“พวกเจ้ามาถึงที่นี่ เพื่อหลบหนีจากคู่แค้นกระมัง” หญิงสาวผมสีส้มมองสภาพทุลักทุเลของทั้งสี่คน ดวงตาฉายแววเข้าใจ
พวกบันไซไม่ได้ตอบ เพียงแค่นิ่งเงียบเท่านั้น เมื่อไม่มีสหายสนิทอยู่ด้วย เขาก็ไม่รู้ว่าควรตอบอะไรอยู่ชั่วขณะ
นิ่งไปสักพัก หญิงสาวผมสีส้มก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง
“ในเมื่อต้องการตามหาซูอิง ก็หมายความว่าต้องการขอยืมความสามารถของเผ่าเรา หาที่คุ้มครอง เพื่อช่วยเหลือพวกเจ้า” นางมองร่างโชกเลือดของทั้งสี่คน ด้วยสภาพสะบักสะบอมอดทำให้นางนึกถึงสภาพน่าเวทนาในเผ่าไม่ได้
“น่าเสียดาย…”
“อย่างนั้นหรอกหรือ…เช่นนั้น…รบกวนแล้ว…” บันไซยิ้มเฝื่อน ก่อนจะกล่าวอย่างเศร้าใจ
เขาดูท้อแท้ผิดหวัง บางทีหญิงสาวชื่อซูอิงผู้นั้นเหมือนจะมีตำแหน่งในใจเขาไม่ธรรมดา
“พวกเราไปเถอะ” เขาหันไปกล่าวกับสามคนที่เหลือ
คนที่เหลือก็จนปัญญาเช่นกัน อุตส่าห์มาถึงที่นี่ ก็ยังเจอเหตุการณ์ประจวบเหมาะแบบนี้อีก ทั้งสี่รีบเก็บข้าวของ เตรียมจากไป เพียงแต่พวกเขาเหลืออาหารไม่มากแล้ว อาหารและน้ำดื่มที่เหลือเพียงพอสำหรับคนคนเดียวถูกห่ออย่างระมัดระวังและเก็บไว้โดยทัวหลัน การกินอาหารป่าส่งเดชในพื้นที่ของดาวเคราะห์ดวงอื่น เป็นเรื่องอันตรายถึงขีดสุด ดังนั้นหากไม่เคยลองมาก่อน ก็ไม่อาจแตะต้องสิ่งใดที่อยู่โดยรอบได้
หญิงสาวผมสีส้มมองดูทั้งสี่ค่อยๆ จากไป สายตาจับจ้องบนร่างบันไซ นางจำได้ว่าซูอิงเคยบอกว่าตนชอบเด็กชายต่างถิ่นคนหนึ่ง…บางทีอาจจะเป็นคนผู้นี้
นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากในที่สุด
“ในเมื่อเป็นสหายของซูอิง อย่างนั้นพวกเจ้าก็มาด้วยกันเถอะ แต่พวกเจ้าต้องตระหนักให้ดีว่า สำนักของเผ่าเรากำลังเผชิญภัยพิบัติ ถ้ากลัวจะโดนลูกหลงไปด้วย พวกเจ้าไม่ต้องมาก็ได้”
“ช่างเถอะ พวกเราเพียงแค่อยากจะอาศัยความสามารถของพวกท่าน ตามหาที่ซ่อนตัวเร้นลับสักแห่ง อย่างอื่นไม่ลำบากหรอก พวกเรากำลังถูกไล่ล่า รังแต่จะสร้างปัญหาให้แก่พวกท่านเปล่าๆ” บันไซเอ่ยเสียงเคร่งขรึม
“ปัญหาอะไร นอกเสียจากความตาย แทนที่พวกเจ้าจะไปซ่อนตัวไกลๆ สู้มาหลบในเผ่าเราย่อมดีกว่า หยุดพร่ำเพ้อได้แล้ว ในเมื่อเป็นสหายของซูอิง ก็มาเถอะ แต่พวกเจ้าต้องเตรียมตัวให้ดี เผ่าเราอาจจะเผชิญภัยพิบัติได้ตลอดเวลา ถ้าพวกเจ้าไม่กลัวตายก็จงมา”
บันไซอึ้งไป แม้น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูหงุดหงิด แต่เห็นได้ชัดว่าคิดช่วยเหลือพวกเขาอย่างแท้จริง
เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถูกหลี่ซุ่นซีดุนหลังก็รีบเอ่ย
“ไม่เป็นไร! พวกเรายินดี! ขอบคุณมาก! ท่านเป็นคนดีทีเดียว!?”
ยังมีปัญหาอะไรที่แย่ไปกว่าพวกเขาในตอนนี้อีก เขาวางแผนอยู่เพียงสักพักแล้วค่อยจากไป ไม่อยากทำให้เผ่าของสหายพลอยโดนลูกหลงไปด้วย
หญิงสาวไม่พูดอะไรอีก ในเมื่อบอกแล้วว่ามีปัญหา อีกฝ่ายยังไม่กลัว รอจนได้เจอปัญหาอย่างแท้จริง ก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของพวกนางแล้ว
“ตามข้ามาเถอะ” หญิงสาวผมสีส้มหันหลัง นำคนมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของป่า
“ขอพูดอีกสักประโยค ข้าชื่อโจวเฉิงเยวี่ย พวกเจ้าเรียกข้าว่าเยวี่ยกวง[1]ก็ได้”
บันไซรีบพยักหน้า
สตรีคนอื่นเหมือนจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของโจวเฉิงเยวี่ยมากนัก แต่ดูเหมือนพวกนางเป็นคนเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น บ่นแค่กระปอดกระแปดเท่านั้น พอเห็นว่าเกลี้ยกลอมโจวเฉิงเยวี่ยไม่ได้ ก็ไม่พูดอะไรอีก
ทุกคนเดินอยู่ในป่าสิบนาที ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูซุ้มหินทรงรีแห่งหนึ่ง
ประตูหินตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยวอยู่บนที่ว่าง เหมือนกับประตูใหญ่จากถ้ำสักแห่งที่ถูกคนขุดแล้วขนมาวางไว้ตรงนี้
“เดินเข้าไป” โจวเฉิงเยวี่ยเข้าประตูหินเป็นคนแรก
สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ นางทะลุเข้าประตูหินแท้ๆ แต่กลับเหมือนเดินเข้าไปในมิติแปลกหน้า หายไปโดยสิ้นเชิง
สตรีที่เหลือตามหลังนางไปติดๆ บันไซฉุดดึงทัวหลันปาเฮ่อ ทงเซิง กับหลี่ซุ่นซีตามเข้าไป ทั้งสี่เดินเข้าประตูหิน ก่อนจะหายไปจากที่ว่างในพริบตา
…
โลกเทพนอกรีต
ลู่เซิ่งมองประตูใหญ่สีเทาตรงหน้า มือถือแกนหลักแห่งความโกลาหลที่หดเล็กลงครึ่งหนึ่งพร้อมขมวดคิ้ว
ยังคงหาไม่เจอ เขาปล่อยร่างแยกที่ตนควบคุมได้ทั้งหมดออกไปแล้ว แต่ว่าโลกพลังงานสูงที่หาได้ในบริเวณรอบข้างกลับไม่มีใบใดที่เป็นโลกมารสวรรค์เลย
“ดูเหมือนจะเหลือแค่วิธีเดียวแล้ว…” ลู่เซิ่งหันไปมองโลกสีฟ้าคราม
โลกเทพนอกรีตใบนี้มอบความทรงจำให้แก่เขาไม่น้อย เทียบกับโลกใบอื่น โลกใบนี้ได้มอบภาพประทับใจให้เขาล้ำลึกถึงขีดสุด ตอนนี้พอใกล้จะจากไป ก็อาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง
“ในเมื่อเป็นแบบนี้…” เขาสั่งความคิด
ทันใดนั้นยักษ์ดำทั้งหมดบนโลกพากันเกิดจิตที่ยิ่งใหญ่หากแต่พร่ามัวขึ้นจากส่วนลึกของจิตใจ
