บทที่ 1180 ตอนพิเศษ (65.1)
บทที่ 1180 ตอนพิเศษ (65.1)
สกุลเหมียว นายท่านเหมียวเร่งสาวเท้าเข้าไปในห้องโถง เมื่อเห็น ‘นายท่านขุนนาง’ นั่งดื่มชาอยู่ที่นั่นก็ประกบมือขึ้นพร้อมทั้งเอ่ย “โถ่เอ๊ย เสียมารยาทแล้ว ๆ เมื่อครู่ผู้แซ่เหมียวแวะไปที่ร้านมาเที่ยวหนึ่ง ได้ยินว่าเจ้าหน้าที่ทางการจากศาลาว่าการอำเภอมาที่นี่ ถึงได้เร่งรุดกลับมา”
ถังกั๋วกงมองนายท่านเหมียวแล้วกล่าว “เหมียวกุ้ย?”
“ใช่ขอรับ ๆ ผู้แซ่เหมียวคือเหมียวกุ้ย นายท่านขุนนางผู้นี้ไม่คุ้นหน้านัก ไม่รู้ว่าเป็นใต้เท้าท่านใดในศาลาว่าการหรือขอรับ?” เหมียวกุ้ยเหลือบมองนักการที่อยู่ข้าง ๆ ถังกั๋วกงแวบหนึ่งแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ถังกั๋วกงไม่ได้สวมใส่ชุดขุนนาง ทว่ากิริยาท่าทางอันสง่างามที่แสดงออกมานั้นทำให้คนไม่อาจขัดขืนได้ อีกทั้งยังมีนักการอยู่ข้างกาย แม้ในใจจะมีความสงสัยแต่เขาก็ไม่กล้าละเลย
“สิบเจ็ดปีก่อน ท่านซื้อสตรีผู้หนึ่งมาเป็นภรรยารองของท่าน สตรีผู้นั้นยามนี้อยู่ที่ใดแล้ว?”
“หา?” นายท่านเหมียวประหลาดใจ “นี่… ภรรยาล่วงลับแต่ยังเยาว์ ไม่อยู่ตั้งแต่สิบปีก่อนแล้วขอรับ”
“เหตุใดจึงเสียชีวิต?”
“คลอดยากขอรับ”
ถังกั๋วกงขมวดคิ้ว “เพราะให้กำเนิดลูกสาวของท่านหรือ?”
“ใช่แล้วขอรับ ลูกสาวข้าเองก็ได้ออกเรือนไปแล้ว”
“ยามนี้นางอยู่ที่ใด?”
“ถึงแม้ลูกสาวจะออกเรือนแล้ว ทว่าเป็นลูกเขยแต่งเข้า นางจึงยังอยู่ที่จวนขอรับ” เหมียวกุ้ยเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าบารมีของถังกั๋วกงที่แผ่ออกมามีมากเสียจนอีกฝ่ายถามสิ่งใดเขาก็ตอบสิ่งนั้น ไม่กล้าปิดบัง
“ลูกสาวผู้นั้นของท่านคือ…”
ถังกั๋วกงเอ่ยถามถึงลูกสาวสกุลเหมียว
เหมียวกุ้ยยิ่งฟังยิ่งสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าก็ยังคงตอบตามความจริง
เมื่อได้ยินข้อมูลจากเหมียวกุ้ย ถังกั๋วกงก็แน่ใจขึ้นหลายส่วน
ดูเหมือนว่าครานี้จะหาได้ถูกคนแล้ว
“ภรรยารองผู้นั้นของท่านมีแซ่อะไร?”
เหมียวกุ้ยตอบตามความเป็นจริง ทั้งยังตอบคำถามถังกั๋วกงเรื่องอายุและรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายในตอนที่เขาซื้อมา
“ลูกสาวท่านตอนนี้อยู่ที่ใด ข้าอยากพบนาง”
“เด็ก ๆ ไปเรียกคุณหนูมา” เหมียวกุ้ยสั่งบ่าวรับใช้ข้างนอก
บ่าวรับใช้ก้าวเข้ามารายงาน “เรียนนายท่าน คุณหนูกับท่านเขยพึ่งกลับมา เพียงแต่คุณหนูกับท่านเขยทะเลาะกัน ตอนนี้กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ขอรับ!”
“เจ้าไปเรียกคุณหนูมา บอกว่านายท่านเรียกหา”
บ่าวรับใช้ไปหาคน เหมียวกุ้ยเองก็เดินกลับมาประจบประแจงถังกั๋วกง รินชาให้เขาด้วยตนเอง
“ใต้เท้า โปรดรอประเดี๋ยว นังหนูผู้นั้นไม่นานก็มาแล้ว เพียงแต่ใต้เท้า เหตุใดท่านจึงถามถึงลูกสาวข้าเล่า ลูกสาวข้าได้ออกเรือนแล้ว…”
หากมีความคิดเช่นนั้นต่อนาง นั่นเกรงว่าจะไม่เหมาะสม!
