บทที่ 1461 ผอม
บทที่ 1461 ผอม
ฟางเพ่ยหยานั้นกลับไปอย่างลิงโลด ถานอวี้ซูก็ตกใจมากอย่างยิ่ง
“ท่านพี่ เพ่ยหยาสามารถผอมลงได้จริง ๆ หรือ” ถานอวี้ซูยังทำหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“แน่นอนสิ ขอเพียงนางตั้งใจและอดทนก็จะผอมลงอย่างแน่นอน” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างหนักแน่น
ถานอวี้ซูเองก็พยักหน้า พูดอย่างดีใจว่า “ถ้าหากนางสามารถผอมลงได้จริง เพ่ยหยาจะต้องงดงามมากอย่างแน่นอน”
หลังจากดีใจแล้วก็ทอดถอนใจออกมา “ท่านพี่ เพ่ยหยานั้นลำบากมากจริง ๆ บิดาไม่สามารถพึ่งพาได้ มารดาก็อ่อนแอ แล้วยังมีหมาป่าสามตัวนั้นอีก อาศัยอยู่ในบ้านของตระกูลฟางเช่นนี้ นางไม่ถูกกินก็นับว่าโชคดีในความโชคร้ายแล้ว”
เมื่อมองไปยังแผ่นหลังของฟางเพ่ยหยาที่กระโดดโลดเต้นจากไป หลังจากฟังคำพูดของถานอวี้ซู กู้เสี่ยวหวานก็ตกอยู่ในภวังค์
ใช่แล้ว ตระกูลฟางเป็นเพียงแค่สังคมเล็ก ๆ ถ้าหากฟางเพ่ยหยาไม่สามารถแม้แต่จะสู้ได้ เช่นนั้นนางก็คงถูกกำหนดให้พ่ายแพ้แล้ว
ทั่วทั้งเมืองหลวงนี้ก็ไม่ใช่สังคมที่เล็กหรอกหรือ
ในสถานที่ที่กินคนไม่คายกระดูกเช่นนี้ นางล่วงเกินหมิงตูจวิ้นจู่แล้วจะอวดดีได้นานแค่ไหนกัน
ความรู้สึกกระสับกระส่ายสายหนึ่งพุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า ราวกับจะบีบบังคับให้นางหายใจไม่ออกได้ตลอดเวลา
ภายในห้องของซูจือเยว่ เซี่ยตงที่สวมชุดสีดำก็รายงานสถานการณ์ที่เขาไปสืบมาจากข้างนอกว่า “งานเลี้ยงที่จัดขึ้นที่จวนอ๋องภายในวันนั้น มีเพียงคุณหนูจากตระกูลที่มีชื่อเสียงทุกคนแสดงความสามารถเพียงเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่มีอะไรเลย”
“แค่พวกคุณหนูแสดงความสามารถ” ซูจือเยว่กล่าวอย่างไม่เชื่อ
เซี่ยตงพยักหน้า “ใช่ขอรับ”
“ไม่มีอย่างอื่นเลย” ซูจือเยว่ขมวดคิ้ว
ตามท่าทีของซูหมิ่นที่มีต่อกู้เสี่ยวหานแล้ว ในสถานการณ์เช่นนั้นจะไม่สั่งสอนกู้เสี่ยวหวานสักหน่อยเลย นั่นก็ไม่ใช่ซูหมิ่นแล้ว
“ไม่เลยขอรับ”
“ภายในงานเลี้ยงนั้น เสี้ยนจู่อันผิงคนใหม่… นางแสดงความสามารถอะไรออกมา” หญิงสาวจากชนบทคนหนึ่งที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเสี้ยนจู่อันผิง กระโดดเกาะกิ่งไม้จนกลายเป็นหงส์ แต่คนเช่นนี้ที่มีรูปร่างงดงามไม่เป็นรองใคร บุคคลิกและอุปนิสัยเช่นนี้ ทุกอิริยาบถนั้นดูสง่างามมาก เสน่ห์ที่ออกมาจากภายในสู่ภายนอกนั้น เกรงว่าแม้แต่เหล่าบรรดาสนมในวังนั้นก็ยังทอดถอดให้กับตัวเอง
คนเช่นนี้ ซูหมิ่นจะไม่อิจฉาได้อย่างไรกัน
