ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 445 เรื่องเล็กน้อย

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 445 เรื่องเล็กน้อย

องค์หญิงฉางเล่อยิ้มบางๆ มองลั่วเซิงอย่างรอคอยคำตอบ

ความรู้สึกของการจับจ้อง ทำให้ลั่วเซิงอดนึกถึงโซ่วเซียนเหนียงเหนียงไม่ได้

ปั้นเทวรูปให้มีลักษณะท่าทางของตัวเอง นางจำเป็นต้องยอมรับว่าองค์หญิงฉางเล่อเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง

“องค์หญิงต้องการจะปิดบังหรือเพคะ” ลั่วเซิงส่งคำถามกลับไป

องค์หญิงฉางเล่อแววตาเปล่งประกาย ไม่กล่าวอันใด

ลั่วเซิงกวาดสายตามองศพเย็นชืดร่างนั้น

ไม่รู้ว่าศพผ่านการจัดการอย่างไรมา ถึงได้ไม่มีเค้าว่าจะเน่าเปื่อย กลิ่นประหลาดก็ไม่นับว่ารุนแรง

หากไม่ใช่ว่านางเคยเป็นท่านหญิงชิงหยางที่สูงศักดิ์น้อยกว่าองค์หญิงไม่กี่ส่วนมาก่อน คุ้นชินกับกลิ่นธูปฟุ่มเฟือยล้ำค่าของเสด็จแม่แต่แรก เกรงว่าคงจะไม่ตระหนักถึงความผิดปกติใดๆ

บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องที่สวรรค์ลิขิตก็ได้

“ตอนนี้ด้านนอกล้วนลือกันว่า การหายตัวไปของท่านหญิงน้อยแห่งจวนผิงหนานอ๋องเกี่ยวข้องกับพระองค์ ท่านหญิงน้อยหาไม่เจอวันหนึ่ง ข่าวลือก็ไม่หยุดวันหนึ่ง”

“ดังนั้นล่ะ ตัดสินใจให้ข้าประกาศต่อใต้หล้าหรือ” องค์หญิงฉางเล่อเลิกคิ้วถาม

ลั่วเซิงแย้มยิ้ม “พระองค์คิดอันใดเพคะ สังหารคน เหตุใดต้องบอกคนที่มุงดูเรื่องสนุกโดยบริสุทธิ์ใจด้วย ความหมายของหม่อมฉันคือ เหตุใดไม่บอกฝ่าบาท ฝ่าบาทฉลาดหลักแหลม เรื่องที่เหลือก็สามารถจัดการแทนพระองค์ได้ ไม่เช่นนั้นทางกรมยุติธรรมสืบไปสืบมา ชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์กัน แม้ว่าจะหาท่านหญิงน้อยไม่เจอไปตลอด ผ่านไปสามปีห้าปีก็เกรงว่าจะยังนำพระองค์กับท่านหญิงน้อยมาเป็นหัวข้อสนทนาด้วยกันอยู่ดี”

องค์หญิงฉางเล่อหลุบตาฟัง พยักหน้าเล็กน้อย “อาเซิง เจ้าพูดได้มีเหตุผลอยู่บ้าง”

จวนผิงหนานอ๋องตกต่ำอย่างไรก็เป็นคนในตระกูลเชื้อพระวงศ์ สุดท้ายเว่ยเหวินกับของเล่นที่ไม่มีใครสนใจที่อยู่พวกนั้นก็มีความต่างกันอยู่

ตามหาเว่ยเหวินไม่เจอ ข่าวลือก็จะยังคงอยู่ไปตลอด

นางไม่สนใจความคิดของชาวบ้านต่ำต้อยพวกนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าชอบให้พวกเขาเอ่ยถึงชื่อของนางบ่อยๆ

“ก็ได้ ฟังอาเซิงแล้วกัน” องค์หญิงฉางเล่อคล้องแขนลั่วเซิง เดินไปทางประตู

“ทว่าไม่รีบร้อน รอข้ากินขนมฟักทองที่อาเซิงนำมาค่อยไปทูลเสด็จพ่อก็ยังไม่สาย”

ประตูเปิดแล้ว

สาวใช้ที่เฝ้าอยู่ข้างนอกเห็นสภาพภายในห้องชัดเจน นัยน์ตาพลันหดวูบ แต่กลับไม่ส่งเสียงกรีดร้องออกมา แต่ยอบเข่าถวายความเคารพครั้งหนึ่ง “องค์หญิง”

องค์หญิงฉางเล่อส่งสายตาให้สาวใช้ “เก็บกวาดเทวรูปที่เสียหายสักหน่อย ศพไม่ต้องแตะต้อง”

“เพคะ”

องค์หญิงฉางเล่อลากลั่วเซิงไปห้องนอน เมื่อทำความสะอาดมือเรียบร้อย ก็นำขนมฟักทองที่หั่นเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนขึ้นมากินอย่างสง่างาม

“นี่ก็คือขนมที่อาเซิงทำเช่นกันหรือ”

“อาซิ่วทำเพคะ”

องค์หญิงฉางเล่อเม้มปาก เอ่ยว่า “แม้ว่าจะอร่อยเหมือนกัน แต่ข้าอยากกินที่อาเซิงทำมากกว่า”

“เช่นนั้นครั้งหน้าให้หม่อมฉันเป็นคนทำ” ลั่วเซิงรับคำอย่างคล้อยตาม

ขนมสองสามจานแลกกับการบดขยี้ฟางเส้นสุดท้ายของจวนผิงหนานอ๋อง คุ้มค่ามาก

องค์หญิงฉางเล่อกินขนมฟักทองไปสองชิ้นแล้วก็คล้ายจะนึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้จึงถามเนิบๆ ว่า “อาเซิง ทำไมเฟยหยางถึงตกลงจากรถม้าได้ล่ะ”

ลั่วเซิงคาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าจะมีคำถามนี้จึงเอ่ยอย่างจนปัญญาว่า “หงโต้วอารมณ์ร้อนเกินไป เห็นท่าทางไม่ยินยอมของเฟยหยาง พอโมโหก็เลยถีบเขาลงไปเพคะ”

“เป็นหงโต้วนี่เอง” องค์หญิงฉางเล่อเผยสีหน้าเข้าใจออกมา

ลั่วเซิงเปลี่ยนหัวข้อสนทนานิ่งๆ “องค์หญิง หม่อมฉันเห็นว่าเฟยหยางชอบพระองค์…”

องค์หญิงฉางเล่อเลิกคิ้วยิ้มๆ “นายบำเรอคนหนึ่งจะมีความรักอันใดล่ะ”

ขนมฟักทองที่เหลือ องค์หญิงฉางเล่อไม่ได้แตะอีก

ลั่วเซิงเดินออกจากจวนองค์หญิง มองท้องฟ้าสดใสที่สูงลิ่ว พลางพ่นลมหายใจเบาๆ

องค์หญิงฉางเล่อนั่งรถม้าเข้าวัง

“เซ่อเอ๋อร์เข้าวังมาตอนนี้มีเรื่องอะไรหรือ” จักรพรรดิหย่งอันตรัสถามเสียงอ่อนโยน

ฮ่องเต้ซึ่งมีความคิดลึกซึ้งท่านนี้คล้ายจะแบ่งความอ่อนโยนให้กับเซียวกุ้ยเฟยและองค์หญิงฉางเล่อเท่านั้น

องค์หญิงฉางเล่อกวาดตามองซ้ายขวาแวบหนึ่ง

จักรพรรดิหย่งอันพยักพระพักตร์ให้โจวซาน

โจวซานรีบไล่ขันทีและนางกำนัลในวังที่ปรนนิบัติในตำหนักออกไป

“เสด็จพ่อ เว่ยเหวินอยู่ในจวนลูกเพคะ” องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยด้วยท่าทางสบายๆ ไม่มีสีหน้าตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย

ส่วนจักรพรรดิหย่งอันที่ได้ยินวาจาขององค์หญิงฉางเล่อก็ไม่ได้มีท่าทางประหลาดใจ ยังคงถามอย่างสงบนิ่งว่า “ทำไมถึงอยู่ในจวนเซ่อเอ๋อร์กัน”

ดวงตาที่หลุบลงขององค์หญิงฉางเล่อสั่นไหว ตอนที่เหลือบมองขึ้นมาก็เต็มไปด้วยความเย็นชา “นางใช้ปิ่นทองแทงลูก”

นางเอ่ยแล้วค่อยๆ แบมือออก

จักรพรรดิหย่งอันเห็นรอยแดงกลางฝ่ามือองค์หญิงฉางเล่อก็มีสีพระพักตร์เย็นเยียบทันที ตรัสทีละคำว่า “ถึงกับมีเรื่องเช่นนี้ด้วย”

“ใช่แล้วเพคะ ดังนั้นลูกจึงรั้งนางเอาไว้”

จักรพรรดิหย่งอันขมวดพระขนง “คนอยู่ที่ใด”

“อยู่ที่พักของลูกเพคะ”

จักรพรรดิหย่งอันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วสั่งโจวซาน “ให้คนไปจัดการสักหน่อย”

จากนั้นพระองค์ก็ถามองค์หญิงฉางเล่อยิ้มๆ “เซ่อเอ๋อร์ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม”

องค์หญิงฉางเล่อแย้มริมฝีปากยิ้ม “มีเพียงเรื่องเล็กน้อยนี้ ไม่มีเรื่องอื่นที่จะทำให้เสด็จพ่อรำคาญพระทัยแล้วเพคะ”

จักรพรรดิหย่งอันยิ้ม “เช่นนั้นก็กลับไปเถอะ”

“ลูกทูลลาเพคะ”

หลังองค์หญิงฉางเล่อจากไป แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ถูกเรียกตัวเข้าวังอย่างรวดเร็ว

“สืบเป็นอย่างไรบ้าง” จักรพรรดิหย่งอันถามนิ่งๆ

“วันนี้หลินเถิงไปจวนองค์หญิง ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ออกมาแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าอื่นๆ พ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่จำเป็นต้องสืบเรื่องของท่านหญิงน้อยแล้ว เจ้าไปเร่งจวนผิงหนานอ๋อง ให้พวกเขารีบหาท่านหญิงน้อยให้พบโดยเร็วเถอะ”

ขณะที่แม่ทัพใหญ่ลั่วอึ้งเล็กน้อย จักรพรรดิหย่งอันก็เอ่ยอย่างมีนัยลึกซึ้ง “อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องในจวนอ๋อง”

“กระหม่อมน้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ ทางกรมยุติธรรม…”

“ไม่ต้องสนใจ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วค้อมกายถอยออกไป ไตร่ตรองความหมายของจักรพรรดิหย่งอันระหว่างกลับไปจวนลั่ว

“เชิญคุณหนูมา”

ไม่นานนัก ลั่วเซิงก็เดินเข้ามาในห้องหนังสือ

“ท่านพ่อเรียกหาลูก มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”

“เซิงเอ๋อร์เพิ่งกลับมาจากจวนองค์หญิงสินะ?”

ลั่วเซิงพยักหน้า

แม่ทัพใหญ่ลั่วแววตาไหววูบ เอ่ยถามว่า “เกิดเรื่องพิเศษอะไรที่…จวนองค์หญิงหรือไม่”

เซิงเอ๋อร์ไปก่อนและกลับช้ากว่าหลินเถิง หากว่าช่วงเวลานั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นในจวนองค์หญิง เซิงเอ๋อร์น่าจะรู้ชัดเจน

ลั่วเซิงไม่ได้ทำให้แม่ทัพใหญ่ลั่วผิดหวัง ยิ้มบางๆ พลางเอ่ยว่า “เกิดเจ้าค่ะ”

“เรื่องอะไรหรือ”

“ลูกเจอศพของท่านหญิงน้อย”

แม่ทัพใหญ่ลั่ว “…”

“ท่านพ่อ?” เมื่อเห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วไม่เอ่ยวาจาเนิ่นนาน ลั่วเซิงก็เผยสีหน้ากังวล “ทำให้ท่านตกใจหรือเจ้าคะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วลอบสูดลมหายใจ “พ่อยังดีอยู่…”

แต่เจ้าที่เป็นแม่นางคนหนึ่งเอ่ยยิ้มๆ เช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ ไม่กลัวว่าจะทำให้เจ้าเด็กเอาจริงเอาจังคนนั้นตกใจหรือไร

หรือว่านี่จะเป็นเหตุผลที่จนถึงตอนนี้ไคหยางอ๋องยังเรรวน รีรอไม่เอ่ยเรื่องการแต่งงานกับเขาเสียที

เมื่อนึกถึงไคหยางอ๋อง แม่ทัพใหญ่ลั่วก็โมโห

หากว่าเขาไม่ใช่ท่านอ๋องคนหนึ่ง ตัดสินใจพาตัวมาเป็นนายบำเรอให้บุตรสาวก็ได้แล้ว จะได้ไม่ต้องทำให้เขาเกิดจินตนาการที่จะแต่งลูกสาวออกไปบ่อยๆ

“เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงเม้มปากยิ้ม

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม่ทัพใหญ่ลั่วเห็นรอยยิ้มของบุตรสาวแล้วก็ปวดหัวจึงโบกมือ เอ่ยว่า “เซิงเอ๋อร์กลับไปพักผ่อนเถอะ”

“เช่นนั้นลูกขอตัวเจ้าค่ะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วออกจากจวนไปหาเว่ยเฟิง

เมื่อได้รับข่าวคราวที่แม่นยำจากเซิงเอ๋อร์ เขาย่อมเข้าใจความหมายของฮ่องเต้ได้มากยิ่งขึ้น

เว่ยเฟิงกำลังนำข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งตามหาคนไปทั่ว หลังได้ฟังสารที่องครักษ์จิ่นหลินนำมาถ่ายทอดก็ตามองครักษ์จิ่นหลินผู้นี้ไปยังโรงน้ำชา

กลิ่นหอมของชาอบอวลอยู่ในห้องส่วนตัว แม่ทัพใหญ่ลั่วรออยู่สักพักหนึ่งแล้ว

“ไม่ทราบว่าแม่ทัพใหญ่หาข้าด้วยเรื่องอันใด” หลังเข้ามา เว่ยเฟิงก็ถามเข้าประเด็น

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท