บทที่ 879 สัญญาณ (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

สำนัก​วิญญาณ​ไตร​อริยะ​

รูป​สลัก​สีขาว​ดุจ​หยก​ขนาด​มหึมา​ทั้ง​สามโคจร​กลาง​จักรวาล​อย่าง​ช้าๆ พวก​มัน​ถูก​ฝังไว้​บน​จาน​โลหะ​สีเงิน​ขนาด​ยักษ์​ หมุน​วน​อย่าง​เชื่องช้า​ไปตาม​จาน​กลม​

ด้านหน้า​รูป​สลัก​จิ้งจอก​รูป​หนึ่ง​ มีบุรุษ​หลาย​คน​สวม​ชุด​ทะมัดทะแมง​สีเทา​ ด้านหลัง​ติด​ผ้าคลุม​สีดำ​สนิท​ไว้​ กำลัง​เงย​มอง​ใบหน้า​ของ​รูป​สลัก​เงียบๆ​

บุรุษ​ที่​เป็น​ผู้นำ​มีสายฟ้า​สีฟ้าเล็ก​ๆ ไหลเวียน​ทั่ว​ร่าง​ ราวกับ​พร้อม​ระเบิด​กระแสไฟฟ้า​อัน​น่ากลัว​ได้​ทุกเมื่อ​ทุกคราว​ ใบหน้า​ของ​เขา​อำพราง​อยู่​ภายใต้​ความมืด​สลัว​ ทำให้​คนอื่น​เห็น​เพียง​สันจมูก​ขาวซีด​เท่านั้น​

“ยัง​หาไม่​เจอ​อีก​หรือ​” เสียง​ของ​บุรุษ​กังวาน​กร้าว​แกร่ง​ราวกับ​เสียง​โลหะ​กระทบ​กัน​ แต่​ขาด​ท่วงทำนอง​สูงต่ำ​ ทำให้​รู้สึก​เหมือน​เสียง​สังเคราะห์​แปลกประหลาด​

“ยัง​ขอรับ​…แม้พวกเรา​จะกำหนด​ทิศทาง​ของ​อีก​ฝ่าย​อย่าง​คร่าวๆ​ ได้​ผ่าน​วิชา​ไล่ล่า​แล้ว​ แต่​ก็​ไม่อาจ​ชี้ตำแหน่ง​ได้​อย่าง​แม่นยำ​” บุรุษ​หนุ่ม​ที่​แต่งกาย​อย่าง​บัณฑิต​คน​หนึ่ง​กล่าว​พลาง​ส่ายหน้า​น้อย​ๆ

“ที่จริง​หาไม่​เจอ​ก็​ไม่เป็นไร​หรอก​ เป้าหมาย​ที่​แท้จริง​ของ​พวกเรา​ไม่ใช่พวก​มัน​อยู่แล้ว​ สิ่งที่​พวกเรา​ต้องการ​คือ​ความลับ​ของ​ลู่​เซิ่งต่างหาก​” บุรุษ​ผู้นำ​เอ่ย​เสียง​ขรึม​

“แต่​มัน​ก็​คือ​อย่างเดียวกัน​ไม่ใช่หรือ​” อีก​คน​กล่าว​อย่าง​สงสัย​

“ถูกต้อง​ แต่​ด้วย​ความเฉลียวฉลาด​ของ​ลู่​เซิ่ง ไม่แน่​ว่า​มัน​จะเอา​ของ​วาง​ไว้​ใน​ตะกร้า​ใบ​เดียว​หรอ​ก.​..เด็ก​ๆ!”