ถ้าหากบอกว่านางไม่กลั่นแกล้งหรือไม่ทำให้ลำบากใจเลย ซูจือเยว่นั้นไม่มีทางเชื่อแน่นอน
เซี่ยตงคิดไปคิดมาก็ส่ายหัวพูดว่า “ไม่ได้ยินอะไรเลยขอรับนายท่าน เรื่องงานเลี้ยงในวันนั้นถูกปิดไว้อย่างมิดชิด ราวกับว่าทุกคนนั้นเก็บทุกอย่างไว้เป็นความลับ ต่อให้มีคนพูดคุยกัน ก็พูดคุยแค่การร่ายรำและท่วงทำนองดนตรีของพวกคุณหนูเพียงเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับเสี้ยนจู่อันผิงคนใหม่นั้นกลับไม่ได้ยินอะไรเลย”
คิ้วของซูจือเยว่นั้นขมวดแน่นเป็นปม เนื่องจากขบคิดเป็นเวลานาน คิ้วจึงย่นเป็นรอยเส้นขีด แม้ว่าจะคลายคิ้วที่ขมวดออกแล้ว แต่รอยนั้นก็ยังสลักลึกไว้อย่างจาง ๆ
ไม่มีการกลั่นแกล้งกู้เสี่ยวหวาน
ซูจือเยว่เอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนแรง ในใจมีความสงสัยเล็กน้อย
ทันใดนั้น เขาก็ลุกขึ้นและออกไปข้างนอก คนที่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในงานเลี้ยงนั้นยังมีซูเฉี่ยนเยว่
ซูเฉี่ยนเยว่กำลังฝึกเขียนอักษรอยู่ภายในห้อง เพียงแต่หลังจากที่ฝึกเขียนได้สองสามรอบก็ไม่สนใจแล้ว นางลูบมือที่ปวดเมื่อยแล้วนั่งลงที่โต๊ะอย่างเหม่อลอย พอมองอักษรที่เขียนอยู่ตรงหน้าแล้ว จู่ ๆ สีหน้าก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมา
“คุณหนูเจ้าคะ คุณชายมาเจ้าค่ะ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากม่านนอกประตู พอซูเฉี่ยนเยว่ได้ยินก็รีบตั้งสติ ขยำกระดาษที่เขียนไว้บนโต๊ะทั้งหมดเป็นก้อนอย่างลนลานแล้วโยนไปที่มุมห้อง
และฉากนี้ก็ถูกซูจือเยว่ที่เดินเข้ามาเห็นเข้าพอดี
เมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกลนลานของน้องสาวและเศษกระดาษที่ถูกขยำจนเป็นก้อนกลมอยู่ที่มุมกำแพง ซูจือเยว่ก็กวาดสายตามอง มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้ม เขาก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างในห้อง เดินไปยิ้มไป “เฉี่ยนเยว่ เจ้าโยนอะไรทิ้งไปหรือ”
ซูจือเยว่มองเศษกระดาษตรงมุมกำแพงอย่างสนใจ ซูเฉี่ยนเยว่เห็นเขาอยากรู้ก็พูดด้วยสีหน้าตื่นตระหนกว่า “ท่านพี่ ไม่มีอะไรหรอก ไม่มีอะไรเลย ก็แค่เขียนได้ไม่ดีจนกลายเป็นกระดาษที่เสียแล้วแผ่นหนึ่งเท่านั้น”
พอเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของซูเฉี่ยนเยว่ ซูจือเยว่คิดบางสิ่งอยู่ในใจ ทว่าก็ไม่ได้ถามต่อว่าในกระดาษแผ่นนั้นเขียนว่าอะไร แต่หมุนตัวเดินไปที่โต๊ะของซูเฉี่ยนเยว่ “เฉี่ยนเยว่กำลังฝึกเขียนอักษรอยู่ ข้าจึงมาดูว่าตอนนี้อักษรของเฉี่ยนเยว่เป็นอย่างไรแล้ว”
“ท่านพี่ ท่านประชดข้าแล้ว รู้ทั้งรู้ว่าเฉี่ยนเยว่สามารถทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ก็แค่อักษรคำนี้ไม่น่าพอใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“ใช่ น้องสาวของข้าดีทุกอย่าง ก็แค่อักษรคำนี้ไม่น่ามองเท่านั้นเอง แต่ว่าฝึกบ่อย ๆ อีกสองสามครั้งก็สวยแล้ว เจ้าวางใจได้” ซูจือเยว่พูดให้กำลังใจซูเฉี่ยนเยว่
ซูเฉี่ยนเยว่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ภายใต้การกระทำของซูจือเยว่ที่ส่งสัญญาณบางอย่าง ซูเฉี่ยนเยว่ก็หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนอักษรสองสามคำให้ซูจือเยว่ดู
เพียงไม่นานนัก อักษรไม่กี่คำก็ปรากฏอยู่บนกระดาษ
ลายเส้นของพู่กันมีความอ่อนช้อยและงดงาม หลังจากที่ซูจือเยว่เห็นแล้วก็พยักหน้าอย่างชื่นชม เขาพูดอย่างติดตลกว่า “เขียนได้ดีจริง ถ้าหากในอนาคตมีคนบอกว่าน้องสาวของข้าเขียนอักษรได้ไม่สวย ข้าจะตอบกลับไปไม่ให้เขากล้าดูถูกน้องสาวของข้า”
ซูเฉี่ยนเยว่ได้ยินซูจือเยว่ชมตัวเองว่าเขียนได้ดี ก็รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทุ่มเทและพยายามฝึกฝนอย่างหนักในช่วงนี้ ในที่สุดก็ได้รับผลตอบแทนแล้ว นางจึงมีความสุขอย่างมากแล้วใช้มือคล้องแขนซูจือเยว่ พูดราวกับไม่ค่อยยอมว่า “เฉี่ยนเยว่กลัวว่าถ้าหากไม่ฝึกให้มาก เกรงว่าตอนนั้นที่อยู่ในเมืองหลวงจะต้องถูกคนอื่นเปรียบเทียบแล้ว”
น้ำเสียงที่พูดอย่างเย้ยหยันเช่นนี้ ซูจือเยว่ยังจะได้ยินเป็นครั้งแรก “โอ้ น้องสาวมีความสามารถทั้งการเขียนทั้งการร่ายรำ ผู้ใดจะมาเปรียบเทียบน้องสาวของข้าได้?”
ใบหน้าของซูเฉี่ยนเยว่มีความไม่ยินยอม แต่ไม่ว่าอย่างไรกลับไม่ยอมพูดออกมา “ท่านพี่ ท่านช่วยชี้แนะข้าหน่อย คำนี้ของข้ายังมีจุดอ่อนตรงที่อื่นอีกหรือไม่”
ซูจือเยว่เห็นนางไม่ยอมตอบ ทั้งยังหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้ไปทันที ความสงสัยในใจก็ยิ่งมากขึ้น และเศษกระดาษที่ถูกขยำกลายเป็นก้อนตรงมุมกำแพงนั้น บางทีมันอาจจะให้คำตอบแก่เขาได้บ้าง
ไม่ง่ายเลยที่จะชี้แนะให้ซูเฉี่ยนเยว่ฝึกเขียนอักษรได้ จนพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว เสียงเรียกทานข้าวก็ดังมาจากด้านหน้า ซูจือเยว่หาข้ออ้างที่ซูเฉี่ยนเยว่ไม่ได้ไปทานข้าวกับผู้อาวุโสในครอบครัวมานานแล้ว และพาซูเฉี่ยนเยว่เดินออกไป
เซี่ยตงเดินตามมาด้านหลังอย่างเงียบ ๆ
รอจนกระทั่งทานอาหารเสร็จแล้วและกลับเข้าไปในห้อง เซี่ยตงก็รอเขาอยู่ในห้องแล้ว
“นายท่าน” เซี่ยตงก้าวไปข้างหน้าและมอบของในมือให้กับซูจือเยว่