พวกเขาที่เดิมทีกำลังทำกิจกรรมต่างๆ หยุดการเคลื่อนไหวในมือทั้งหมด พากันผุดลุกขึ้น มุ่งหน้าไปยังทางมหาวิทยาลัยมิสกา
ณ ที่แห่งนั้น ทางเชื่อมสู่โลกรูปจิตที่ถูกปิดลงชั่วคราว ค่อยๆ เปิดขึ้นอีกครั้ง ยักษ์ดำที่อยู่ใกล้บางส่วนมุดเข้าไป กลับถึงโลกรูปจิตเป็นพวกแรก
นี่คือการอัญเชิญของนายท่าน แน่นอนว่าพวกเขาไม่กลับไปก็ได้ แต่หากลู่เซิ่งปิดทางเชื่อมประตูใหญ่เมื่อไร พวกเขาจะถูกตัดการเชื่อมต่อโดยอัตโนมัติ เป็นเหตุให้สูญเสียชีวิตของร่างนี้ไปทันที เนื่องจากแกนหลักจิตวิญญาณยังอยู่ในโลกรูปจิต
นี่เทียบเท่ากับกลับคืนสู่ที่สถิตจิตวิญญาณทางอ้อม
ยักษ์ดำหลายแสนตัวได้กัดกินโลกในเวลานี้จนแทบขึ้นสวรรค์ เสบียงของทวีปยุโรปถูกพวกเขากินเกลี้ยงในคืนเดียว
จากนั้นทวีปแห่งอื่นก็พากันมาสนับสนุน แต่ไม่ได้มอบเสบียงทั้งหมดให้พวกเขา เพราะคนอื่นๆ ก็ต้องกินข้าวเช่นเดียวกัน
ดังนั้น ในสถานการณ์ที่ราคาอาหารเพิ่มสูงขึ้น ทุกคนต่างเริ่มหวาดกลัว และเริ่มเดินขบวนต่อต้าน
การที่ลู่เซิ่งเรียกพวกมันกลับไปในเวลานี้ เรียกได้ว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้ว
การล่าถอยของยักษ์ดำจบลงในเวลาสองวัน
ตอนที่ยักษ์ดำตัวสุดท้ายหายเข้าไปในค่ายกลจุติ ลู่เซิ่งก็หมุนตัวมาพร้อมกับพุ่งเข้ากระแสวังวนของมิติเวลาสีเทา
ร่างของเขาพุ่งเข้าไปในโคลนสีดำที่เหนียวเหนอะ แล้วหายไปในพริบตา
พริบตาที่เขาเข้าไปในกระแสวังวนมิติเวลา ประตูข้ามมิติก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับระเบิดขึ้นกลายเป็นแสงเพลิงสีแดงฉาน
ค่ายกลจำนวนมากบนผิวดาวเคราะห์เริ่มกลายเป็นฝุ่นผง ลบร่องรอยที่เหลืออยู่ทั้งหมดทิ้งไป
กระแสวังวนมิติเวลาสีเทาเหมือนกับโคลนที่มีพลังกระแทกรุนแรงถึงขีดสุดหลายสาย ผสมไปผด้วยเศษมิติเวลาชิ้นเล็กๆ
เศษเหล่านี้เป็นชิ้นส่วนที่เหลืออยู่ของโลกที่พังทลาย
ชิ้นส่วนทุกชิ้นมีพลังกระแทกหลายหมื่นตัน และความหนาแน่นสูงสุดขีด ผสมอยู่ในกระแสวังวน กระทบกระแทกกันอย่างรุนแรง เพียงแค่แตะร่างที่มีพลังอ่อนแอก็ถูกทำลายได้แล้ว
แต่ลู่เซิ่งในตอนนี้เป็นข้อยกเว้น
เขาแหวกว่ายไปยังทิศทางที่มีโลกพลังงานสูงมากที่สุด สนามพลังไร้รูปร่างระดับอนธการวนเวียนรอบตัวเขา สนามพลังพวกนี้ใช้คุณสมบัติปฐมพลังของเขาในการปรากฏ
ชิ้นส่วนโลกที่เข้าใกล้เขาทั้งหมดถูกกระแทกอย่างรุนแรงจนกระจายออกไปสองฟาก แล้วไหลไปยังเบื้องหลัง
ชิ้นส่วนที่มีขนาดใหญ่บางส่วนถูกชนจนหดเล็กกว่าเดิม ส่วนชิ้นส่วนเล็กๆ ถูกชนจนแตกสลาย ลุกไหม้ด้วยไฟสีดำก่อนกลายเป็นผง
ในกระแสวังวนสีดำ ลู่เซิ่งในเวลานี้ยิ่งเหมือนกับปลาฉลามยักษ์สีแดงอมดำตัวหนึ่ง
รอบๆ คือเส้นทางบิดเบี้ยวสีรุ้ง เส้นทางแบบนี้มองดูเหมือนกับธารน้ำใหญ่อันเชี่ยวกราก
เกิดเสียงดังพรึ่บ ลู่เซิ่งโผล่หัวขึ้นจากน้ำ มองขึ้นไปยังเบื้องบน
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโผล่หัวออกมาจากในกระแสวังวนมิติเวลา แล้วมองไปยังตำแหน่งด้านบนสุด
เหนือกระแสวังวนทั้งหมดคือผนังทรงซุ้มโค้งด้านในสีรุ้ง เขาเหมือนกับว่ายวนอยู่ในทางเชื่อมทรงกลมเส้นหนึ่ง
สองฟากข้างของเส้นทางคือผนังด้านในบิดเบี้ยวที่เปลี่ยนแปลงสีสันไปเรื่อยๆ บนผนังด้านในเหล่านี้มีจุดเล็กๆ นับไม่ถ้วนแยกออกราวกับดวงตา
ร่องแยกทุกเส้นคือทางเข้าโลกใบหนึ่ง
ร่องแยกบางเส้นปรากฏเป็นแสงสีรุ้ง บ้างก็ดำสนิท
ตามข้อสรุปของลู่เซิ่ง ยิ่งในร่องแยกสว่างและลึกมากเท่าไร ระดับพลังงานของโลกก็ยิ่งสูงเท่านั้น
ขณะว่ายทวนกระแสไปเรื่อยๆ เขาก็แหวกว่ายไปถึงทางแยกในลักษณะสองง่ามแห่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
สองฟากคือสายน้ำใหม่
ลู่เซิ่งหยุดลง ตอนนี้เขาแหวกว่ายในกระแสวังวนของมิติเวลาได้อย่างอิสระโดยสมบูรณ์ ไม่ต้องกลัวการกัดกร่อนและกระทบกระแทกของที่นี่อีก
แต่ว่าการอยู่ที่นี่ไม่อาจหาพลังงานมาชดเชยได้ ดังนั้นแม้จะเป็นเขา ก็อยู่ในกระบวนการสูญเสียพลังอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากระยะเวลาสั้นๆ เหมือนเมื่อก่อนหน้า กลายมาเป็นประคับประคองหลายวันหลายคืนโดยไม่มีปัญหา
ที่นี่ไม่มีการไหลของเวลา ลู่เซิ่งใช้เวลาที่ไหลเวียนบนร่างตัวเองมาคำนวณระยะทาง
เขาลังเลอยู่สองสามนาที จึงเลือกสายน้ำทางขวา
สำหรับเขาแล้ว กระแสวังวนของมิติเวลายังคงเป็นอาณาเขตลี้ลับพิศวง
ทว่าตอนที่เขากำลังจะว่ายไปยังสายน้ำทางขวา ก็พลันเห็นบนผนังด้านในของทางแยกด้านหน้าที่มีรูอยู่รูหนึ่ง
รูที่เหมือนขุดออกมาบนผนังด้านในทางเชื่อมสีรุ้งบิดเบี้ยว
ด้านในรูไม่มีร่องแยกของโลกใบใด ส่วนลึกเหมือนปรากฏแสงชมพูหลายสายเลือนราง
“ที่นี่คือแหล่งกำเนิดระหว่างโลกทั้งหมด…รูของที่นี่…ด้านในมีอะไรกันแน่” ลู่เซิ่งรู้สึกหวาดกลัว
เขาหมุนตัวไปมองดูผนังด้านในที่อยู่ใกล้ตัวเองที่สุด ก่อนจะตวัดมือฟาดใส่ทันที
ฉัวะ!