เขา​พลัน​ร้อง​เสียงดัง​

ไม่นาน​ก็​มีแสงสีน้ำเงิน​สอง​สาย​พุ่ง​จาก​ท้องฟ้า​ลงมา​หยุด​ยืน​อยู่​บน​จาน​กลม​ด้านหลัง​ นักพรต​สวม​เสื้อคลุม​น้ำเงิน​สอง​คน​คุกเข่า​ข้าง​หนึ่ง​ ทักทาย​บุรุษ​ว่า​

“ศิษย์​เฉินชง​ เฉิงซาน​ฉี คารวะ​บรรพ​จารย์!”​ ทั้งสอง​ทักทาย​เสียง​เดียวกัน​

“พวก​เจ้าไปที่​นคร​ตราชั่ง​ ลู่​เซิ่งเคย​ได้รับ​การ​ช่วยเหลือ​จาก​แพทย์​คน​หนึ่ง​ที่อยู่​ที่นั่น​ จงไปจับตัว​แพทย์​คน​นั้น​กับ​ครอบครัว​ที่อยู่​รอบตัว​มัน​มา”

“นาย​ท่าน​ ท่าน​ทำ​แบบนี้​…ถือว่า​ขัดต่อ​กฎเกณฑ์​กระมัง​…เกรง​ว่า​สำนัก​นที​คราม​กับ​นคร​ตราชั่ง​จะไม่เห็นด้วย​” บุรุษ​คน​หนึ่ง​ที่อยู่​ด้านหลัง​นิ่วหน้า​

ทุกคน​ต่าง​รักษา​กฎเกณฑ์​ห้าม​ทำร้าย​ครอบครัว​อย่าง​เงียบๆ​ ตอนนี้​เห็นได้ชัด​ว่า​ใต้เท้า​ต้องการ​ทำ​ทุกอย่าง​โดย​ไม่เลือก​วิธีการ​

“ไม่มีอะไร​ขัด​หรือไม่​ขัด​กฎเกณฑ์​หรอก​ สำนัก​นที​คราม​อพยพ​ไปมากกว่า​ครึ่ง​แล้ว​ จะเอา​พลัง​มาจาก​ไหน​ ส่วน​สำนัก​อื่นๆ​ ตอนนี้​เกิด​ศึก​ใหญ่​ระหว่าง​สัตว์​โบราณ​กับ​พันธมิตร​ดวงดาว​ ขุม​กำลัง​อื่น​พอ​ปกป้อง​ตัวเอง​ได้​ แต่​คิด​จะร่วมมือ​กัน​มาจัดการ​ผู้​ฝ่าฝืน​กฎเกณฑ์​เหมือน​เมื่อ​ก่อนหน้า​ เจ้าคิด​ว่า​เป็นไปได้​หรือ​”

บุรุษ​ผู้นำ​หันหน้า​มา แก้ม​ครึ่งซีก​ของ​เขา​ประกอบ​ขึ้น​จาก​สายฟ้า​สีน้ำเงิน​อม​ม่วง​บิดเบี้ยว​ นอกจาก​ตา​สีดำ​ ผิวหนัง​ กล้ามเนื้อ​ ไปจนถึง​กระดูก​ ต่าง​ประกอบ​ขึ้น​จาก​สายฟ้า​ทั้งสิ้น​

“ได้ยิน​มาว่า​ลู่​เซิ่งเคย​ซ่อน​สถานะ​เรียน​ศาสตร์​รักษา​อยู่​ที่นั่น​ จงจับตัว​คน​ที่​เกี่ยวข้อง​กับ​เขา​มา เชื่อ​ว่า​นคร​ตราชั่ง​จะต้อง​ให้ความร่วมมือ​กับ​พวกเรา​แน่​…”

“รับ​คำสั่ง​ บรรพ​จารย์ลัว​ชิว!”​ ศิษย์​ทั้งสอง​คน​รีบ​โค้ง​ตัว​ตอบรับ​

“แล้ว​พวก​ที่​กำลัง​หลบหนี​เล่า​…” ระดับสูง​คน​หนึ่ง​ขมวดคิ้ว​ถาม

“ไม่เป็นไร​ ข้า​ได้​ขอให้​ประมุข​พรรค​เก้า​ฟ้ามาช่วยเหลือ​แล้ว​ ด้วย​ความสามารถ​สืบร่องรอย​อัน​พิสดาร​ของ​เขา​ จะต้องหา​ที่อยู่​เจอ​โดยเร็ว​แน่​”

ทุกคน​ต่าง​ยินดี​

พรรค​เก้า​ฟ้า…

เป็น​พรรค​ที่​ไม่นับว่า​แข็งแกร่ง​มาก​ แต่​มีความ​พิเศษ​อย่างยิ่ง​ ตัว​ประมุข​พรรค​เจนจัด​วิชา​ไล่ล่า​ยิ่งกว่า​พรรค​ใดๆ​

ปัจจุบัน​สำนัก​วิญญาณ​ไตร​อริยะ​ได้​ใช้วิชา​ใส่ร่าง​คน​เหล่านั้น​ไว้​แล้ว​ ขอ​แค่​ให้​ประมุข​พรรค​ผู้​นี้​ลงมือ​กำหนด​พิกัด​ ซึ่งไม่ได้​มีความยากลำบาก​อัน​ใด​ ดูท่า​อาจจะ​เจอ​ตัว​ได้​

“แต่​พวกเรา​ก็​ต้อง​รีบ​เร่งมือ​ให้​เร็ว​ที่สุด​เช่นกัน​ เกิด​สำนัก​นที​คราม​กับ​สำนัก​แปลง​วายุ​ค้นพบ​การเคลื่อนไหว​ของ​เรา​ จะต้อง​คอย​ติดตาม​อยู่​เบื้องหลัง​อย่าง​ใกล้ชิด​แน่​ หาก​เจอ​คน​จริงๆ​ พวกเรา​จะเหลือ​เวลา​ไม่มาก​แล้ว​” ลัว​ชิว​เอ่ย​เสียง​เย็น​

ลู่​เซิ่งนั่งขัดสมาธิ​อยู่​กลาง​อวกาศ​ มองดู​ประตู​วังวน​สีเทา​ที่​ขยาย​ใหญ่​ขึ้น​เบื้องหน้า​ด้วย​สายตา​สงบนิ่ง​

ประตู​ที่​เชื่อม​กับ​กระแส​วังวน​มิติ​เวลาเปิด​ออก​แล้ว​ แต่​เมื่อ​คำนวณ​ดู​ วิธี​ที่​เขา​จะใช้กลับ​โลก​มาร​สวรรค์​อาจ​ไม่ได้​ง่ายดาย​เท่าที่​คิด​ไว้​ก็ได้​

ก่อนหน้านี้​เขา​น่าจะ​ถูก​กระแส​ปั่นป่วน​แข็งแกร่ง​สาย​หนึ่ง​ใน​กระแส​วังวน​มิติ​เวลา​พา​มาถึงตำแหน่ง​ที่อยู่​ไกล​มาก​ๆ เข้า​พอดี​…ครั้งนี้​ลำบาก​แล้ว​สิ…

ลู่​เซิ่งเผย​สีหน้า​คร่ำเคร่ง​ ปัจจุบัน​ขอบเขต​ของ​เขา​ไม่เหมือนเดิม​ ขนาด​พลัง​จิตวิญญาณ​เพิ่มขึ้น​อย่าง​ใหญ่หลวง​ แต่​ก็​ยัง​ค้นหา​ร่องรอย​ของ​โลก​มาร​สวรรค์​ไม่เจอ​อยู่ดี​

ตั้งแต่​เริ่ม​ตามหา​จนถึง​ตอนนี้​ ผ่าน​ไปสามวัน​แล้ว​ เขา​ที่อยู่​ตรงนี้​มาสามวัน​ เจอ​โลก​ระดับ​พลังงาน​สูงที่​แตก​ต่างกัน​สิบ​กว่า​ใบ​ ทว่า​ล้วน​สัมผัส​กลิ่นอาย​ของ​โลก​มาร​สวรรค์​ไม่ได้​ทั้งสิ้น​

สิ่งที่​น่าหนักใจ​ที่สุด​ก็​คือ​ ทางเข้าออก​ที่​เขา​เปิด​ออก​นี้​ เคลื่อนไหว​ตาม​การ​เคลื่อนที่​ของ​โลก​ใบ​นี้​เช่นกัน​

โลก​เทพ​นอกรีต​แห่ง​นี้​ขยับ​อย่าง​สับสน​ใน​กระแส​วังวน​มิติ​เวลา​ เปลี่ยนแปลง​ตำแหน่ง​ตาม​กระแส​วังวน​ตลอดเวลา​

โลก​มาร​สวรรค์​ก็​เป็น​เหมือนกัน​ ใน​สถานการณ์​ที่สอง​สถานที่​เคลื่อนไหว​ คิด​จะหา​อีก​ฝั่งให้​เจอ​ใน​กระแส​วังวน​มิติ​เวลา​ที่​กว้างใหญ่​จน​แทบ​ไร้​ขอบเขต​ผืน​หนึ่ง​ ยาก​ยิ่งกว่า​งมเข็มในมหาสมุทร​เสีย​อีก​

“ต้อง​คิด​หา​วิธี​…”

ลู่​เซิ่งกำ​แกน​หลัก​แห่ง​ความโกลาหล​ไว้​ใน​มือ​ เคลื่อน​จิตวิญญาณ​อี​กรอบ​ กระตุ้น​พลังงาน​บน​แกน​หลัก​ แล้ว​ใส่ลง​ไปใน​ค่าย​กล​ด้านล่าง​

พลัง​เทพ​ของ​เทพ​นอกรีต​สร้าง​ร่างกาย​ที่​มีรูปร่างหน้าตา​เหมือนกับ​ลู่​เซิ่งไม่ผิดเพี้ยน​ออกมา​หลาย​ร่าง​

“ไป” ลู่​เซิ่งโบกมือ​ ร่าง​ทั้งหมด​พลัน​พุ่ง​เข้าไป​ใน​ประตู​ใหญ่​สีเทา​ ร่อนเร่​พเนจร​ใน​กระแส​ปั่นป่วน​ของ​มิติ​เวลา​

นี่​คือ​วิธีการ​ที่​ลู่​เซิ่งคิดออก​ ปลดปล่อย​ร่าง​แยก​ของ​ตัวเอง​ออกมา​อย่าง​ต่อเนื่อง​ จนกระทั่ง​มีคน​สัมผัส​ได้​

ทิศ​ทางการ​ไหล​ของ​กระแส​วังวน​มิติ​เวลา​เป็น​สิ่งที่​สับสน​ มีทุกทิศทาง​ ทั้ง​ยัง​เปลี่ยน​ทิศ​ทางการ​ไหล​ไปเรื่อยๆ​ แม้เขา​จะรู้​ว่า​วิธีการ​นี้​โง่เขลา​มาก​ แต่​ก็​ยัง​ดีกว่า​ไม่ทำ​อะไร​เลย​

ร่างกาย​พวก​นี้​เป็น​ร่าง​แข็งแกร่ง​เหนือ​ธรรมดา​ ใช้จิตวิญญาณ​ของ​เขา​และ​พลัง​เทพ​ของ​เทพ​เมฆาเป็น​แกนกลาง​ใน​การ​สร้าง​ขึ้น​มา สามารถ​แหวกว่าย​ใน​กระแส​ปั่นป่วน​ของ​มิติ​เวลา​และ​ตัดสินใจ​เอง​ได้​

ลู่​เซิ่งทำ​อย่างนี้​ซ้ำแล้วซ้ำเล่า​ รีด​เค้น​พลัง​ของ​เทพ​เมฆาออกมา​อย่าง​ต่อเนื่อง​ ร่าง​แยก​หลาย​กลุ่ม​ถูก​เขา​ส่งเข้าไป​ใน​กระแส​วังวน​มิติ​เวลา​

เวลา​ค่อยๆ​ เคลื่อน​คล้อย​ เขา​ได้​แต่​สัมผัส​ว่า​ร่าง​จำนวน​ไม่น้อย​เจอ​อันตราย​ปริศนา​เข้า​จน​ดับสูญ​ไป

ได้​แต่​หวัง​ว่า​จะหา​เจอ​โดย​ใช้เวลา​น้อยที่สุด​เสียแล้ว​…

ขณะ​สัมผัส​ได้​ว่า​พลัง​ของ​เทพ​เมฆาใน​แกน​หลัก​แห่ง​ความโกลาหล​กำลัง​อ่อนแอ​ลง​อย่าง​รวดเร็ว​ ลู่​เซิ่งก็ได้​แต่​อธิษฐาน​ว่า​จะเจอ​โลก​มาร​สวรรค์​ก่อนที่จะ​รีด​เค้น​เทพ​เมฆาจนตาย​ ไม่อย่างนั้น​ก็ได้​แต่​ต้อง​ไปจับ​เทพ​นอกรีต​สัก​ตน​มาเป็น​แบตเตอรี​แล้ว​

บน​ดาวเคราะห์​ไม่รู้จัก​ชื่อ​ดวง​หนึ่ง​ที่อยู่​ห่าง​จาก​ระบบ​ดาว​ที่​สำนัก​นที​คราม​อยู่​ไกล​แสน​ไกล​

กลาง​ป่าดงดิบ​แห่ง​หนึ่ง​

พรึ่บ​!

แสงสีขาว​กลุ่ม​หนึ่ง​ระเบิด​ออก​อย่าง​ฉับพลัน​ เผย​ให้​เห็น​เงาร่าง​ของ​คน​สี่คน​ ได้แก่​ ทัวห​ลัน​ปาเฮ่อ​ บัน​ไซ ห​ลี่​ซุ่น​ซี กับ​อริยะ​เจ้าทง​เซิง

“แค่​กๆๆ…อ่อก!”​ เมื่อ​ปรากฏตัว​ ห​ลี่​ซุ่น​ซีก็​ก้มหน้า​กระอัก​ไอ​อย่าง​รุนแรง​ เลือด​คำโต​ถูก​เขา​พ่น​ออก​มาจาก​ปาก​

“ลม​วสันต์​กลายเป็น​ฝน​แล้ว​ ชีวิต​ต้อง​ดำเนินต่อไป​” อริยะ​เจ้าทง​เซิงถือ​ชิ้นส่วน​โลหะ​สีขาว​น้ำนม​ชิ้น​หนึ่ง​ กด​ลง​บน​หลัง​ห​ลี่​ซุ่น​ซีอย่าง​แรง​

ชิ้นส่วน​หลอมละลาย​กับ​แผ่น​หลัง​ของ​ห​ลี่​ซุ่น​ซี

“ขอ​บ.​..ขอบคุณ​…” ห​ลี่​ซุ่น​ซีฟื้นตัว​ สีหน้าซีด​ขาว​ นี่​เป็นครั้งแรก​ที่​ใช้ท่า​เคลื่อนย้าย​ใน​พริบตา​ของ​หยก​ปีศาจอย่าง​สุดกำลัง​หลังจาก​พลัง​ฝึกปรือ​ของ​เขา​เลื่อนขั้น​

การพา​คนอื่นๆ​ เคลื่อนย้าย​ใน​พริบตา​เพื่อ​ข้าม​ระยะ​ทางไกล​แสน​ไกล​แบบนี้​ แทบจะ​ใช้พลัง​ทั้งหมด​ใน​ตัว​เขา​

“ยังไหว​หรือไม่​” ทง​เซิงถามเสียงทุ้ม​

“ยังไหว​ แต่​ช่วงนี้​คง​ใช้เคลื่อนย้าย​ใน​พริบตา​ไม่ได้​อี​ก.​..” ห​ลี่​ซุ่น​ซียิ้ม​อย่าง​หนักใจ​ ปาด​เช็ด​เลือด​ตรง​มุมปาก​

“ที่นี่​คือ​ที่ไหน​” เขา​กวาดตา​มอง​รอบ​ๆ ชั้น​บรรยากาศ​ของ​ดาวเคราะห์​ดวง​นี้​แตกต่าง​กับ​ดาว​เงาพริบตา​ก่อนหน้านี้​มาก​ เขา​ไม่คุ้นเคย​กับ​ชั้น​บรรยากาศ​ประเภท​นี้​ จึงมอง​บัน​ไซที่​เงียบขรึม​อยู่​ด้านหลัง​

สถานที่​นี่คือ​สถานที่​ที่​เขา​ระบุ​ถึง

“ที่นี่​คือ​ดาว​ธาร​ฟ้า” บัน​ไซยิ้มเฝื่อน​ “ข้า​เคย​ทำความรู้จัก​กับ​คน​คน​หนึ่ง​ตอน​มาเที่ยว​ที่นี่​ นาง​น่าจะ​ช่วย​พวกเรา​หนี​การ​ไล่ล่า​ได้​ นอกจากนี้​ ดาวเคราะห์​ดวง​นี้​ยังอยู่​ใน​อาณาเขต​มิติ​เวลา​บิดเบี้ยว​พิเศษ​ ตัดขาด​การสัมผัส​ได้​ระดับ​หนึ่ง​ มีความ​พิเศษ​อย่าง​มาก​”

“เจ้าแน่ใจ​หรือว่า​จะหนี​การ​ไล่ล่า​ได้​” ทง​เซิงขมวดคิ้ว​

“แน่ใจ​ขอรับ​” บัน​ไซพยักหน้า​ “ตอนที่​ข้า​มากับ​มารดา​เมื่อคราว​นั้น​ ความสามารถ​แจ้งข่าว​ทั้งหมด​ของ​พวกเรา​ล้วน​ใช้ไม่ได้​ รวมถึง​วิชา​สะกดรอย​ขั้นสูง​ทุกชนิด​ด้วย​ ข้า​กับ​มารดา​อยาก​เดินเล่น​เลย​ต้อง​พลัด​หลง​กับ​ครอบครัว​เป็นเวลา​สิบ​กว่า​วัน​ สุดท้าย​ก็​ขึ้น​เรือ​เหาะ​ออก​ไปจาก​ที่นี่​ด้วย​ความบังเอิญ​ ดังนั้น​ข้า​จึงมีความทรงจำ​ต่อ​ที่นี่​ล้ำลึก​มาก​”

“เช่นนั้น​สหาย​ของ​เจ้า…”

“เดี๋ยว​ข้า​ติดต่อ​เอง​ พวกเขา​มีวิธี​ติดต่อ​พิเศษ​อยู่​”

บัน​ไซสมกับ​เป็น​อัจฉริยะ​ด้าน​อักขระ​ค่าย​กล​ เขา​ใช้พู่กัน​อักขระ​พิเศษ​ที่​พกพา​ติดตัว​ วาด​ค่าย​กล​อักขระ​พิเศษ​ง่ายๆ​ ใน​รูปแบบ​สามมิติ​ขึ้น​บน​ต้นไม้​ที่อยู่​ใกล้​ๆ

ค่าย​กล​อักขระ​เหมือน​จะไม่ได้​เติม​พลัง​งงาน​ใดๆ​ เข้าไป​ เป็น​เพียง​รูปวาด​ที่​แยกตัว​โดดเดี่ยว​ธรรมดา​รูป​หนึ่ง​เท่านั้น​

แต่​บัน​ไซกลับ​ถอย​ไปอยู่​ด้าน​ข้าง​ แล้ว​รอคอย​อย่าง​เงียบๆ​

ห​ลี่​ซุ่น​ซีนั่งขัดสมาธิ​ปรับ​ร่างกาย​ อริยะ​เจ้าทง​เซิงเตรียม​วางกับดัก​ไว้​รอบตัว​เพื่อ​ป้องกัน​อันตราย​เข้าใกล้​

ทัวห​ลัน​ปาเฮ่อ​เตรียม​อาหาร​รอ​เงียบๆ​

รอ​ครึ่ง​ชั่วโมง​กว่า​ หลังจาก​ทุกคน​กินข้าว​เสร็จ​ ขณะที่​กำลังจะ​พักผ่อน​ต่อ​

ทันใดนั้น​พุ่ม​หญ้า​ที่อยู่​ไกล​ออก​ไปก็​มีเสียง​หญ้า​ถูก​แหวก​ดัง​ซ่าๆ

“มีคน​มาแล้ว​!” ทง​เซิงผุด​ลุกขึ้น​ แม้เขา​จะแก่​จน​ใกล้​จะลง​โลง​ แต่​อย่างไร​ก็​ผ่าน​มาร้อย​สมรภูมิ​ มีประสบการณ์​ด้าน​นี้​เต็มเปี่ยม​

“ไม่ต้อง​กังวล​ เป็น​สหาย​” บัน​ไซกลับ​กล่าว​อย่าง​เชื่องช้า​ “ที่นี่​ตัดขาด​กับ​โลก​ภายนอก​ ข่าวสาร​ส่งมาไม่ถึงที่นี่​ พวกเรา​เพียงแค่​ต้องหา​ถ้ำคุ้มกัน​ แล้วไป​ซ่อนตัว​ซัก​พัก​ก็​พอ​”

แม้จะเป็น​เช่นนี้​ แต่​ทุกคน​ยังคง​เคร่งเครียด​กระสับกระส่าย​ สถานการณ์​ของ​พวกเขา​ใน​ตอนนี้​ไม่อาจ​ย่ำแย่​ไปกว่า​นี้​ได้​อีกแล้ว​

ไม่นาน​นัก​ หญิงสาว​ที่​มีผม​ยาว​สีส้มคน​หนึ่ง​ นำ​กลุ่ม​ผู้หญิง​ผม​สั้น​สวม​ชุด​ทะมัดทะแมง​ โอบล้อม​ที่นี่​ไว้​อย่าง​รวดเร็ว​

หญิงสาว​อายุ​ราว​สิบ​เจ็ดสิบ​แปด​ปี แต่​แววตา​ดู​ไม่ไร้เดียงสา​เท่า​อายุ​

ผู้หญิง​กลุ่ม​นี้​มีทรวดทรง​ไม่เลว​ยิ่ง​ เบื้องหน้า​นูน​ เบื้องหลัง​งอน​ หน้าตา​ทระนง​องอาจ​ เพียงแต่​เกราะ​บน​ร่าง​รวมถึง​อาวุธ​ที่​พวก​นาง​ถือ​อยู่​ไม่ชวน​พิศ​มัย​เหมือน​รูปโฉม​ภายนอก​

บน​อาวุธ​บางส่วน​ยัง​เหลือ​คราบเลือด​ติด​อยู่​ด้วย​

“ผู้บุกรุก​…” หญิงสาว​ผม​สีส้มกวาดตา​มอง​คน​ทั้ง​สี่อย่าง​เย็นชา​ “ผู้บุกรุก​บังอาจ​มายัง​ดินแดน​ของ​เผ่า​วิทูร​ธาร​ของ​พวกเรา​หรือ​!”

“รอเดี๋ยว​ ซูอิง​อยู่​หรือไม่​!? ข้า​เป็น​สหาย​ของ​นาง​! ข้า​ชื่อ​บัน​ไซ!” เวลานี้​บัน​ไซค่อย​ค้นพบ​ความผิดปกติ​ ผู้​มาเหมือน​จะไม่ใช่สหาย​สนิท​ของ​เขา​ จึงรีบ​หยิบ​จี้ผลึก​สีดำ​เส้น​หนึ่ง​ออก​มาจาก​อก​เสื้อ​ แล้ว​แกว่ง​ไปมาด้านหน้า​

“ซูอิง​หรือ​” หญิงสาว​ผม​สีส้มงุนงง​ อึ้ง​ไปเล็กน้อย​

ครู่​ต่อมา​ สายตา​นาง​จับจ้อง​อยู่​ที่​จี้ใน​มือ​บัน​ไซ จี้นั้น​กะพริบ​แสงอัน​คุ้นเคย​ที่​คนใน​เผ่า​เท่านั้น​ถึงจะเห็น​ได้​

“ซูอิง​…นาง​ไม่อยู่แล้ว​”

ไม่อยู่แล้ว​หรือ​

บัน​ไซอึ้ง​

“นาง​…”

“นาง​ตาย​แล้ว​” หญิงสาว​ผม​สีส้มกล่าว​ซื่อตรง​

บรรยากาศ​พลัน​หนักอึ้ง​

……………………………………….

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

Status: Ongoing

โปรแกรมปรับแต่งเกมในโลกเดิมกลายเป็นความสามารถพิเศษในหัวเขา และเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกที่เต็มไปด้วยภูตผีมารปีศาจนี้ ผู้ใดขวางเขา มันผู้นั้นเป็นมารปีศาจ เมื่อเป็นมารปีศาจ ก็ต้องตาย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท