ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 266 แล้วสุดท้ายมันคืออะไรกันแน่?

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 266 แล้วสุดท้ายมันคืออะไรกันแน่?

บทที่ 266 แล้วสุดท้ายมันคืออะไรกันแน่?

หลังของงูยักษ์สีดำถูกใช้เป็นสนามรบไม่สะทกสะท้าน มันเพียงแค่จ้องมองมนุษย์ที่กำลังแตกแยกกันเงียบ ๆ

ผู้บำเพ็ญทั้งหลายจ้องมองสุราปราบมารบนตัวของกลุ่มเจ็ดคนราวกับเหยี่ยวมองเหยื่อ

“อะไรกัน อยากจะลงมือแย่งชิงงั้นหรือ?”

ผู่ตานหัวเราะเย็นชา หากพวกเขากล้ายั่วโมโห เขาจะฆ่าไปที่โลงศพเพื่อปลุกให้อสูรร้ายทั้งหมดคลุ้มคลั่ง แล้วทุกคนจะได้ตายด้วยกันหมด ไม่มีใครรอดไปได้สักคน!

“ท่านพี่ผู่เข้าใจผิดแล้ว พูดกันดี ๆ ก็ได้นี่ ท่านลองคิดดูสิ หากพวกข้าทั้งหมดตายเพราะพิษ ด้วยสภาพของพวกท่านที่บาดเจ็บสาหัสจนยืนไม่ไหว กับอีกสองคนที่สลบไม่ได้สติ พวกท่านสี่คนจะออกไปได้อย่างไร?”

“ใช่แล้ว ทำไมไม่ยอมส่งสุราปราบมารออกมาสักส่วนล่ะ? แล้วพวกเราก็ร่วมมือฝ่าออกไปด้วยกัน”

“ดีเลย พวกข้าก็ไม่ได้อยากได้เปล่าหรอก ขอแค่รอดออกไปได้ พวกข้าจะตอบแทนหินวิญญาณให้สิบเท่าเลยล่ะ!”

ผู่ตานฟังแล้วรู้สึกว่ามีเหตุผลดี ติงหลิวหลิ่วเริ่มรินสุราปราบมารออกมาแล้ว ส่วนว่านอวี้เฟิงก็หยิบปากกาออกมาจดชื่อคนที่ได้รับสุรา แล้วยังส่งกระดาษให้เซ็นชื่อเป็นหลักฐานอีกด้วย

ศิษย์น้องห้ารักหินวิญญาณที่สุด พอนางตื่นมาพบว่าพวกเขาช่วยหาเงินได้อีกสองก้อนใหญ่ ต้องดีใจแน่ ๆ!

ผู้บำเพ็ญที่ถูกบังคับให้เซ็นชื่อรู้สึกเซ็ง ในเวลาแบบนี้ยังคิดถึงแต่หินวิญญาณอยู่อีก คิดจะเอาไปใช้ในนรกหรือไง?

ไม่น่าแปลกใจเลยที่สำนักหลานเทียนจะมีชื่อเสียงในเรื่องความโลภมากและเห็นแก่เงินขนาดนี้!

เวลาผ่านไป หมอกแดงยิ่งหนาขึ้นเรื่อย ๆ มีผู้บำเพ็ญหนึ่งในสามที่ถูกพิษกัดกร่อนจนเป็นเนื้อเน่า ส่วนที่เหลือหลังจากดื่มสุราปราบมารแล้วก็ไม่เป็นอะไรมาก

งูดำที่สังเกตการณ์มนุษย์มาตลอดมีแววตาแปลก ๆ สัตว์สองขาพวกนี้กลับต้านทานหมอกแดงได้ และไม่ได้สูญเสียสติไป สายตาเย็นเยียบของมันหยุดอยู่ที่ไหเล็ก ๆ ในมือของติงหลิวหลิ่ว

“อยากดื่มหรือ?”

งูดำไม่ตอบ ราวกับจะจ้องให้มันกลายเป็นดอกไม้ออกมาอย่างนั้นแหละ

“น่าเสียดาย ข้างในไม่มีแล้ว”

สุราปราบมารที่อยู่บนตัวพวกเขาทั้งหมดถูกขายไปหมดแล้ว แต่แน่นอนว่าทุกคนยังแอบเก็บไว้คนละถ้วยเล็ก ๆ อยู่

“พวกเจ้ากำลังรอให้ปีศาจในโลงศพตื่นขึ้นมาหรือ? เขาเป็นใคร? มีตำแหน่งอะไร?”

ติงหลิวหลิ่วเห็นว่างูดำไม่มีท่าทีจะพูด จึงสนทนากับมันด้วยความสนใจ

ไม่มีการตอบสนองตามที่คาดไว้ แต่ดูเหมือนว่าสัตว์อสูรจะรับรู้ถึงบางสิ่ง สายตาทั้งหมดหันไปที่โลงศพที่แขวนอยู่กลางอากาศ

สิ่งที่อยู่ข้างใน… ดูเหมือนจะฟื้นขึ้นมาแล้ว

“จะลงมือหรือ?” มีผู้บำเพ็ญถาม

ตอนนี้เป็นโอกาสเดียวแล้ว ถ้าไม่ลงมือตอนนี้ก็จะต้องถูกฝังอยู่ที่นี่

“ลงมือ!”