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ว่าคนผู้นี้มีรัศมีสูงส่งเพียงใด หากอีกฝ่ายไม่รังเกียจว่าลูกสาวของเขาแต่งงานแล้ว นั่นก็ไม่ใช่จะไม่ได้ อย่างไรเสียเฝิงหลานเซิงก็เป็นเพียงบัณฑิตยากจนผู้หนึ่ง เขาจะสอบรับราชการเป็นขุนนางได้หรือไม่นั้นยังไม่แน่นอน มีเกียรติยศมั่งคั่งพึ่งพาได้ที่ใด?
“มีขอรับ!”
“สิ่งของที่ทิ้งไว้เหล่านั้นเล่า?”
“ขอกล่าวอย่างไม่ปิดบัง ก่อนหน้านี้ไม่นานมีขโมยขึ้นบ้าน มีคนนำของไปขายแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นท่านดูสิ่งนี้…” ถังกั๋วกงนำปิ่นปักผมชิ้นหนึ่งออกมา “คุ้นตาหรือไม่?”
เหมียวกุ้ยมองมันแล้วกล่าว “ปิ่นปักผมชิ้นนี้เป็นของฮูหยิน ใต้เท้าได้มาจากที่ใดขอรับ?”
“ท่านพ่อ…” เหมียวชุนจู๋สาวเท้าฉับ ๆ เข้ามาแล้วเอ่ยกับเหมียวกุ้ยด้วยความโมโห “ท่านพี่ทำน่าเกลียดยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าเขาจะยังคิดถึงหลิวจิ่วจู๋ผู้นั้นไม่ลืมเลือน เงินเดือนนี้ไม่ต้องให้เขา ต้องให้เขารู้เสียบ้างว่าผู้ใดเป็นคนเลี้ยงเขา”
“เกิดอะไรขึ้น?” เหมียวกุ้ยคอยขยิบตาอยู่ข้าง ๆ ทว่าเหมียวชุนจู๋กลับไม่รู้ถึงสัญญาณที่ส่งมาแม้แต่น้อย
นางบ่นถึงความเลวร้ายของเฝิงหลานเซิงกับเหมียวกุ้ยไม่จบไม่สิ้น
“อะแฮ่ม…” เหมียวกุ้ยขัดจังหวะเหมียวชุนจู๋ “จู๋เอ๋อร์ เจ้าอย่าได้พูดจาไร้สาระ วันนี้เรามีแขก”
เหมียวชุนจู๋ถึงได้สังเกตเห็นถังกั๋วกง
นางจ้องมองถังกั๋วกง แววตาเต็มไปด้วยความรังเกียจ “ตาเฒ่าผู้นี้มาจากที่ใด?”
“เจ้าพูดจาเลอะเทอะอะไร?” เหมียวกุ้ยโมโหเป็นอย่างยิ่ง ถลึงตามองเหมียวชุนจู๋อย่างโกรธเกรี้ยว แล้วกล่าวกับถังกั๋วกงที่มีสีหน้าไม่น่าดูชม “ใต้เท้าโปรดอภัย นังหนูผู้นี้ถูกตามใจจนเสียคนแล้ว”
หลังจากเหมียวชุนจู๋ปรากฏกาย ถังกั๋วกงก็เฝ้าสังเกตนางตลอด
ไม่เหมือนกัน
เดิมทีก็ไม่เหมือนภรรยาของเขาแม้แต่น้อย
เพียงแต่ ด้วยข้อมูลต่าง ๆ ล้วนชี้ให้เห็นว่าเงื่อนไขของนางในทุกแง่มุมสอดคล้องกับลูกสาวของเขา
ที่แท้ผิดพลาดที่ใดกัน?
หรือเป็นเพราะถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ท่ามกลางผู้คนนิสัยหยาบช้าน่ารังเกียจ นางจึงกลายเป็นคนที่น่ารังเกียจและตื้นเขินเช่นนี้?
หากเป็นเช่นนั้น เขาควรจัดการกับ ‘ลูกสาว’ เช่นนี้อย่างไร?
เมื่อเหมียวชุนจู๋เห็นว่าเหมียวกุ้ยมีท่าทีต่อถังกั๋วกงแตกต่างออกไปจึงรู้ว่าตนพูดอะไรผิด นางค้อมคำนับอย่างไม่เต็มใจ “ใต้เท้าโปรดอภัย ข้าทำผิดไปแล้ว”
“ฮูหยิน…” เฝิงหลานเซิงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้อง “ฮูหยิน เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้มีความเสน่หาต่อหลิวจิ่วจู๋”
“ยังจะกล่าวว่าไม่มีอีกรึ! เช่นนั้นเมื่อครู่ท่านกล่าวอะไรกับนาง?”
“ข้าเพียงแค่บังเอิญพบนาง เห็นนางกำลังจะล้มจึงคิดจะยื่นมือช่วยเพียงเท่านั้น”
“นางต้องการความช่วยเหลือจากท่านหรือ? ข้าคิดว่านางจงใจยั่วยวนท่านมากกว่า”
“สามีของนางเป็นนายอำเภอ จะเป็นไปได้อย่างไร…” เฝิงหลานเซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
เหมียวชุนจู๋ฟังออกว่าเฝิงหลานเซิงไม่ยินดี ใบหน้าพลันบิดเบี้ยว “ท่านกินข้าวบ้านข้า ใช้ของบ้านข้า อาศัยอยู่ในบ้านข้า ยังจะกล้าคิดถึงสตรีอื่น…”
ถังกั๋วกงลุกขึ้นยืน
“ใต้เท้า…” เหมียวกุ้ยกำลังจะปรามไม่ให้เหมียวชุนจู๋เอ่ยถ้อยคำไม่เหมาะสมออกมา ทว่ายังไม่ทันได้เปิดปาก ถังกั๋วกงก็ยืนขึ้นก่อนจึงรีบร้อนกล่าว “ใต้เท้า เจ้าเด็กคนนี้ใจร้อนเล็กน้อย อันที่จริงนางเพียงมีนิสัยแบบเด็ก ๆ…”
ถังกั๋วกงไม่สนใจเหมียวกุ้ยแต่สาวเท้าออกไปแล้ว
เหมียวกุ้ยไล่ตามเขา “ใต้เท้า ท่านโปรดฟังข้าคำอธิบาย…”
ถังกั๋วกงก้าวเร็วเสียจนเหมียวกุ้ยไล่ตามไม่ทันแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อ คนผู้นี้เป็นผู้ใดหรือ?” เหมียวชุนจู๋ไม่ได้เห็นเป็นจริงจังอะไร
เหมียวกุ้ยเอ่ยด้วยความขุ่นมัว “ข้ามีแขก พวกเจ้าแต่ละคนมีตากันหรือไม่? ทะเลาะกันยามใดไม่ทะเลาะ จำต้องมาทะเลาะกันยามนี้ ข้าก็ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นผู้ใด อย่างไรเสียข้างกายเขาก็มีเจ้าหน้าที่ นั่นหมายความว่าเป็นคนของศาลาว่าการ คนเช่นนี้พวกเราไม่อาจล่วงเกิน ยิ่งคนผู้นี้เปี่ยมไปด้วยบารมีเช่นนี้ ยิ่งไม่อาจล่วงเกินเข้าไปใหญ่”
“พวกเราก็ไม่ได้เอ่ยอะไร นับว่าล่วงเกินเขาที่ใดกัน?”
“ไม่ได้การ ข้าต้องส่งคนไปตรวจสอบเสียหน่อย ศาลาว่าการมีคนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน คนผู้นี้ที่แท้เป็นผู้ใด เหตุใดเขาจึงมาที่บ้านเรา เหตุใดเขาจึงถามถึงเรื่องมารดาเจ้า” เหมียวกุ้ยเอ่ย “ข้ามีลางสังหรณ์ หากคราวนี้ข้าคว้าโอกาสไว้ได้ บางทีโชคชะตาของสกุลเราก็อาจพลิกผันได้เช่นกัน”
ถังกั๋วกงควบม้าไป สีหน้าไม่น่าดูชมเป็นอย่างยิ่ง
เขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่าสตรีหยาบคายเช่นนั้นเป็นลูกสาว ทว่าเบาะแสต่าง ๆ กลับชี้ให้เห็นว่านางเป็นลูกสาวของเขา
จู่ ๆ ทันใดนั้น ข้างหน้าการสัญจรก็ติดขัดขึ้นมา
“เจ้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น?” ถังกั๋วกงสั่งบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ
บ่าวรับใช้รีบไปตรวจสอบสถานการณ์ ไม่นานนักก็กลับมา
ฝูงชนต่างแยกย้ายกันไปแล้ว
ถังกั๋วกงเห็นหลิวจิ่วจู๋อุ้มเด็กน้อยที่ได้รับบาดเจ็บผู้หนึ่งไว้อยู่ตรงหน้าจึงพอคาดเดาได้ว่าคงเกิดเรื่องแล้ว
เขาลงจากหลังม้า
“เกิดอะไรขึ้น?” เขาเอ่ยถามหลิวจิ่วจู๋
หลิวจิ่วจู๋เห็นถังกั๋วกงจึงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “นายท่านถัง พวกเราพบกันอีกแล้ว บังเอิญเสียจริง”
“ที่นี่ใหญ่โตเพียงใดกัน ถนนให้เดินเล่นมีเพียงไม่กี่ถนน พบกันบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา” ถังกั๋วกงเอ่ย “นี่เจ้ากำลังทำความดีอะไรอยู่อีกเล่า?”