บทที่ 1462 คนกลัวว่าจะมีชื่อเสียง
บทที่ 1462 คนกลัวว่าจะมีชื่อเสียง
“เจ้าเป็นคนเช่นไรกันแน่”
เสียงกระซิบพึมพำอย่างแผ่วเบาในห้องที่เงียบสงบ ดูเงียบเหงาและอ้างว้างเหลือเกิน
ในช่วงไม่กี่วันมานี้ ถานอวี้ซูกลับรู้สึกแปลก ๆ เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นในจวนหมิงอ๋อง แล้วเหตุใดทั่วทั้งเมืองหลวงถึงไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เลย
ตามเหตุผลแล้ว กู้เสี่ยวหวานทำให้ผู้มีชื่อเสียงในเมืองหลวงเหล่านั้นประทับใจ ลิ้นยาว ๆ พวกนั้นจะไม่เอาเรื่องนี้ออกไปเล่าลือกันได้อย่างไร
กู้เสี่ยวหวานเห็นนางดูไม่สบายใจเช่นนี้ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดอย่างนั้น ในงานเลี้ยงตอนนั้นตัวเองโดดเด่นพอแล้ว นางยังคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ดี
นางยังกังวลว่าตัวเองจะเป็นที่สนใจของคนอื่นและจะสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็น พอเห็นตอนนี้ไม่ได้มีปัญหาตามมา
ไม่มีเรื่องอะไรก็เป็นเรื่องที่ดี
“มีอะไรน่าเล่าลือกัน” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างไม่สนใจ
“เหตุใดจึงไม่ลือเล่าท่านพี่ ท่านรู้หรือไม่ว่าเมื่อก่อนคนในเมืองหลวงกล่าวถึงท่านว่าอย่างไร” ถานอวี้ซูเบะปากและพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “เมื่อก่อนหลิวเทียนฉือผู้นั้นพูดจาเหลวไหลในเมืองหลวง บอกว่าท่านเป็นหญิงสาวบ้านนอกที่ไร้การศึกษาและหยาบคายมาก ดังนั้นเมื่อพวกนางเจอท่าน ความประทับใจแรกก็คือคำพูดพวกนั้นของหลิวเทียนฉือ บางทีความคิดในใจของบางคน ท่านเองก็เป็นเช่นนั้น”
“งั้นเจ้าคิดว่าข้าเป็นเช่นไรล่ะ” กู้เสี่ยวหวานเห็นนางโกรธเช่นนั้น จึงเลิกคิ้วถามนางกลับ
“พี่สาว ท่านเป็นพี่สาวที่ดีที่สุด งดงามที่สุด ใจดีที่สุด จิตใจดีที่สุด เก่งที่สุดในใจของอวี้ซู” ถานอวี้ซูกล่าว
“ข้าสนใจแค่ความคิดของเจ้า เพราะว่าเจ้าเป็นน้องสาวที่ดีของข้า ข้าชอบคำพูดที่เจ้าชื่นชมข้ามาก” กู้เสี่ยวหวานหัวเราะคิกคัก เสียงนั้นไพเราะมากเหมือนกับนกกระจาบฝนที่งดงาม
“คนอื่นนั้นข้าไม่สนใจ ไม่ว่าพวกนางจะพูดถึงข้าอย่างไรก็ตาม บอกว่าข้าหยาบคายก็ดี บอกว่าข้าเก่งยอดเยี่ยมมากก็ช่าง ดังนั้นความคิดของคนที่ข้าไม่สนใจพวกนั้น ข้าไม่ใส่ใจเลย ไม่ว่าพวกนางจะบอกว่าข้าเป็นเมฆที่ลอยอยู่บนฟ้า หรือไม่ก็บอกว่าข้าเป็นโคลนที่อยู่บนดิน ทั้งหมดนั้นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกนางเลย” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างจริงใจ
ถานอวี้ซูได้ฟังแล้วก็พยักหน้า “อืม ถูกต้องท่านพี่ พวกนางไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย ทำไมต้องสนใจความคิดของพวกนาง พี่สาวของข้าไม่มีผู้ใดเทียบได้”
เมื่อเห็นถานอวี้ซูไม่สนใจเรื่องงานเลี้ยงในครั้งนั้นแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางพลิกหน้าหนังสือที่อยู่ในมือ มุมปากมีรอยยิ้มอย่างสบายใจ
เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ ปัญหาที่ได้คาดการณ์ไว้ก็ไม่ได้เกิดขึ้น เป็นเช่นนี้นั้นดีมากจริง ๆ
เรื่องของวันนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่พูดถึง เป็นเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว
คนกลัวว่าจะมีชื่อเสียง หมูกลัวอ้วน ตัวนางเองก็ไม่ชอบเป็นที่สนใจอยู่แล้ว ด้วยชื่อเสียงเช่นนี้ นางไม่อยากกลายเป็นศัตรูกับผู้ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง
เรื่องของงานเลี้ยงที่จวนหมิงอ๋องวันนั้นก็จบลงเช่นนี้ ไม่ได้ก่อให้เกิดคลื่นใหญ่แม้แต่น้อย ราวกับว่าเดิมทีนั้นก็เป็นงานเลี้ยงอยู่แล้ว แต่ครั้งนั้นเป็นงานเลี้ยงอะไรกลับไม่มีผู้ใดรู้ งานเลี้ยงในครั้งนี้ยังมีคนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน
หลังจากงานเลี้ยงก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามีเสี้ยนจู่เพิ่มอีกหนึ่งคนในเมืองหลวง
ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกิดขึ้นเพราะงานเลี้ยงในครั้งนี้
ส่วนทางด้านฉินเย่จือนั้นก็ได้ข่าวมาว่างานเลี้ยงในครั้งนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ สตรีสูงศักดิ์เหล่านั้นไม่มีผู้ใดพูดถึงกู้เสี่ยวหวานและไม่มีผู้ใดเปิดเผยการแสดงที่ยอดเยี่ยมของกู้เสี่ยวหวานในงานเลี้ยงครั้งนั้นออกไปเลยสักคำ แม้ว่าฉินเย่จือจะไม่สนใจ แต่ว่ากลับมีคนจงใจฝังชื่อเสียงผู้หญิงของตัวเอง เรื่องที่รังแกแมวน้อยเช่นนี้ เขาไม่สามารถนั่งเฉยได้
“ซูหมิ่นเป็นคนพูด”
“ใช่ หลังจากงานเลี้ยงครั้งนั้นจบลง ก็มีคนตามไปกระซิบกับผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นทีละคน ถ้าหากผู้ใดกล้าเปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ออกไปแม้แต่ครึ่งคำก็จะเป็นศัตรูกับจวนหมิงอ๋อง”
ด้านข้างของฉินเย่จือ มีชายคนหนึ่งสวมชุดสีดำทั้งตัวยืนอยู่และก้มหน้าลงเล็กน้อย บุคลิกองอาจกล้าหาญที่ฝึกศิลปะการต่อสู้มานานดูทรงพลังยิ่งนัก เขาใช้ผ้าคลุมหน้าสีดำเพื่อปิดบังใบหน้าครึ่งล่างทั้งหมด เหลือเพียงดวงตาที่เฉียบแหลมสองดวงที่เปิดเผยอยู่ข้างนอก
“หึ” หลังจากที่ฉินเย่จือได้ฟังแล้วก็แค่นเสียงเย้ยหยัน มุมปากยกยิ้มจาง ๆ “ซูหมิ่นคนนี้ ความกล้าหาญยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับบิดาของนางไม่มีผิด”
มุมปากนั้นมีรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยาม ในดวงตาเต็มไปด้วยความดุดัน
“นายท่าน แม่ทัพถานต้าได้ตรวจสอบเรื่องนั้นอีกแล้ว”