พลังยิ่งใหญ่สายหนึ่งผลักดันกระแสวังวนมิติเวลา กลายเป็นคลื่นสีเทาเส้นหนึ่งฟันใส่ผนังด้านในอย่างหนักหน่วง
เปรี้ยง!
ผนังไร้การบุบสลายแม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งตกใจ การโจมตีเมื่อครู่ เขาได้ใช้พลังอย่างน้อยแปดส่วนของร่างหลัก แต่เมื่อโดนผนังด้านในกลับไม่เกิดอะไรขึ้นเลยสักนิดเดียว
เช่นนั้นผู้ใดเป็นคนเจาะรูนั้นกัน หรือเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ถ้าหากเป็นการเจาะโดยคน อย่างนั้นคนที่เจาะต้องมีพลังแข็งแกร่งขนาดไหน
เขามองส่วนลึกของรูผนัง ตรงนั้นมีแสงสีชมพูกั้นขวางไว้ ทำให้มองอะไรไม่เห็น
เพียงแต่แสงนั้นให้ความรู้สึกอ่อนโยน ปลอดภัย และปลอดโปร่งเบาบาง ถ้านักเดินทางสิ้นไร้เรี่ยวแรงได้พบเจอ นี่จะต้องเป็นแสงอันยั่วยวนที่ล่อลวงผู้คนได้ดีที่สุดแน่
ไม่มีพลังพิเศษวาดงูเติมขา เพียงแต่กระจายความร้อนอบอุ่นออกมา ชวนให้รู้สึกปลอดภัยเท่านั้น
นี่เป็นความยั่วยวนอย่างยิ่งสำหรับผู้เข้มแข็งระดับสูงที่มักขี้สงสัย
ลู่เซิ่งมองดูรูนี้อย่างล้ำลึก ก่อนจะว่ายออกไปทางด้านขวา
…
บันไซติดตามอยู่หลังโจวเฉิงเยวี่ย ทั้งสี่เดินอยู่ระหว่างบ้านเห็ดขนาดยักษ์กลุ่มหนึ่ง ภายใต้การห้อมล้อมของเหล่าสตรี
บ้านทุกหลังคือเห็ดยักษ์หลังคาสีน้ำตาลก้านสีขาว บนก้านเห็ดเจาะประตูหน้าต่าง ด้านในมีเงาคนวูบไหว แสดงให้เห็นว่ามีคนอาศัยอยู่ด้านในจริงๆ
เป็นหมู่บ้านที่ไม่ใหญ่มากนัก ในหมู่บ้านมีสตรีวัยเยาว์ผิวขาวหน้างามเดินไปมาเป็นระยะ ต่างสวมเกราะอ่อนแนบเนื้อและพกอาวุธแหลมคมไว้กับตัวทั้งสิ้น
ความเข้มข้นของพลังงานที่กะพริบบนร่างคนเหล่านี้ถึงขั้นทำให้พวกหลี่ซุ่นซีลอบตื่นตระหนก ระดับแบบนี้ หากไม่ใช่เจ้าแห่งอาวุธไม่มีทางไปถึงได้
“ตอนแรกอยากจะดูว่าเราสามารถช่วยพวกนางแก้ไขปัญหาได้ไหม แต่จากที่เห็นในตอนนี้ พวกนางมีพลังไม่ด้อยไปกว่าพวกเราเลย ในหมู่บ้านแบบนี้ จะต้องมียอดฝีมือที่แกร่งกว่าเจ้าแห่งอาวุธอยู่อีกอย่างแน่นอน แต่ที่แบบนี้กลับเจอปัญหาเนี่ยนะ…” หลี่ซุ่นซีกล่าวอย่างจนใจ
……………………………………….
[1] เยวี่ยกวง ภาษาจีนหมายถึงแสงจันทร์