงซือยกมือขึ้นลูบท้อง “ข้าท้องแล้ว”
หลิวจิ่วจู๋ตกใจ “เรื่องตั้งแต่เมื่อใดกัน? ไยข้าไม่รู้?”
“วันนี้พึ่งตรวจมา ข้าไม่ได้บอกเจ้าอยู่หรือ? เจ้าเป็นคนแรกที่รู้เชียวนะ!” หยางชิงซือกล่าว “เจ้านั่นไม่ได้กลับมานานแล้ว ข้าไม่บอกเขาหรอก ให้เขาค่อย ๆ เสียใจไปเถอะ!”
หลิวจิ่วจู๋ยื่นมือไปลูบท้องของหยางชิงซือ “สัมผัสไม่ได้เลย!”
“ข้าพึ่งท้อง ท้องยังเล็กอยู่” หยางชิงซือไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เจ้าทำคลอดมาก็หลายครั้ง เหตุใดแม้กระทั่งเรื่องนี้ยังไม่รู้เล่า?”
หลิวจิ่วจู๋หัวเราะคิกคัก “ไม่ใช่ว่าเพราะข้าตื่นเต้นเกินไปหรือ?”
ที่บ้านมีเรื่องมงคล หลิวจิ่วจู๋จึงบอกให้ห้องครัวเตรียมอาหารให้เหมาะกับสตรีมีครรภ์มากขึ้น ทั้งยังกำชับกับห้องครัวว่าต่อไปอย่าเตรียมอาหารที่เป็นของแสลงซึ่งหยางชิงซือต้องหลีกเลี่ยง
หยางชิงซือไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ทว่านางก็สัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีจากสหายของตน ภายในใจจึงรู้สึกอบอุ่น
หลิวจิ่วจู๋พาหยางชิงซือไปที่ร้านผ้าเพื่อเลือกผ้าสำหรับตัดเสื้อผ้าตัวน้อยให้กับลูก
“จู๋จือ ลูกยังเล็ก มีที่ใดทำเสื้อผ้าตัวเล็กให้เขาเร็วถึงเพียงนี้?”
“พวกเราค่อย ๆ ทำไป ทำให้มากหน่อย นับแต่แรกเกิดจนถึงเจ็ดแปดขวบก็ได้!” หลิวจิ่วจู๋เอ่ย “อย่างไรเสียปกติก็ไม่มีอะไรต้องทำ ตอนนี้ไม่ได้มีเรื่องสนุก ๆ ให้ทำแล้วหรือ?”
“เจ้าทำงานรัดตัวจนไม่มีเวลาพักผ่อน ไม่มีอะไรทำที่ใดกัน?”
“ตอนนี้ข้าส่งต่อเรื่องในมือให้คนข้างล่าง เช่นนี้ข้าก็ว่างแล้ว”
เสียงเป่าปี่ตีกลองดังแว่วมา
ทั้งสองหยุดฝีเท้าลง
หลิวจิ่วจู๋เห็นขบวนงานแต่งผ่านไปจึงรีบบังหยางชิงซือไว้ด้านหลัง
ในยามนี้ก็เผยให้เห็นเจ้าบ่าวที่อยู่บนหลังม้าที่กำลังผ่านไป
เมื่อหยางชิงซือเห็นเจ้าบ่าวบนหลังม้านางก็บ่น “ที่แท้ก็เป็นเขา โชคไม่ดีจริง ๆ”
คนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากเฝิงหลานเซิง
เฝิงหลานเซิงก็เห็นหลิวจิ่วจู๋แล้วเช่นกัน สีหน้าเขาเผยความกระอักกระอ่วนออกมา
เมื่อขบวนงานแต่งงานผ่านไป หยางชิงซือจึงเอ่ยขึ้น “เฝิงหลานเซิงผู้นี้น่ารังเกียจจริง ๆ โชคดีที่เจ้าไม่ได้แต่งให้เขา”
“เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว พวกเราไปซื้อผ้ากันเถอะ!” หลิวจิ่วจู๋ดึงหยางชิงซือเดินจากไป
“ฮูหยินลู่…” ถังลี่เฉิงเดินจูงมือถังจื่อหลิงเดินมาจากฝั่งตรงข้าม เมื่อเห็นทั้งสองคนจึงเป็นฝ่ายกล่าวทักทาย “พวกท่านกำลังจะไปที่ใดหรือ?”
“พวกเรากำลังจะไปซื้อผ้าน่ะ”
“ซื้อผ้า? ท่านลืมไปแล้วหรือว่าข้าทำกิจการอะไร? พวกท่านอยากจะเลือกผ้าชนิดใด เพียงแค่ไปที่ร้านข้า ข้าจะขายให้พวกท่านในราคาต่ำที่สุด”
“อันที่จริงข้าก็คิดเช่นนั้น แต่ดูเหมือนเรามักจะเอาเปรียบท่านอยู่บ่อยครั้งจึงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ในเมื่อเถ้าแก่ถังกล่าวเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจละนะ”
“พวกท่านไปเลือกได้เลย สหายจะเกรงใจกันมากมายเพียงนั้นได้อย่างไร?” ถังลี่เฉิงเอ่ย “จริงสิ ฮูหยินลู่ ท่านเกิดเมื่อใดหรือ?”
“มีอะไรหรือ?”
“ข้ามีน้องสาวผู้หนึ่งอายุห่างกับท่านไม่มาก นางเกิดเดือนแปด จู่ ๆ ข้าก็สงสัยว่าพวกท่านผู้ใดอายุมากกว่ากัน” ถังลี่เฉิงกล่าว “น้องสาวข้าฉลาดหลักแหลม นางไม่ได้อ่อนโยน รู้เรื่องรู้ราวอย่างฮูหยินลู่นัก หากน้องสาวผู้นั้นของข้าได้นิสัยอย่างฮูหยินลู่แม้สักครึ่ง นั่นคงดีไม่น้อย”
“น้องสาวของเถ้าแก่ถังจักต้องถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมเป็นแน่ แน่นอนว่าย่อมแตกต่างจากหญิงสาวที่เติบโตมาที่บ้านนอกอย่างข้า ข้ากลับอิจฉานางที่มีพี่ชายที่ดีจึงสามารถมีชีวิตอย่างอิสระไร้กังวลได้”
“ฮูหยินลู่เกิดเดือนเก้าใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่ ข้าเกิดเดือนหก” หลิวจิ่วจู๋กล่าว
ถังลี่เฉิงเคยส่งคนไปสอบถามแล้ว เมื่อได้ยินคำตอบนี้ก็ไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อย
ที่แท้เขากำลังคาดหวังอะไร?
ถึงแม้จะสอบถามชัดเจนแล้วก็ยังรู้สึกว่านางอาจเป็นคนที่ท่านอาของเขากำลังตามหา
“เถ้าแก่ถัง ท่านมีเรื่องอะไรหรือ?”
“ไม่มี”
อีกด้านหนึ่ง ลู่ฉาวจิ่งเพิ่งกลับมาศาลาว่าการอำเภอ ผู้ติดตามก็บอกว่ามีสหายเก่ามาเยี่ยมเยือน ยามนี้รออยู่ที่ห้องตำรา
เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินเข้าไปในห้องตำรา เมื่อเห็นชายวัยกลางคนนั่งอยู่ตรงนั้นก็ยกมือขึ้นประกบแล้วเอ่ย “ถังกั๋วกง”
ถังกั๋วกงชี้ไปทางฝั่งตรงข้ามแล้วกล่าว “ข้าไม่กล้ารับการคำนับนี้ของเจ้า นั่งลงเถิด คุณชายรองลู่”
“ถังกั๋วกงมาที่นี่มีงานราชการอะไรหรือ?”
“ไม่ใช่งานราชการ หากแต่เป็นเรื่องส่วนตัว ครานี้ข้ามาหาคุณชายรองลู่ก็เพื่อเรื่องส่วนตัวเช่นกัน อย่างไรตอนนี้เจ้าก็เป็นนายอำเภอของที่นี่ ข้าต้องการตรวจสอบทะเบียนราษฎร์โดยได้รับความยินยอมจากเจ้า” ถังกั๋วกงอธิบาย “เมื่อสิบปีก่อน ที่บ้านข้าเกิดเรื่องน่าอับอายขึ้นเรื่องหนึ่ง เรื่องนั้นยากที่ข้าที่จะเอ่ยถึง เพียงแต่…”