เมื่อได้ยินว่าถานเย่สิงกำลังตรวจสอบเรื่องการเสียชีวิตของแม่ทัพถานเสี่ยวคู่สามีภรรยาอีกครั้ง คิ้วของฉินเย่จือก็ขมวดขึ้น “ตอนนี้หมิงอ๋องใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่ในราชสำนักอย่างอุกอาจ เพียงเพราะเขายังมีอำนาจและกองกำลังทหารสามแสนนายอยู่ในมือ เขารู้ว่าฝ่าบาทไม่กล้าทำอะไรกับเขา”
เพราะกลัวว่าหมิงอ๋องจะเป็นภัยต่อฮ่องเต้น้อย จึงไม่กล้าเอาอำนาจทหารสามแสนนายที่อยู่ในมือเขาออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้นอำนาจกำลังทหารห้าแสนนายในปีนั้นจึงแบ่งออกเป็นสองส่วน มอบให้กับฉินฟ่างและถานเย่สิง เพื่อกดข่มหมิงอ๋องให้เขาถืออำนาจทหารในมือไว้ แต่ไม่มีกำลังจะไปตีเสมอกับถานเย่สิงและฉินฟ่าง
ต่อมาฉินฟ่างถึงแก่กรรม หมิงอ๋องวางแผนที่จะยึดอำนาจทางทหารไป โชคดีที่ถานเย่สิงรักษาอำนาจทางทหารไว้ และได้มอบอำนาจทางทหารให้กับฉินเย่จือในเวลานั้น
จนถึงตอนนี้ หมิงอ๋องยังมีอำนาจทางทหารเพียงสามแสนนายเท่านั้น และหลังจากประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมา ฮ่องเต้น้อยก็ค่อย ๆ มีอำนาจทางทหารหนึ่งแสนนายและกองกำลังทหารรักษาพระองค์ด้วยความช่วยเหลือจากฉินเย่จือและถานเย่สิง
ในตอนนี้กองกำลังทหารหกแสนนายกำลังต้านกองกำลังสามแสนนายของหมิงอ๋อง ซึ่งถือว่าเป็นการกดข่มหมิงอ๋องจนไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหว
แต่ว่าคนผู้นี้มีความทะเยอทะยานและยังโหดเหี้ยม เพื่อเป้าหมายแล้วสามารถทำได้ทุกวิธีทาง คนเช่นนี้ ถ้าหากถูกเขาควบคุมอำนาจทางทหารมากขึ้นในอนาคต ก็กลัวว่าในปีนั้นตระกูลถานจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น เพื่ออำนาจทางทหารแล้ว หมิงอ๋องไม่สามารถหลุดพ้นจากการเกี่ยวข้องได้ เพียงแต่ตอนนี้ยังหาหลักฐานที่หมิงอ๋องสมคบคิดกับศัตรูทรยศแผ่นดินไม่พบ
และแม่ทัพถานต้ายังต้องการหาความจริงของปีนั้นอีกครั้ง เถาวัลย์เส้นนี้ได้เลื้อยไปตามร่างของหมิงอ๋องแล้ว ถ้าหากว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริง หมิงอ๋องก็จะพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ
เพื่อที่จะชนะแล้วเบาะแสทั้งหมดนั้นก็จะต้องถูกกำจัด ความสงสัยของถานเย่สิงจะกลายเป็นระเบิดเวลาสำหรับหมิงอ๋อง มาดูกันว่าระเบิดลูกนี้จะระเบิดเมื่อใดกัน
“นายท่าน ผู้น้อยกลัวว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดกับแม่ทัพถานต้า” ชายชุดดำกล่าวอย่างไม่สบายใจ
สำหรับถานเย่สิงแล้ว เขาเป็นแบบอย่างของใครหลายคนที่มีความฝันอยากรับใช้ชาติ ด้วยศิลปะการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา อุทิศตนเพื่อแผ่นดิน คนเช่นนี้เป็นคนที่บุรุษหลายคนอยากจะเอาเยี่ยงอย่าง
ถ้าหากไม่มีถานเย่สิง ก็จะไม่มีต้าชิงที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรือง
หลายคนจึงให้ความรักและเคารพต่อถานเย่สิง