ท้ายที่สุด คนที่ตะโกนว่าลงมือก็ไม่ได้ลงมือ

ถึงแม้ครั้งหนึ่งเคยเป็นนักรบผู้ไม่กลัวความตาย แต่ถูกสัตว์อสูรมากมายบั่นทอนความกล้าหาญลง นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเอาเสียเลย

“พวกขี้ขลาด ข้าจะไปเอง!”

อวี้เจินลุกขึ้นยืนโซเซ จ้องมองไปที่โลงศพสีดำที่อยู่ไกลออกไป

โลงศพขยับ งูดำที่พวกเขาเหยียบอยู่ใต้เท้าก็ขยับด้วย ถึงแม้มันจะไม่แสดงสีหน้าใด ๆ แต่ทุกคนยังรับรู้ได้ถึงอารมณ์ตื่นเต้นของมัน

“เจ้าจะไปได้ยังไงในสภาพแบบนี้?”

ลู่เป่ยเหยียนดึงตัวอวี้เจินที่ยังยืนไม่มั่นคงเอาไว้ พวกขี้ขลาดพวกนี้ไม่ใช่แค่อยากบังคับให้พวกเขาลงมือก่อนหรอกหรือ? ห้ามตกหลุมพรางเด็ดขาด ถ้าไม่ฉวยโอกาสนี้ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว!

เงาร่างสีดำวูบหนึ่งถือกระบี่เย็นยะเยือก ใช้หลังงูสีดำใต้เท้าเป็นจุดยึด พุ่งตรงไปยังโลงศพอย่างรวดเร็ว เงาร่างนับไม่ถ้วนผุดขึ้นท่ามกลางหมอกแดง แต่มีใครบางคนที่เร็วกว่าเขา ในชั่วพริบตาก็มาถึงข้างกายเขาแล้ว

หลิงเยว่ส่งสุราปราบมารที่เหลือให้โม่จวินเจ๋อ โดยไม่สนใจสีหน้าตกใจของเขา “ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มีภูเขาหินสีแดงซ่อนอยู่ ท่านไปทำลายมันเถิด แล้วทางออกจะปรากฏ ถึงตอนนั้น พาพวกศิษย์พี่ออกไปจากที่นี่ อย่าพยายามมาช่วยข้า ข้าจะไม่เป็นอะไร”

พูดจบ หลิงเยว่ก็คว้าตัวโม่จวินเจ๋อโยนกลับไป จากนั้นร่างก็หายวับไปในหมอกแดง เมื่อนางปรากฏตัวอีกครั้ง โลงศพก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว

“ทำไมความเร็วของศิษย์น้องถึงเร็วกว่าเจ้าอีก?!”

ผู่ตานที่ช่วยประคองโม่จวินเจ๋อไม่อยากจะเชื่อ ความเร็วเกินกว่าแก่นปราณลมอีกเหรอ? นั่นยังเป็นศิษย์ห้าที่เขารู้จักอยู่หรือไม่?

“นั่นไม่ใช่ หลิงเยว่… ไม่สิ นางคือหลิงเยว่ แต่ก็ไม่ใช่”

ทุกคนถูกคำพูดของโม่จวินเจ๋อทำให้งงงวย แล้วสุดท้ายคือใช่หรือไม่ใช่กันแน่?

เหมือนจะพิสูจน์คำพูดของโม่จวินเจ๋อ ร่างบางนั่นเข้าใกล้โลงศพที่สั่นสะเทือน ยกกระบี่สีแดงเข้มขึ้นด้วยสองมือ ฟาดใส่โลงศพอย่างแรง

“หมอกแดง ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว!”

พลังกระบี่สีแดงระเบิดออก ฝูงอสูรผู้พิทักษ์พร้อมกับพลังกระบี่กลายเป็นกลุ่มหมอกดำ แม้แต่เสียงครวญครางก็ไม่มี โลงศพพลันแตกเป็นสองซีก

เสียงคำรามของสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนดังสะท้านแผ่นดิน พวกมันโกรธแล้ว!

งูยักษ์สีดำใต้เท้าของทุกคนชูหัวขึ้นสูง ส่งเสียงขู่ฟ่อแล้วรีบเลื้อยไปทางโลงศพ

“ภูเขาหินสีแดงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ที่นั่นคือทางออก!”

โม่จวินเจ๋อกระโดดลงจากหลังงูยักษ์สีดำ มุ่งหน้าตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้

“แล้วศิษย์น้องจะทำอย่างไร?!”

เสียงตะโกนของติงหลิวหลิ่วถูกกลบด้วยเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ดังสนั่นหวั่นไหว นางทำใจทิ้งหลิงเยว่ไว้ที่นั่นไม่ได้!

“พวกเราไม่อาจรั้งนางได้!”

