เบอร์ลิน
เขตคฤหาสน์ตระกูลคาโป
ไคลี จีเดินบนสนามหญ้าเขียวชอุ่มเป็นเพื่อนหญิงชราคนหนึ่ง แสงอาทิตย์อ่อนโยน ลมพัดเย็นสบาย ไม่ไกลออกไปเป็นเหล่าลูกๆ หลานๆ ตระกูลคาโปกำลังเล่นกันอยู่
หญิงชราคือแม่ของนักธุรกิจคาโปหรือสามีของไคลี จี มีความสัมพันธ์กับไคลีไม่เลว ทั้งสองคบหากันเป็นเพื่อนข้ามรุ่น
“ช่วงนี้สถานการณ์ไม่กระจ่างชัด ทางรัฐบาลเคลื่อนไหวใหญ่โตหลายครั้ง ทางกองทัพเองก็ออกไปซ้อมรบในภาคสนามอย่างต่อเนื่อง ที่ชายแดนมีคนลือว่าเห็นสัตว์ประหลาดโผล่ขึ้นมาไม่น้อย…ทั้งยังลงหนังสือพิมพ์แล้วด้วย” หญิงชราเอ่ยพลางถอนใจเสียงแผ่วเบา “โลกนี้วุ่นวายขึ้นทุกทีแล้ว…”
“คุณแม่กำลังเป็นห่วงเซรีน่ากับบร็องค์เหรอคะ ลูกหลานย่อมมีโชคของตัวเอง พวกเขาโตแล้ว ไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ อีกต่อไป มีภาระหน้าที่และชีวิตของตัวเอง ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ” ไคลี จีปลอบเสียงอ่อนโยน
“พูดถูกแล้ว มีเหตุผล แต่พอแก่ตัวเข้า สิ่งที่คิดก็เยอะขึ้นเป็นธรรมดา เมื่อก่อนยุ่งกับการทำธุรกิจ ไม่ต้องมาคอยห่วงนั่นห่วงนี่” หญิงชราส่ายหน้า
“ฉันก็เป็นเหมือนกันค่ะ คุณแม่เองก็รู้ ลูกชายของฉัน แจ๊คลูกของฉันกับสามีคนก่อนน่ะค่ะ” ไคลี จีถอนใจ “เขาทำให้ฉันเป็นห่วงยิ่งกว่าพวกเซรีน่าเสียอีก”
หญิงชราพยักหน้า
“เป็นอะไรไม่เป็น ดันไปเป็นตำรวจ ทั้งยังเป็นตำรวจแนวหน้าอีกต่างหาก...ลำบากเธอแย่…” มุมมองเธอต่อเด็กที่ชื่อแจ๊คนั้นไม่ค่อยดีนัก
ทั้งสองเดินเล่นพลางพูดคุยเรื่องของลูกๆ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน ต่างก็สะท้อนใจยิ่ง
ไม่นานนัก หญิงชรารู้สึกเหนื่อยแล้ว จึงเตรียมกลับไปพักผ่อนที่ห้องโดยมีไคลี จีช่วยประคอง หญิงรับใช้ส่งผ้าคลุมกันลมมาให้ทันที
อยู่ๆ ก็มีคนรับใช้มาแจ้งข่าว
“คุณหญิงใหญ่ คุณหญิง คุณชายแจ๊คมาแล้วค่ะ”
“แจ๊คกลับมาแล้วเหรอ” ถึงไคลีจะไม่พอใจในตัวแจ๊คมากนัก แต่อย่างไรก็เป็นลูกของตัวเอง ไม่ว่าอย่างไร เมื่อลูกมาหา ก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา
“ไปด้วยกันเถอะ ฉันอยากจะเห็นว่าตอนนี้เด็กคนนี้เป็นยังไงบ้าง” หญิงชราอยากจะไปด้วย
ไคลี จีได้แต่ประคองหญิงชรากลับไปที่โถงรับแขกในชั้นหนึ่งของคฤหาสน์ รอให้คนพาแจ๊คเข้ามา
ไม่นานนัก ลู่เซิ่งก็เดินเข้าโถงใหญ่มา โดยมีชายหญิงวัยกลางคนแต่งตัวเป็นการเป็นงานล้อมรอบตัว
เขาสวมสูทสีดำดูหรูหรา ใส่หมวกทรงสูง ถือไม้เท้างามประณีต แต่งตัวอย่างเรียบร้อย เพียงมองดูเนื้อผ้าก็รู้ว่าเป็นผ้าราคาแพงที่กำลังได้รับความนิยมในตอนนี้
ไม่เพียงเท่านั้น คนที่อยู่รอบตัวเขาต่างมีสีหน้าเคร่งขรึมน่าเกรงขาม เพียงมองดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา
“แม่ครับ พวกเราน่าจะไม่ได้เจอกันมาสักพักแล้วสินะ” แจ๊คเข้าไปจูบมือของไคลี จี ขณะเดียวกันก็โค้งตัวให้หญิงชราเล็กน้อย
พวกคนด้านหลังเขาถอดหมวกออกและโค้งตัวทำความเคารพเช่นกัน
“คุณคงจะเป็นคุณหญิงไคลี จีสินะ พวกเรามาจากสถาบันโพลูคาแห่งยุโรป ผมคือรองหัวหน้าสถาบันอาเทอร์ส่วนสองคนนี้คือเจ้าหน้าที่จากสถาบันประสานงานพิเศษของรัฐบาลเยอรมนี ครั้งนี้มาเพื่อดำเนินการตรวจสอบงานของคุณแจ๊ค”
“ตรวจสอบเหรอคะ” ไคลี จีสัมผัสบางอย่างได้ ปกติมีแต่งานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประเทศเท่านั้น ถึงจำเป็นต้องตรวจสอบความปลอดภัย
ก่อนหน้านี้แจ๊คเป็นตำรวจธรรมดาไม่ใช่หรือ ทำไมถึง…
“ขอโทษที่ผมปิดบังมาโดยตลอด เป็นเรื่องน่าลำบากใจน่ะครับ” แจ๊คที่อยู่ด้านข้างกล่าวเสียงทุ้ม เผยสีหน้าจนปัญญา
“ความจริงผมได้เข้าร่วมสถาบันโพลูคาและรับตำแหน่งสำคัญมานานมากแล้ว ตอนนี้ผมทำหน้าที่เป็นหัวหน้าสถาบัน เพราะต้องออกหน้ารับผิดชอบงานวางแผนบางส่วน เลยต้องมาสารภาพกับแม่”
“ถูกต้อง คุณแจ๊คยังเป็นประธานบอร์ดบริหารของมหาวิทยาลัยมิสกาด้วย เดิมทีเขาซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง แต่ตอนนี้อยู่ในสถานการณ์พิเศษ จึงต้องให้เขาออกหน้าทำงาน ดังนั้น…” รองหัวหน้าสถาบันอาเทอร์อธิบายเสียงขรึม
“ต้องการให้พวกเราร่วมมือเรื่องอะไรล่ะคะ” หญิงชราสมกับเป็นบุคคลที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้ว จึงตอบสนองเป็นคนแรก
ไคลี จียังคงมึนงง
ลูกของเธอเป็นตำรวจธรรมดาไม่ใช่เหรอ ทำไมอยู่ๆ ถึงได้กลายเป็นหัวหน้าของสถาบันโพลูคาที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุโรปได้ล่ะ แถมยังเป็นประธานบอร์ดบริหารของมหาวิทยาลัยมิสกาด้วย
นี่ก็คือแผนการของลู่เซิ่ง เขาทิ้งทรัพย์สมบัติกับอำนาจที่มากพอให้แก่แจ๊คที่เกิดใหม่ ขณะเดียวกันยังมอบความสามารถเหนือธรรมดาที่ใช้ปกป้องตัวเองได้ให้แก่แจ๊คไว้บางส่วน เพื่อใช้คุ้มครองทุกสิ่งที่มีอยู่ด้วย
“ขอโทษด้วยนะครับแม่ ขอโทษที่ปิดบังแม่มาโดยตลอด” ลู่เซิ่งเข้าไปโอบกอดไคลี จี ด้วยใบหน้านิ่งขรึม
“ไม่เป็นไร…ไม่ว่าอย่างไร แม่ก็ภูมิใจในตัวลูก…” เวลานี้ไคลี จีค่อยรู้สึกตัว แม้ยังมึนงงอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยก็พอจะรับความจริงได้บ้างแล้ว
หลังจากจัดการทางแม่เสร็จ ลู่เซิ่งก็นำคนมุ่งหน้าไปยังลอนดอนต่อ เขาได้เจอกับแจ๊คเฒ่า พ่อของแจ๊คและวิลลา พี่สาวของเขาในชนบทใกล้กับกรุงลอนดอน
หลังใช้กระบวนท่าเดียวกันรับมือ เรื่องหยุมหยิมเกี่ยวกับสถานะของแจ๊คก็แก้ไขเสร็จสิ้น
จิตวิญญาณของแจ๊คหลอมรวม พลังอาวรณ์เก็บรวบรวมได้อย่างที่หวัง จากนี้ก็ถึงเวลาคิดแล้วว่าจะกลับไปอย่างไร
…
บนผิวดวงจันทร์ใกล้โลก
ตอนนี้ดวงจันทร์ทั้งดวงถูกยักษ์ดำจำนวนมากเปลี่ยนให้กลายเป็นฐานทัพหินสีดำขนาดมหึมา
บนผิวทรงกลมมีลวดลายค่ายกลอันงามประณีตปกคลุมอยู่นับไม่ถ้วน ค่ายกลเป็นรูปสามมิติ บ้างก็เหมือนกับเขาสูงหุบผาชัน บ้างก็เหมือนกับป่าหินเนินเตี้ย บนผิวดวงจันทร์ ภูมิประเทศทั้งหมดกลายเป็นค่ายกลขนาดมโหฬาร
ลู่เซิ่งเผยร่างจริง ลอยอยู่กลางอวกาศ ก้มมองดวงจันทร์ทั้งดวง
ใช้เวลาสิบห้าวัน ในที่สุดค่ายกลข้ามมิติใหม่เอี่ยมก็ถูกสร้างสำเร็จ เป็นเพราะโลกใบนี้มีความประหลาดลี้ลับสูงสุดขีด เขาจึงจำเป็นต้องใช้วิธีการทั้งหมดที่สามารถใช้ได้อย่างรัดกุม เพื่อป้องกันไม่ให้เทพนอกรีตโผล่มาเล่นงาน
“ค่ายกลในครั้งนี้น่าจะทำให้เปิดเส้นทางข้ามมิติได้อย่างมั่นคง เพียงแต่ตัวเหนี่ยวนำทางมิติเวลาที่ใช้กลับโลกมารสวรรค์ไม่เหลือแล้ว…เมื่อไม่มีตัวเหนี่ยวนำก็ไม่มีทิศทาง…ต่อให้เปิดทางเชื่อมมิติเวลา ก็ได้แต่เข้าไปในกระแสวังวนมิติเวลาเท่านั้น”
ลู่เซิ่งหนักใจอยู่บ้าง แม้ตอนนี้พลังของเขาจะไปถึงจุดสูงสุด บรรลุระดับผู้ปกครองอนธการท่ามกลางมายาพิศวงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว แต่ก็ไม่มีพิกัดกลับโลกมารสวรรค์เช่นกัน
เขานึกออกเลยว่า หลังจากพบว่าเขาหลงทางในกระแสวังวนมิติเวลา พวกทัวหลันปาเฮ่อ บันไซและหลี่ซุ่นซีจะเจอปัญหาแบบไหน
พวกเขาที่ไม่มีพลังคุ้มกัน เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่จะเจอสภาพยากลำบากเพราะเขาเอง
“ต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุด” ลู่เซิ่งกวาดตามอง ขยายพลังจิตเพื่อสำรวจสภาพค่ายกลบนดวงจันทร์ทั้งดวง
เขาไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงพวกยักษ์ดำ พวกเขาเป็นเครือญาติในโลกรูปจิต แม้จะปิดทางเชื่อมไปชั่วคราว แต่เพียงแค่ใช้ความคิด ก็กลับโลกรูปจิตได้ทันที เป็นเพราะแกนจิตวิญญาณของพวกเขาอยู่ในโลกรูปจิตตลอดเวลา ไม่เคยออกไปไหน
“เอาล่ะ มาเริ่มกันเลย” ลู่เซิ่งยื่นกรงเล็บขวาออกมา แล้วกดลงไป
ดวงจันทร์ค่อยๆ หมุนช้าลง จนหยุดนิ่งโดยสมบูรณ์
“ตอนแรกเราจุติมายังโลกใบนี้ได้อย่างรวดเร็วมาก หมายความว่าอยู่ไม่ห่างจากโลกมารสวรรค์เท่าไร บวกกับโลกพลังงานสูงที่อยู่รอบด้านมีไม่เยอะ ขอแค่เราเริ่มค้นหาจากโลกพลังงานสูง ใช้เวลาไม่นานก็น่าจะหาเจอได้!”
ส่วนวิธีการค้นหา ลู่เซิ่งได้แรงบันดาลใจมาจากห้องสมุดแห่งอดีต เทพเมฆาที่ถูกขังอยู่ในแกนหลักแห่งความ โกลากล สามารถใช้เป็นวัตถุดิบหลักให้เขาได้พอดี
ครืน!
เวลานี้ดวงจันทร์ทั้งดวงค่อยๆ เปล่งลวดลายเวทสีแดงอ่อนหลายกลุ่ม แอ่งกระทะค่อยๆ ลึกขึ้นจนกลายเป็นหุบเหว เนินเขานูนสูงขึ้นกลายเป็นเทือกเขา
ร่องรอยที่เหมือนกับสายน้ำแห้งผากหลายสายปรากฏบนผิวดวงจันทร์อย่างต่อเนื่อง ร่องรอยทั้งหมดประกอบกันเป็นรูปงูมีปีกขนาดยักษ์ใหญ่และซับซ้อน
แสงสีแดงสาดส่องใบหน้าลู่เซิ่ง ใบหน้าสามใบของเขาที่เดิมไร้อารมณ์ราวกับหน้ากาก เวลานี้ค่อยๆ ขรึมเข้มขึ้นเล็กน้อย
“ตอนนี้ไม่มีผลึกพลังงานเพิ่มเติม ได้แต่พึ่งเจ้าแล้ว เทพเมฆา!” เขาใช้ความคิด เส้นสายเล็กๆ กึ่งโปร่งแสงกลุ่มใหญ่พลันปรากฏขึ้นด้านหลัง นั่นคือพลังเทพของเทพนอกรีตที่เอามาจากแกนหลักแห่งความโกลาหล
เส้นสายนับไม่ถ้วนตกลงไปที่ค่ายกลบนผิวดวงจันทร์อย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็แทงลึกเข้าไปในจุดเชื่อมบางส่วนบนค่ายกลเหมือนกับหนามแหลมหลายแท่ง
“เปิด!”
ลู่เซิ่งตวาด
ยักษ์ดำทั้งหมดพากันชักดาบขึ้นมาแทงใส่ศีรษะของตัวเอง ปล่อยให้เลือดของตนไหลรินลงไปในค่ายกลบนพื้น อย่างไรพวกเขาก็ไม่มีวันตาย ต่อให้ตายก็ไปฟื้นขึ้นในโลกรูปจิตเท่านั้น
ดังนั้นการได้รับความโปรดปรานจากนายท่านเพราะการกระทำเช่นนี้ย่อมดีกว่า
ยักษ์ดำกลุ่มใหญ่ล้มลงบนพื้น แม้พวกเขาจะมีพลังคืนชีพแข็งแกร่งสุดขีด แต่เมื่อส่วนศีรษะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ก็ตายได้เช่นกัน
สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ ศีรษะของพวกเขาคือตำแหน่งหลอดเลือดใหญ่ของร่างกาย เลือดไหลออกมาจากศีรษะอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ก่อนรวมตัวกันเป็นธารน้ำ
ซู่…
ประตูข้ามมิติทรงรีสีแดงเข้มค่อยๆ กางออก
สิ่งของที่เหมือนกับกระแสอากาศสีเทากลุ่มใหญ่กำลังพลุ่งพล่านและหมุนวนอยู่ในประตู
ลู่เซิ่งเพ่งสายตามองประตูใหญ่ ของสีเทาเหล่านั้นคือกระแสวังวนมิติเวลา ก่อนหน้านี้เขาเพียงฝืนปกป้องตัวเองอยู่ด้านในได้เท่านั้น แต่ตอนนี้ เขาเลื่อนเป็นอนธการแล้ว สถานการณ์ควรจะแตกต่างไปจากเดิม
…
ปีกทองคำขาวสว่างไสวตัดเฉือนกลุ่มอุกกาบาตอย่างรุนแรง
อุกกาบาตนับไม่ถ้วนถูกแยกจากหนึ่งเป็นสอง เผยให้เห็นเขตแกนกลาง ด้านในว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดเลย
“ไม่อยู่ที่นี่” บุรุษสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินของสำนักแปลงวายุส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะส่งกระแสเสียงบอกเหล่าผู้เข้มแข็งที่อยู่ด้านหลัง
“เจ้าพวกนี้เผ่นหนีได้เร็วนัก” รองเจ้าสำนักแปลงวายุขมวดคิ้ว “เขตดาวรอบๆ ก็หาจนทั่วแล้ว ไม่ได้มีแค่พวกเราที่ค้นหา สำนักนทีครามกับสำนักวิญญาณไตรอริยะก็กำลังค้นหาอยู่เช่นกัน สถานที่แค่นี้ พวกมันจะหนีไปไหนได้”
“ตัวพวกมันถูกประทับตราไล่ล่าที่เป็นวิชาของสำนักวิญญาณไตรอริยะไปแล้ว ตามเหตุผล ด้วยพลังของพวกมัน ไม่น่าจะสลัดหนีได้ง่ายดายเช่นนี้” บุรุษเสื้อคลุมน้ำเงินกล่าวอย่างประหลาดใจ
“หมายความว่า ถ้าไม่ใช่พวกมันหนีไปถึงสถานที่ที่ตราประทับไล่ล่าไม่มีผล ก็ต้องเป็นเพราะมีคนช่วยพวกมัน!” รองเจ้าสำนักเอ่ยเสียงเย็น
“อยากจะเห็นนักว่าใครกล้าช่วยพวกมัน…” บุรุษสวมเสื้อคลุมน้ำเงินหัวเราะอย่างเย็นเยียบ “พวกเราต้องตามหาคนให้เจอโดยเร็วที่สุด ก่อนที่ขุมกำลังสายอื่นๆ จะเข้าร่วม ความลับของลู่เซิ่งต้องอยู่ในมือพวกมันอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นเหตุใดพวกมันจึงหนีพ้นการไล่ล่าของพวกเราได้ตลอดเล่า”
……………………………………….