ผู่ตานดึงติงหลิวหลิ่วไปอย่างแข็งกร้าว ลู่เป่ยเหยียนแบกร่างอวี้เจินขึ้น ทุกคนติดตามจังหวะก้าวของโม่จวินเจ๋ออย่างใกล้ชิด ฝูงอสูรตามเส้นทางแม้แต่ไม่เหลือบมองพวกเขาสักนิด สายตาของพวกมันจับจ้องเพียงร่างของหญิงสาวที่ถือกระบี่สีแดงเข้ม ยืนอยู่กลางอากาศอย่างสงบนิ่ง

ฉีกนางเป็นชิ้น ๆ!

โม่จวินเจ๋อผู้นำทางอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองหญิงสาวที่ถูกฝูงสัตว์ร้ายล้อมรอบ ราวกับว่านางรับรู้ถึงสายตาของเขา นางเอียงศีรษะยิ้มมุมปาก จากนั้นนางก็โบกกระบี่ในมือ ฝูงสัตว์ร้ายที่บุกเข้ามาถูกพลังกระบี่เปลี่ยนเป็นหมอกสีดำ

นางไม่ใช่หลิงเยว่ แต่เป็นคนที่ใช้ร่างของหลิงเยว่

ผู้ที่คุ้นเคยกับหลิงเยว่ต่างคิดเช่นนี้ ศิษย์น้องห้าจะไม่มองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา และยิ่งไม่มีทางใช้กระบี่ได้เช่นนี้!

ถ้ำปีศาจหมื่นเนตร!

นางถูกดวงตาปีศาจเข้าสิงหรือ?

“ตำแหน่งทางออกเป็นศิษย์น้องบอกเจ้าใช่หรือไม่?” ว่านอวี้เฟิงถามเสียงสั่นกับโม่จวินเจ๋อ

“ใช่ นางยังไม่ตาย”

หากหลิงเยว่ตายแล้ว นางจะพูดพาพวกศิษย์พี่ออกไปได้อย่างไร?

นาง…

โม่จวินเจ๋อไม่กล้าคิดลึกไปมากกว่านี้ เขาเชื่อใจหลิงเยว่!

“โอ้! หลิงเยว่เพิ่งจะอยู่ขอบเขตจินตานขั้นต้นไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงแข็งแกร่งปานนี้!”

เอาพวกผู้มีพรสวรรค์แห่งสำนักหลานเทียนมาเปรียบเทียบแล้วยังด้อยกว่าเลย!

พวกผู้บำเพ็ญที่หนีไปพลางหันหลังมองอย่างอาลัยอาวรณ์ ร่างกายที่ตามองไม่ทันด้วยตาเปล่านั้น อีกทั้งวิชากระบี่ที่เหนือชั้นราวกับเทพวิญญาณกระบี่สิงสู่!

เพียงแค่โบกมือไปมาอย่างสบาย ๆ ก็ทำให้สัตว์อสูรที่พวกเขาหวาดกลัวตายไปเป็นจำนวนมาก

“หมอกแดงยังไม่ออกมาอีกหรือ?”

“อินสุ่ยอวิ๋น เจ้ามาทำลายเรื่องดีของข้าอีกแล้ว!”

หญิงสาวในโลงศพปรากฏกาย นางสวมชุดกระโปรงยาวย้อนยุคสีม่วงเข้มทั้งตัว โฉมหน้างดงามเย้ายวน แม้แต่ตอนโมโหก็ยังดูเหมือนกำลังยั่วยวน

ดวงตาของผู้บำเพ็ญชายบางส่วนในขบวนหนีตายจ้องมองตาค้าง

อินสุ่ยอวิ๋นที่ยืมร่างหลิงเยว่มา ไม่ได้ตั้งใจจะพูดคุยเก่า ๆ กับปีศาจหญิง นางไม่มีเวลามากแล้ว!

แน่นอนว่าหมอกแดงก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดคุยเก่า ๆ เช่นกัน หมอกแดงปกคลุมท้องฟ้า ฝูงสัตว์อสูรกำลังโห่ร้องราวกับกำลังบูชานาง!

ฝูงอสูรพากันพุ่งเข้าไปในหมอกแดงด้วยความเต็มใจ เพื่อมอบพลังให้ปีศาจหญิงที่พวกมันติดตาม

ใบหน้าซีดเซียวของปีศาจหญิงค่อย ๆ กลับมามีสีเลือดฝาดขึ้นเรื่อย ๆ นางยกมือทั้งสองข้าง หมอกทั่วท้องฟ้ารวมตัวกันกลายเป็นเงาลวงตามังกรเก้าตัว

เสียงคำรามของมังกรเก้าตัวดังสะเทือนฟ้า ฝูงสัตว์อสูรที่เหลือยังคงตายอย่างตื่นเต้น

ขบวนหนีตายได้รับบาดเจ็บภายในจากเสียงคำรามของมังกร ทุกคนพากันอาเจียนออกมาเป็นเลือดโดยไม่มีข้อยกเว้น…

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท